สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 215 ส่งมอบวัตถุโบราณ
บทที่ 215 ส่งมอบวัตถุโบราณ
“ข้างในยังมีของอีกเยอะเลย พวกเราทำความสะอาดกันก่อนดีกว่า” ลู่ฉิวเยว่เสนอความคิดเห็น ก่อนจะพาฉินซือลงไปข้างล่างอีกครั้ง คราวนี้พวกเขาใช้ไฟฉายที่มีกำลังไฟแรงมากกว่าเดิม ภายในห้องใต้ดินจึงสว่างไสวอย่างยิ่ง
อาการขาของพ่อเธอไม่ค่อยดี จึงตามลงมาไม่ได้ ท่านและภรรยาจึงทำได้เพียงรอรับของที่พวกเขาส่งกลับขึ้นมาอยู่ด้านบน
ลู่ฉิวเยว่ไม่ลืมกำชับกับพวกท่านว่าสิ่งของเหล่านี้คือวัตถุโบราณ พ่อแม่ของเธอจึงประคองพวกมันด้วยความทะนุถนอมเพราะกลัวว่าวัตถุโบราณเหล่านี้จะได้รับความเสียหาย
หลังจากวุ่นวายกันตลอดทั้งบ่าย สิ่งของที่อยู่ในห้องใต้ดินก็ถูกขนย้ายทั้งหมด ฉินซือกับลู่ฉิวเยว่ย้ายวัตถุโบราณส่วนใหญ่ไปเก็บไว้ในบ้าน
เช้าวันต่อมา หลังจากลู่ฉิวเยว่รับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย เธอก็ขึ้นรถของฉินซือ แล้วพวกเขาก็เดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอย่างรวดเร็ว
“มาติดต่อเรื่องอะไรครับ?” ชายหนุ่มที่นั่งประจำอยู่หลังเคาน์เตอร์ชะโงกถามด้วยความสงสัย
เพราะคนส่วนใหญ่ที่มาพิพิธภัณฑ์ ไม่ค่อยแวะมาหาเขาเท่าไหร่
“พวกเรามาหาคนดูแลที่นี่ครับ” ฉินซือตอบ
ชายหนุ่มจ้องมองคู่สามีภรรยา รู้สึกได้ว่าทั้งสองคนต้องไม่ใช่คนธรรมดา และคงไม่ได้มาก่อปัญหา ชายหนุ่มจึงพูดว่า “รอสักครู่ครับ” จากนั้นเขาก็เดินกลับเข้าไปด้านใน
ไม่นานนัก หัวหน้าพนักงานก็เดินออกมา เขามีบัตรประจำตัวคล้องอยู่ที่ลำคอ ทักทายคนทั้งสองด้วยความเป็นมิตร “ได้ยินว่าคุณสองคนต้องการพบผมใช่ไหมครับ?”
“พวกเราเจอวัตถุโบราณอยู่ในบ้านน่ะค่ะ ช่วยตรวจสอบให้หน่อยได้ไหมคะ ว่าเป็นของจริงหรือเปล่า เราจะได้ส่งให้ทางพิพิธภัณฑ์ดูแล” ลู่ฉิวเยว่พูดเข้าประเด็นทันที หลังจากนั้นเธอก็นำวัตถุโบราณที่หลอมจากเหล็กชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋า และวางบนโต๊ะ
หัวหน้าพนักงานรีบหันไปสั่งชายหนุ่มที่ประจำตรงเคาน์เตอร์ด้วยความตื่นเต้นว่า “ตามผู้ดูแลกับท่านรองมาเดี๋ยวนี้! บอกว่ามีคนนำวัตถุโบราณมาให้ตรวจสอบ ให้พวกเขาช่วยมาดูหน่อยว่าใช่ของแท้หรือเปล่า”
ชายหนุ่มพยักหน้า เมื่อรู้แล้วว่าเป็นเรื่องสำคัญ จึงรีบวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
หัวหน้าพนักงานยิ้มกว้าง มองสองสามีภรรยาด้วยแววตาชื่นชม จากนั้นเขาก็ชงน้ำชามาต้อนรับด้วยตนเอง “ดื่มชาก่อนเถอะครับ ดูเหมือนว่าพวกเราคงต้องให้พวกคุณรอคอยสักครู่”
ลู่ฉิวเยว่โบกไม้โบกมือบอกว่าไม่เป็นไร พวกเขาแค่อยากมาแจ้งเรื่องเท่านั้น ไม่ได้คาดหวังอะไรนัก
ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์กับผู้ช่วยคนสนิทรีบมาหาพวกลู่ฉิวเยว่ทันทีที่ได้ทราบเรื่อง ตามด้วยผู้ชำนาญการตรวจสอบวัตถุโบราณอีกสองคน
“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าชื่ออะไรกันบ้างเอ่ย?” ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์เป็นชายอายุประมาณห้าสิบปี ยิ้มแย้มแจ่มใส ท่าทางเป็นมิตร
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มตอบด้วยความรู้สึกดี “ฉันชื่อลู่ฉิวเยว่ ส่วนนี่สามีของฉัน ฉินซือค่ะ”
“สวัสดีครับ” ผู้ดูแลยิ้มเล็กน้อย พลางพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ “งั้นพวกเราตรวจวัตถุโบราณที่คุณนำมากันเลยดีไหมครับ?”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าด้วยความตื่นเต้น ตอบรับคำเชิญด้วยการนั่งลงตรงหน้ากลุ่มเจ้าหน้าที่ “แค่ดูอยู่ห่างๆ ก็พอมั้ง” ฉินซือรีบดึงเธอกลับมายืนข้างตัวเองทันที
“เป็นยังไงบ้าง?” ผ่านไปเพียงไม่กี่นาที ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุโบราณคนหนึ่งก็วางอุปกรณ์ในมือลง จนผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์อดถามขึ้นมาไม่ได้
“ของแท้ครับ” ผู้เชี่ยวชาญตอบ
เมื่อได้ยินแบบนั้น ทุกคนก็ยิ้มด้วยความดีใจ ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันมายืนยันกับลู่ฉิวเยว่ว่า “คุณลู่ครับ คุณจะมอบวัตถุโบราณพวกนี้ให้ทางพิพิธภัณฑ์จริง ๆ ใช่ไหมครับ?”
ลู่ฉิวเยว่ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “จริงค่ะ วัตถุโบราณพวกนี้เป็นของสำคัญทางประวัติศาสตร์ มีคุณค่าสำหรับประเทศชาติอย่างยิ่ง การส่งมอบของพวกนี้ให้ทางพิพิธภัณฑ์ดูแล คือทางออกที่ดีที่สุดแล้วค่ะ”
แม้ทางรัฐบาลจะยังไม่ได้ออกกฎหมายให้ส่งมอบวัตถุโบราณแก่ทางราชการในปีนี้ แต่ลู่ฉิวเยว่ก็รู้สึกว่าเธอไม่จำเป็นต้องเก็บวัตถุโบราณเหล่านี้เอาไว้กับตัวเองอยู่ดี ของบางอย่าง คนเราสมควรเอามาได้ แต่ของบางอย่างก็ไม่สมควรเอามาเด็ดขาด นี่คือหลักการของเธอ
ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ยิ่งมองลู่ฉิวเยว่กับฉินซือด้วยความชื่นชมมากกว่าเดิม “พวกคุณมีจิตสำนึกที่สูงส่งจริง ๆ ครับ ผมขอชื่นชมจากใจจริง”
ตอนนี้ประเทศชาติยังไม่มีกฎหมายห้ามปราม บรรดาคนที่พบเจอวัตถุโบราณจึงต้องการจะเก็บไว้เป็นของตนเอง ดังนั้นการจะมีคนนำวัตถุโบราณมาส่งมอบให้พวกเขาเองแบบนี้ย่อมหายาก
ผู้ดูแลรีบสั่งให้ลูกน้องนำเอกสารมาให้สองสามีภรรยากรอกข้อมูล
ก่อนที่พวกเขาจะกลับออกมา ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงพูดว่า “ถ้าพวกคุณอยากมาที่นี่อีกในอนาคต ก็มาได้เลยนะครับ พิพิธภัณฑ์ของเราจะไม่เก็บเงินพวกคุณตลอดชีพ”
ลู่ฉิวเยว่กับฉินซือยิ้มรับ
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ก็เป็นเวลายามเที่ยงพอดี คู่หนุ่มสาวไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนอีก กลับขับรถตรงกลับไปที่บ้านพ่อแม่ของลู่ฉิวเยว่
“เป็นยังไงบ้างจ๊ะ?” เมื่อเปิดประตูกลับเข้าไป คุณแม่ลู่ซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะกาแฟก็ถามทันที
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า เดินไปล้างมือในห้องครัวพร้อมกับฉินซือ พลางส่งเสียงตอบกลับไปว่า “จัดการเรียบร้อยแล้วค่ะ”
วันนี้พ่อของหวังเซวียนเซวียนมาเยี่ยมพวกเธอ คุณแม่ลู่จึงทำอาหารให้ทุกคนได้ทานกัน พวกเขาพูดคุยกันอย่างมีความสุข แต่ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงก้อนหินกรวดดินถูกขว้างมากระทบตัวบ้านจากด้านนอกไม่หยุดยั้ง
เสียงหัวเราะของกลุ่มเด็กน้อยดังมาจากบ้านข้างๆ หวังเซวียนเซวียนวางตะเกียบลงด้วยความวิตกกังวล “เดี๋ยวผมจะออกไปดูก่อนนะครับ ทุกคนทานกันต่อเถอะ”
ในไม่ช้า เสียงโต้แย้งระหว่างหวังเซวียนเซวียนกับกลุ่มเด็กเล็กก็ดังมาจากด้านนอก
ลู่ฉิวเยว่ไม่มีอารมณ์รับประทานอาหารอีกต่อไป เธอมองออกไปข้างนอกด้วยสายตาวิตก ก่อนจะวางตะเกียบและลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวหนูออกไปดูด้วยดีกว่า”
ฉินซือพยักหน้า กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ดังนั้นเขาจึงรีบเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อทั้งสองคนออกมาจากตัวบ้าน ก็ได้พบว่าเพื่อนบ้านกำลังโต้เถียงกับหวังเซวียนเซวียนอยู่ในขณะนี้
“เด็ก ๆ ก็แค่เล่นสนุกกันเท่านั้น จะเดือดร้อนอะไรนักหนา? ไม่มีใครโดนก้อนหินเขวี้ยงใส่สักหน่อย ทำไมต้องออกมาดุเด็ก ๆ แบบนี้ด้วย?” ผู้หญิงคนหนึ่งหัวเราะเยาะและปกป้องลูกของเธออยู่ทางด้านหลัง
หวังเซวียนเซวียนหัวเราะด้วยความโมโห “ทำไมเป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนี้ครับเนี่ย คุณไม่เคยเรียนหนังสือหรือไง? วันนี้ลูก ๆ ของคุณอาจจะขว้างก้อนหินไม่โดนใครก็จริง แต่วันข้างหน้า พวกเขาอาจจะขว้างก้อนหินใส่คนขึ้นมาจริง ๆ ก็ได้”
“แล้วตกลงว่ามีใครโดนก้อนหินกระแทกใส่ไหมล่ะ?” ผู้หญิงคนนั้นยังคงเถียงอย่างไม่ยอมรับ
เพราะเกิดการโต้เถียงครั้งนี้ขึ้น ชาวบ้านในละแวกเดียวกัน จึงเดินมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ผมไม่ได้จะว่าอะไรนะป้าหลี่ แต่ว่านี่เป็นความผิดของลูกป้าจริง ๆ ป้าควรขอโทษเขาซะ” ใครคนหนึ่งทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงช่วยพูดให้หวังเซวียนเซวียน
พวกเขาต่างอาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน จึงรู้ดีว่าบ้านของป้าหลี่มีนิสัยอย่างไร เพราะพวกเขาเองก็ทนไม่ไหวมานานแล้ว
“ใช่ ถ้าไม่สั่งสอนกันตั้งแต่เด็ก โตไปก็แก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว”
ป้าหลี่ไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งที่กลุ่มชาวบ้านไม่เข้าข้างเธอ เธอจึงยืนเท้าสะเอวตะโกนโต้ตอบกลับไปเสียงดัง
แต่เมื่อเผชิญกับคนที่ไม่มีเหตุผล หวังเซวียนเซวียนก็ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเธออีก เขาดึงตัวเด็กที่ตัวสูงที่สุดมาจากด้านหลังของป้าหลี่และถามว่า “บอกฉันมา ทำไมเธอต้องปาก้อนหินใส่บ้านของฉันด้วย?”
หวังเซวียนเซวียนมีสีหน้าเคร่งเครียดและเย็นชา เด็กน้อยเห็นแบบนั้นก็หวาดกลัว หลังจากพยายามสะบัดมืออยู่หลายรอบ แต่หนีไม่รอด เด็กชายจึงหันไปมองมารดาอย่างขอความช่วยเหลือ แต่บังเอิญเป็นตอนที่มารดาของเขาหันไปโต้เถียงกับกลุ่มชาวบ้านพอดี จึงไม่เห็นสายตาร้องขอความช่วยเหลือของเขา
“บอกมาเดี๋ยวนี้!” หวังเซวียนเซวียนจ้องเด็กชายด้วยสายตาเย็นชาและดุดัน
เด็กชายตกใจกลัวจนเกือบจะร้องไห้ออกมา “มีคนสั่งให้เราปาหินใส่บ้านคุณ เธอให้เงินพวกเรา บอกว่ายิ่งเราปาหินใส่บ้านคุณมากเท่าไหร่ เธอก็จะให้เงินเยอะมากเท่านั้น”
คำพูดของเด็กน้อยทำให้การโต้เถียงพลันยุติลง ลู่ฉิวเยว่ที่ได้ยินเข้าพอดี จึงคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กชาย และถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ผู้หญิงคนนั้นเป็นป้าที่มีผมหยิก ๆ ใช่ไหม?”