สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 218 สอบปากคำ ความจริงเปิดเผย
บทที่ 218 สอบปากคำ ความจริงเปิดเผย
“สหายตำรวจ คุณเข้าใจพวกเราผิดแล้วครับ” อวี๋เซิงฝูนั่งอยู่ในสถานีตำรวจ ยังคงทำตัวเป็นผู้ร้ายปากแข็ง ไม่ยอมรับข้อกล่าวหา
ชิวซินพยักหน้าสนับสนุน “ใช่แล้วค่ะ สหายตำรวจ พวกคุณเข้าใจผิดแล้ว”
ตำรวจที่นั่งอยู่ตรงหน้ารินน้ำใส่แก้ว โดยไม่เหลือบมองทั้งสองคนสักนิด “อ้อ งั้นบอกหน่อยสิว่าผมเข้าใจผิดตรงไหน? พวกคุณเอารถเข็นขนของเข้าไปในบ้านคนอื่นกลางดึก เพื่อขโมยของไม่ใช่รึไง?”
“บ้านหลังนั้นเคยเป็นของฉันค่ะ ฉันขายให้พวกเขาไปแล้ว แต่ลืมเอาของกลับมา ฉันก็แค่จะไปขนของของตัวเองกลับมาเท่านั้นเองค่ะ” ชิวซินตอบด้วยความกระตือรือร้น
นายตำรวจหัวเราะเยาะ “แล้วทำไมไม่ไปเอาตอนกลางวันครับ ในเมื่อคุณขายบ้านให้คนอื่นไปแล้ว ก็เท่ากับว่าคุณกำลังบุกรุกบ้านคนอื่น เป็นความผิดที่มีโทษร้ายแรงมาก!”
เพื่อจะจับตัวหัวขโมยทั้งสองคนในคืนนี้ เพื่อนร่วมงานของเขาหลายคนต้องทนโดนยุงกัดหลายชั่วโมง แล้วตอนนี้ผู้ต้องหาทั้งสองคนก็ยังไม่ยอมรับสารภาพอีก
ตำรวจหนุ่มคร้านจะต่อความยาวสาวความยืด จึงหันไปปรึกษากับเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ด้านหลัง “พวกเราแยกกันสอบปากคำดีกว่า สอบปากคำเสร็จแล้วค่อยพักผ่อนกัน”
“ได้เลยครับ!”
นายตำรวจสองคนที่นั่งอยู่ทางด้านหลังรู้สึกง่วงนอน แต่เมื่อได้รับคำสั่งก็มีสติแจ่มใสขึ้นมาทันที พวกเขานำตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนไปสอบปากคำในห้องสอบสวนสองห้อง
และนี่คือวิธีการสอบสวนที่ตำรวจทุกคนได้รับการฝึกฝนมา ถึงแม้ผู้ต้องหาทั้งสองคนจะปากแข็งในตอนแรก แต่เมื่อได้รับการสอบสวนอย่างเข้มข้น พวกเขาก็ต้องสารภาพจนหมดเปลือก
ตำรวจผู้รับหน้าที่สอบปากคำมองแสงตะวันที่อยู่นอกหน้าต่าง แล้วก็รู้สึกโกรธแค้นจนหันไปมองอวี๋เซิงฝูที่นั่งอยู่ตรงหน้าตาขวาง “ถ้ายอมสารภาพตั้งแต่แรก พวกเราก็คงไม่ต้องมาเสียเวลาแบบนี้หรอก”
ช่างเสียเวลาเขาจริง ๆ
…
พวกลู่ฉิวเยว่ได้เดินทางไปยังบ้านหลังใหม่ของฉินซือเพื่อทำการแสดงละครตบตาผู้คนตั้งแต่บ่ายเมื่อวานนี้
เช้าวันนี้ พวกเขาเพิ่งจะรับประทานอาหารเช้ากันเสร็จและกำลังช่วยกันเก็บจาน คุณตำรวจก็มาหาถึงที่บ้าน
“พี่สวี่” ลู่ฉิวเยว่เปิดประตูและประหลาดใจที่ได้พบหน้าสวีซงซิง
เมื่อวานนี้ เขาไม่ได้เข้าเวร แล้วทำไมถึงมาจัดการคดีนี้ได้นะ?
สวีซงซิงพยักหน้าทักทายอย่างสุภาพ ก่อนจะอธิบายว่า “เมื่อคืนนี้เพื่อนร่วมงานของผมจับหัวขโมยได้ที่บ้านของคุณน่ะ วันนี้ผมเข้าเวรพอดี พอรู้ว่าเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับบ้านคุณ ผมก็เลยรับช่วงมาทำต่อ”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าและเชิญเขานั่งลง จังหวะที่กำลังจะเข้าครัวไปเอาน้ำดื่มมาให้ เธอก็หันหน้าไปเห็นว่าฉินซือเอาถ้วยน้ำชาส่งให้สวีซงซิงแล้ว “คุณตำรวจสวี เชิญดื่มน้ำชาก่อนครับ”
สวีซงซิงพยักหน้าขอบคุณ ยังคงรักษาท่าทางเอาจริงเอาจัง รีบกล่าวเข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว “เมื่อคืนนี้ทางตำรวจสอบปากคำคนร้ายทั้งสองคนแล้วครับ”
“ได้ความว่ายังไงบ้างคะ?” ลู่ฉิวเยว่นั่งฟังด้วยความตั้งใจ
“คนร้ายมีชื่อว่าอวี๋เซิงฝู เขาไม่ได้เป็นญาติกับเจ้าของบ้านคนแรกของคุณ แต่เคยเป็นผู้ดูแลคนแก่ในบ้านหลังนั้น จึงรู้ข้อมูลภายในบ้านเป็นอย่างดี” สวีซงซิงอธิบาย “และก่อนตาย เจ้าของบ้านคนแรกมีอาการอัลไซเมอร์ นึกว่าอวี๋เซิงฝูเป็นญาติของตัวเอง เขาจึงได้บอกที่ซ่อนวัตถุโบราณให้อวี๋เซิงฝูรู้ หลังจากนั้นอวี๋เซิงฝูก็ได้ขโมยกุญแจห้องใต้ดิน สุดท้ายก็เกิดเรื่องนี้ตามมา”
ลู่ฉิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นสูง “ถ้าอย่างนั้น…เขากับชิวซิน…”
สวีซงซิงจิบน้ำชา จากนั้นก็วางถ้วยลงบนโต๊ะ “อวี๋เซิงฝูย้ายไปอยู่ต่างประเทศหลายปี หลังจากกลับมาอยู่ที่เมืองจีน เขาก็พบว่าบ้านหลังนั้นถูกขายให้คุณ ดังนั้นเพื่อเอาวัตถุโบราณทั้งหมดกลับมา เขาจึงเข้าหาชิวซินเพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางเลือกอื่นน่ะครับ”
นั่นสินะ
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าด้วยความเข้าใจ
ในขณะเดียวกัน เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่เธอบริจาควัตถุโบราณทั้งหมดให้แก่หน่วยงานราชการตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้น คงไม่สามารถป้องกันคนขโมยของได้ และเมื่อนึกถึงลูกหลานที่แท้จริงของเจ้าของบ้านคนแรกที่อาจจะอยากได้วัตถุโบราณเหล่านั้นกลับคืนไป เธอก็คงอธิบายกับพวกเขาไม่ได้
และถ้าเธอเลือกที่จะเก็บวัตถุโบราณเหล่านั้นเอาไว้กับตัว ลู่ฉิวเยว่ก็อาจจะมีปัญหากับทายาทที่แท้จริงของเจ้าของบ้านคนแรกก็เป็นได้
“แล้วเราจะเอายังไงกับทั้งสองคนนั้นดีคะ?” ลู่ฉิวเยว่ถาม เธอกำลังหมายถึงชิวซินกับอวี๋เซิงฝู
“บุกรุกบ้านคนอื่นยามวิกาล มีเจตนาขโมยวัตถุโบราณของชาติ ยังไงก็ต้องติดคุกแน่นอนครับ ส่วนจะติดคุกนานเท่าไหร่ ผมเองก็ไม่ทราบ” สวีซงซิงมองเธอและกล่าวต่อ “แต่คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ พวกเขาคงติดคุกไม่น้อยกว่าสามปี ในระหว่างนี้ คงกลับมารังควานคุณไม่ได้อีก…”
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะเบา ๆ “ดีแล้วค่ะ”
เมื่อผลออกมาเป็นแบบนี้ ครอบครัวของลู่ฉิวเยว่ก็ไม่จำเป็นต้องระแวงพวกชิวซินอีก พ่อแม่ของเธอมีความสุขมาก พวกท่านเก็บกระเป๋าเตรียมย้ายกลับเข้าบ้าน
แต่จังหวะที่พ่อแม่ของลู่ฉิวเยว่กำลังจะกลับ เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น ลู่ฉิวเยว่รีบเดินไปรับสาย
“ผู้อำนวยการเลี่ยว?” ลู่ฉิวเยว่ชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงจากปลายสาย “ท่านมีเรื่องให้ช่วยเหลือเหรอคะ?”
เลี่ยวเสิ้งกั๋วหัวเราะด้วยความเบิกบานใจ เห็นได้ชัดว่ากำลังอารมณ์ดี “คุณลู่ ผมโทรมาชื่นชมคุณน่ะสิ!”
“ยังไงนะคะ?”
“พวกเราตรวจสอบวัตถุโบราณที่คุณบริจาคมาทั้งหมดแล้ว พวกมันมีคุณค่าทางการศึกษาเป็นอย่างยิ่งเลยครับ!” เลี่ยวเซิ่งกั๋วพูดด้วยความตื่นเต้น
ลู่ฉิวเยว่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยการบริจาคของเธอก็คงมีประโยชน์ต่อผู้อื่นไม่น้อย และนั่นก็ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างมีความสุข
แต่พวกเขาไม่ได้สนิทสนมกันนัก หลังจากพูดคุยกันได้เพียงไม่กี่คำ ลู่ฉิวเยว่ก็วางสาย เธอนึกว่าเรื่องราวจะจบลงแล้ว จึงคิดไม่ถึงว่าวันต่อมาจะได้รับจดหมายพิเศษอีกหนึ่งฉบับ
ผู้อำนวยการเลี่ยวได้ข่าวว่าเธอเปิดร้านขายยาจีน เขาจึงเขียนจดหมายรับรองร้านขายยาเป็นการตอบแทนที่เธอบริจาควัตถุโบราณเหล่านั้น
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ รอให้คนส่งจดหมายกลับไป จากนั้นจึงกลับเข้ามาอ่านจดหมายที่โต๊ะในบ้าน
ลู่ฉิวเยว่ไม่ค่อยรู้เรื่องการคัดตัวอักษรเท่าไหร่ แต่ตัวอักษรที่ปรากฏอยู่บนแผ่นกระดาษสวยงามมาก ถ้าเอาไปติดไว้ในร้านขายยาจีนก็จะดูขลังไม่น้อย
“ไปได้มาจากไหนครับเนี่ย?” ฉินซือเปิดประตูเดินเข้ามาในบ้านและเห็นจดหมายฉบับนั้นกางอยู่บนโต๊ะ เขาโน้มตัวอ่านด้วยความประหลาดใจ
ลู่ฉิวเยว่ยิ้ม “ผู้อำนวยการเลี่ยวเขียนมาให้ค่ะ เขาสั่งให้ลูกน้องเอามาให้เมื่อกี้นี้เอง”
“ว่าแต่ว่าวันนี้คุณไม่ไปทำงานเหรอคะ? งั้นขับรถพาฉันไปที่ร้านขายยาหน่อยสิ ฉันจะเอาจดหมายฉบับนี้ไปติดโชว์ที่ร้าน”
ฉินซือเลิกคิ้วขึ้นสูง “คุณจะเอาจดหมายชื่นชมแบบนี้ไปติดที่ร้านขายยาจีนเนี่ยนะ? วันพรุ่งนี้ก็คงมีคนมาขโมยไปแล้วมั้ง?”
“ใครจะมาขโมยกัน?” ลู่ฉิวเยว่ยังคงยืนกรานและหัวเราะในลำคอ รู้สึกราวกับฉินซือกำลังหยอกล้อเธอมากกว่า
“คุณไม่เชื่อใช่ไหม?” ฉินซือหยิกแก้มขาวเนียนของภรรยา “คุณรู้หรือเปล่าว่าจดหมายคัดตัวอักษรแบบนี้มีมูลค่าตั้งเท่านี้เชียวนะ” ชายหนุ่มยกนิ้วชี้ขึ้นมา
ลู่ฉิวเยว่มองนิ้วของเขาด้วยความตกตะลึง รู้ดีว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ดังนั้นเธอจึงรีบปล่อยมือจากแผ่นกระดาษทันที เพราะกลัวว่าจดหมายคัดตัวอักษรเหล่านี้จะได้รับความเสียหาย “แต่แค่จดหมายคัดตัวอักษรธรรมดา มีค่าตั้งพันหยวนเชียวเหรอคะ?”
“พันหยวนที่ไหนกัน จดหมายฉบับนี้มีมูลค่าหมื่นหยวนต่างหาก” นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินซือได้พบว่าลู่ฉิวเยว่ก็มีเรื่องที่เธอไม่รู้เหมือนกัน เขาจึงอดแหย่เธอไม่ได้
นะ…หนึ่งหมื่นหยวน!
ลู่ฉิวเยว่กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าตัวอักษรที่อยู่ตรงหน้าคล้ายกับจะเปล่งประกายสีทองออกมา
มิน่า ทำไมคนส่งจดหมายถึงมีท่าทางระมัดระวังขนาดนั้น อีกทั้งเขายังขอให้เธอช่วยเปิดดูความเรียบร้อยของจดหมายอีกด้วย
เป็นจดหมายที่มีราคาแพงขนาดนี้จะไม่ระมัดระวังได้ยังไง!
และถ้าเธอเอาจดหมายอันล้ำค่านี้ไปติดโชว์ที่ร้านขายยาจีนจริง ๆ ถ้าไม่มีคนเข้ามาขโมยไป ก็คงแปลกประหลาดแล้ว