สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 216 เด็กน้อยได้รับการว่าจ้าง
บทที่ 216 เด็กน้อยได้รับการว่าจ้าง
เด็กชายกลืนน้ำลาย พลางพยักหน้า “ใช่ครับ”
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะเยาะในใจ สุดท้ายก็เป็นอดีตเจ้าของบ้านที่อยากจะได้บ้านหลังนี้คืนไปจริง ๆ ด้วย
แต่เมื่อป้าหลี่ได้ยินเช่นนั้น ก็ยิ่งตะโกนเสียงดังมากกว่าเดิมด้วยความมั่นใจ “ทำได้ดีมาก ลู่ฉิวเยว่! เธอทำอะไรผู้ใหญ่ไม่ได้ ก็เลยไปขู่เด็กแทนสินะ! น่าสมเพชจริง ๆ! ฉันนี่โชคร้ายเหลือเกินที่ต้องมาอยู่ข้างบ้านเธอ!”
ลู่ฉิวเยว่มองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา “ลูกของคุณต้องขอโทษนะคะ ถ้าลูกของคุณเป็นฝ่ายผิด ไม่ว่ายังไงก็ต้องขอโทษ”
“แต่เด็กก็โยนหินเล่นเป็นปกติอยู่แล้วไม่ใช่รึไง? มีคนที่ไหนจะมาถือสาหาความเด็กน้อยแบบนี้?” ป้าหลี่กล่าวอย่างไม่ยอมแพ้
แต่ลู่ฉิวเยว่ยังไม่ทันได้โต้ตอบ หวังเซวียนเซวียนก็ตะโกนสวนไปว่า “ก็ได้ครับ ลูกคุณเล่นปาหินเป็นปกติใช่ไหม งั้นผมจะขอเล่นกับลูกคุณบ้าง ถ้าลูกคุณเจ็บตัวขึ้นมา อย่ามาว่าผมก็แล้วกัน!”
“ก็เอาสิ!” ป้าหลี่จ้องมองร่างผอมบางของเด็กหนุ่ม ก่อนจะชำเลืองมองไปทางสามีที่ยืนอยู่ด้านหลัง สามีของเธอเคยทำงานแบกหาม ร่างกายจึงกำยำบึกบึน ต้องเอาชนะเด็กหนุ่มร่างผอมคนนี้ได้แน่
เมื่อได้ยินภรรยาพูดแบบนั้น หลี่เอ้อร์เซิ่งก็ถกแขนเสื้อขึ้นและก้าวมาข้างหน้าด้วยท่าทางเอาเรื่อง เขาเหลือบมองร่างกายที่ผอมแห้งของหวังเซวียนเซวียนด้วยความเหยียดหยาม “แค่สู้กับแกคนเดียวเนี่ยนะ? แค่นาทีเดียวแกก็วิ่งร้องไห้กลับบ้านแล้วมั้ง อย่ามาหาว่าฉันรังแกก็แล้วกัน”
หวังเซวียนเซวียนหัวเราะในลำคอและยกมือชี้หน้าเด็กชาย “นี่มันเรื่องของเด็กนะครับลุงหลี่ คุณจะเข้ามายุ่งทำไม?”
ป้าหลี่หันมามองลูกชายของเธอ หวังเซวียนเซวียนย่อมตัวใหญ่มากกว่าลูกชายเธอหลายเท่า
“ฝันไปเถอะ!”
ป้าหลี่กัดฟันด้วยความโกรธแค้นจนเกือบจะตะโกนด่าออกมา แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ฉินซือที่อยู่ทางด้านหลังก็โบกมือส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ด “เด็กสู้กับเด็ก ผู้ใหญ่สู้กับผู้ใหญ่ คุณหลี่มาสู้กับบอดี้การ์ดของผมเถอะ พวกเราจะสู้กันอย่างยุติธรรม”
กลุ่มบอดี้การ์ดเห็นครอบครัวของลู่ฉิวเยว่เดินออกมาจากบ้านพร้อมกับฉินซือ เมื่อเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้น พวกเขาจึงมายืนสังเกตการณ์อยู่บริเวณนี้ไม่ห่าง และเมื่อได้ยินคำสั่งจากผู้เป็นนาย ก็เดินตรงเข้าไปหาหลี่เอ้อร์เซิ่งอย่างไม่รอช้า
นอกจากพวกเขาจะสูงกว่าหลี่เอ้อร์เซิ่งแล้ว แขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของกลุ่มบอดี้การ์ดก็ดูจะสามารถรัดคอคนจนตายได้จริงๆ
หลี่เอ้อร์เซิ่งสะดุ้งเฮือก ผงะถอยโดยไม่รู้ตัว ความมั่นใจจางหายไป ได้แต่ชี้หน้ากลุ่มบอดี้การ์ดด้วยความโกรธแค้นและหวาดกลัว “พวกคุณกำลังข่มเหงผมชัด ๆ!”
กลุ่มบอดี้การ์ดหัวเราะเยาะอย่างเย็นชาและเดินเข้าไป ตอนนี้แม้แต่จะพูดอะไรสักคำ หลี่เอ้อร์เซิ่งก็ทำไม่ได้ เขากลัวว่าตัวเองจะโดนต่อยจริง ๆ จึงวิ่งหนีเข้าบ้าน
เมื่อป้าหลี่เห็นสามีวิ่งหนีไปแบบนั้น เธอก็หมดความมั่นใจเช่นกัน รีบไล่ลูกชายกลับเข้าบ้านด้วยความร้อนรน
หลังจากกลุ่มผู้ก่อกวนวิ่งหนีเข้าบ้านกันหมดแล้ว มารดาของลู่ฉิวเยว่ก็มองไปยังบ้านของอีกฝ่าย ก่อนจะยิ้มให้ทุกคน “ขอบคุณที่ช่วยพูดแทนพวกเรานะคะ ยืนตากแดดอยู่แบบนี้เดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้ กลับเข้าบ้านไปพักผ่อนกันเถอะค่ะ”
“ตอนแรกพวกเราก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่ว่าป้าหลี่คนนี้…เฮ้อ!”
ทุกคนยิ้มพลางโบกมือ ก่อนจะแยกย้ายกลับไปบ้านของตัวเอง
เมื่อการโต้เถียงจบลง พวกลู่ฉิวเยว่ก็กลับเข้ามารับประทานอาหารกันต่อ อาหารมื้อนี้หรูหรามากทีเดียว
ลู่ฉิวเยว่บอกให้ทุกคนรับประทานอาหารกันต่อ แล้วพวกเขาก็ทานอาหารด้วยความเอร็ดอร่อย ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องราวเมื่อสักครู่นี้อีก
เมื่อรับประทานอาหารกันเสร็จ ทั้งครอบครัวก็มานั่งคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น พร้อมกับดูโทรทัศน์และกินขนม
“อยู่ดี ๆ เจ้าของบ้านเก่าก็อยากจะกลับมาซื้อบ้านคืน หรือจะเป็นเพราะวัตถุโบราณพวกนั้นกันนะ?” คุณแม่ลู่คว้าเมล็ดแตงโมทอดที่เพิ่งทำเมื่อวานนี้ สีหน้าดูวิตกกังวล “แต่แม่ก็เห็นว่าก่อนหน้านี้เธอก็รีบขายบ้านให้เราเหมือนกัน แต่ตอนนี้กลับเร่งอยากซื้อคืน หรือว่าจะมีคนไปบอกอะไรเธอหรือเปล่านะ?”
“มีความเป็นไปได้อยู่นะคะ” ลู่ฉิวเยว่พูดอย่างใช้ความคิด
เจ้าของบ้านหญิงบอกว่ามีความจำเป็นต้องใช้เงินจึงรีบขายบ้าน แต่ตอนนี้อยู่ดี ๆ เจ้าของบ้านเก่าก็มีเงิน และอยากจะซื้อบ้านคืนในราคาที่สูงกว่าเดิม เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลสักนิด
แต่ลู่ฉิวเยว่ก็ทำได้เพียงคาดเดาเท่านั้น
เธอปวดหัวขึ้นมา เจ้าของบ้านคนนั้นคงวางแผนลับหลังอยู่แน่ ๆ แต่ลู่ฉิวเยว่ไม่ได้กลัวอีกฝ่าย กลับเหนื่อยกับการจัดการปัญหาแทน
ฉินซือยื่นลูกท้อที่ปอกเปลือกแล้วมาให้ “อย่าคิดมากเลย เดี๋ยวผมจะให้คนตรวจสอบดูนะ อีกไม่นานเราก็จะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ลู่ฉิวเยว่รับลูกท้อไปกิน ความวิตกกังวลลดลงในทันใด “ก็ได้ค่ะ คงต้องรบกวนคุณแล้ว”
ฉินซือจ้องเธอตาเขม็ง “เราแต่งงานกันแล้ว ยังต้องเกรงใจอะไรอีกล่ะ?”
ลู่ฉิวเยว่กอดแขนของผู้เป็นสามี พลางหัวเราะ “ฉันลืมตัวค่ะ ครั้งหน้าจะระวังแล้วกัน”
เมื่อที่บ้านมีโทรศัพท์ ฉินซือจึงติดต่อกับลูกน้องและสั่งงานได้สะดวก
…
คืนต่อมา เวลาประมาณสามทุ่ม ลู่ฉิวเยว่อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว และกำลังนั่งดูสมุดบัญชีอยู่บนเตียงนอน
พวกเขาเตรียมตัวจะเข้านอน แต่คุณแม่ลู่ก็มาเรียกฉินซือ บอกว่ามีโทรศัพท์มาจากทางบ้านของเขา
ฉินซือคาดเดาบางอย่างได้ในใจ จึงรีบลุกขึ้นสวมรองเท้า ก่อนเดินออกไป เขาก็ไม่ลืมหันกลับมาหอมแก้มลู่ฉิวเยว่ “รอก่อนนะ เดี๋ยวผมกลับมา”
ลู่ฉิวเยว่หันมามองค้อนเขา “ไปเถอะค่ะ อย่ารบกวนเวลาตรวจบัญชีของฉัน”
สิบนาทีให้หลัง ฉินซือก็เปิดประตูเข้ามา ตรงขึ้นมานอนบนเตียง
“นี่ก็ดึกแล้ว มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?” ลู่ฉิวเยว่อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย ใบหน้าของเธอปรากฏความวิตกกังวลเล็กน้อย
ฉินซือหัวเราะในลำคอ ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวพวกเขา “เรื่องที่ผมให้คนไปตรวจสอบเมื่อวานนี้ได้ข้อสรุปแล้วนะ”
“หา?” ลู่ฉิวเยว่วางสมุดบัญชีและนั่งหลังตรงทันที
“เกือบเหมือนที่พวกเราคิดเอาไว้ เจ้าของบ้านเก่าอยากจะซื้อบ้านคืนเพราะวัตถุโบราณ เธอเพิ่งจะคบกับผู้ชายคนใหม่ได้ไม่นาน แล้วก็มาสร้างปัญหาก่อกวนเราทันที ช่างบังเอิญเหลือเกิน” ถึงแม้ฉินซือจะยังไม่มั่นใจ แต่ก็คิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ ‘คนรักใหม่’ ของเจ้าของบ้านหญิงคนเก่าจะเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
ลู่ฉิวเยว่ลูบคางอย่างใช้ความคิด “เขาคงไม่ได้เป็นลูกหลานของเจ้าของบ้านคนแรกใช่ไหม? แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ทำไมเขาถึงไม่มาหาพวกเราล่ะ? ถ้ากลัวว่าเราจะไม่ยอมมอบวัตถุโบราณเหล่านั้นกลับคืนไป เขาก็แจ้งตำรวจจับเราได้นี่นา”
ฉินซือหัวเราะในลำคอ “ผมว่าไม่น่าใช่น่ะสิ ผมตรวจสอบดูแล้ว เจ้าของบ้านคนแรกเสียชีวิตไปนานแล้ว ผู้ชายคนนั้นอาจจะเป็นญาติห่าง ๆ ของเจ้าของบ้านคนแรกต่างหาก” ด้วยเหตุนั้น เขาจึงไม่มีสิทธิ์ชอบธรรมตามกฎหมาย จึงได้แต่ใช้วิธีชั่วร้ายแบบนี้
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า แต่ถ้าพวกเขายืนกรานจะไม่ขายบ้าน อีกฝ่ายก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี และถ้าเกิดพวกเจ้าของบ้านหญิงมาระรานมากขึ้นเรื่อย ๆ ลู่ฉิวเยว่ก็แค่ให้พ่อแม่แจ้งตำรวจเท่านั้นเอง
บ้านของแม่เธอซื้อขายกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย บ้านในตอนนี้ได้รับการซ่อมแซมเรียบร้อย ยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ ราคาบ้านก็จะยิ่งสูงมากขึ้นในอนาคต ลู่ฉิวเยว่จึงไม่โง่พอที่จะขายบ้านคืนให้อีกฝ่ายแน่ ๆ
เมื่อนึกถึงราคาบ้านในอนาคต ลู่ฉิวเยว่ก็ยิ้มอย่างมีความสุข
ฉินซือปัดผมตรงหน้าเธอ ขัดจังหวะความคิดของภรรยา “คุณกำลังคิดอะไรอยู่? ยิ้มกว้างเชียวนะ”
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะและไม่ยอมบอกเขา ไม่อย่างนั้นเขาจะหาว่าเธอเป็นคนเห็นแก่เงินแน่ ๆ หลังจากนั้นลู่ฉิวเยว่ก็หยิบสมุดบัญชีขึ้นมาตรวจต่อ
“ดึกแล้ว คุณจะดูสมุดบัญชีอีกทำไม นอนเถอะ” ฉินซือพูดด้วยความไม่พอใจ เอื้อมมือไปหยิบสมุดบัญชีจากมือของภรรยา และโยนทิ้งไปบนโซฟาที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ลู่ฉิวเยว่จึงหยิบกลับมาไม่ได้อีก นอกจากเธอจะลุกจากเตียง