สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 211 หญิงชราขโมยเงิน
บทที่ 211 หญิงชราขโมยเงิน
ลู่ฉิวเยว่ก็รู้สึกเหนื่อยล้าเช่นกัน เธอโบกมืออำลาพวกเขา ก่อนจะเดินไปขึ้นรถยนต์ของฉินซือและเดินทางมุ่งตรงไปยังบ้านหลังใหม่
วันต่อมา ยังมีเรื่องคุณย่าใหญ่ให้จัดการ ลู่ฉิวเยว่กับฉินซือเดินทางไปที่สถานีตำรวจตั้งแต่รุ่งเช้าเพื่อตามหาตัวสวีซงซิงโดยเฉพาะ
เมื่อได้รับฟังสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน สวีซงซิงก็ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว “ได้ครับ เดี๋ยวผมจะช่วยพวกคุณจัดการเรื่องนี้เอง”
หลังจากพูดจบแล้ว พวกเขาก็ขึ้นรถยนต์ของฉินซือ แต่แทนที่จะมุ่งตรงไปยังร้านอาหารของลู่ฉิวเยว่ซึ่งเป็นสถานที่นัดหมาย พวกเขากลับหยุดรถอยู่หน้าสำนักงานกฎหมายแห่งหนึ่ง
เมื่อหันไปเห็นสายตาพิศวงของลู่ฉิวเยว่ ฉินซือก็อธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “เราขอให้ทนายไปด้วยกันดีกว่า เผื่อไว้ก่อนน่ะ”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าอย่างเข้าใจ
ในไม่ช้า ชายหนุ่มคนหนึ่งก็วิ่งออกมาจากสำนักงานพร้อมกระเป๋าเอกสารในมือ เขาเคาะกระจกหน้าต่างรถยนต์และถามว่า “นี่ใช่รถของคุณฉินซือหรือเปล่าครับ?”
ฉินซือพยักหน้า “ใช่แล้วครับ”
ชายหนุ่มผงกศีรษะ เปิดประตู และขึ้นมาบนรถ เขาทักทายสวีซงซิงที่อยู่ในชุดตำรวจด้วยความเป็นมิตร
เช้าวันนี้ ในละแวกร้านอาหารของลู่ฉิวเยว่มีผู้คนหนาแน่นเป็นพิเศษ หน้าร้านต่าง ๆ มีรถสามล้อปั่นมาจอดเรียงอยู่หลายคัน มีความเป็นไปได้สูงที่ฉินซือจะหาที่จอดรถไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงถอยรถกลับออกไปจอดที่หน้าปากซอยและเดินเท้ากลับเข้าไปแทน
“หืม? ทำไมวันนี้คนเยอะจัง” ลู่ฉิวเยว่พูดด้วยความประหลาดใจ เธอเคยมาที่ร้านอาหารในเวลานี้บ่อย ๆ แต่ก็ไม่เคยพบเจอลูกค้าเยอะขนาดนี้มาก่อน
แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ร้านมากขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดเธอก็ได้เข้าใจ
ปรากฏว่ากลุ่มคนมารวมตัวกันดูอะไรบางอย่างด้วยความอยากรู้อยากเห็น มีคนยืนออกันอยู่เต็มไปหมดบริเวณหน้าร้านค้าแห่งหนึ่ง เมื่อมองผ่านช่องว่างระหว่างกลุ่มคนเข้าไป ลู่ฉิวเยว่ก็มองเห็นกลุ่มนายตำรวจได้โดยทันที
ลู่ฉิวเยว่ไม่หยุดฝีเท้า ไม่สอบถามใครว่าเกิดอะไรขึ้น มีคนอยู่มากเกินไป เธอไม่อยากเข้าไปร่วมวงดู
แต่เธอได้ยินเสียงพูดคุยว่ามีของบางอย่างถูกขโมย
ลู่ฉิวเยว่กำลังจะเดินผ่านหน้าร้านค้าแห่งนั้นไป แต่แล้วก็ได้ยินเสียงของหวังเซวียนเซวียนดังขึ้นว่า “พี่ครับ?”
ลู่ฉิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นสูง “นายก็มารับชมความสนุกเหมือนกันเหรอ?”
หวังเซวียนเซวียนพยักหน้า สีหน้าบอกชัดถึงความตกตะลึง “ลองเดาดูสิครับว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“มีคนขโมยของจากร้านค้าใช่ไหม พี่ได้ยินชาวบ้านพูดกัน” ลู่ฉิวเยว่หัวเราะในลำคอ
หวังเซวียนเซวียนยกมือขึ้นส่ายนิ้ว “งั้นลองเดาสิครับว่าใครเป็นคนขโมย?”
ดูจากสีหน้าของเด็กหนุ่ม คนขโมยต้องเป็นคนที่เธอรู้จักอย่างแน่นอน ลู่ฉิวเยว่เกิดความรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที “ใครเหรอ?”
หวังเซวียนเซวียนดึงแขนพี่สาวไปมองผ่านช่องว่างระหว่างกลุ่มคน ให้เธอได้เห็นด้วยตนเอง ฉินซือมองทั้งสองคนด้วยความเหนื่อยใจก่อนจะเดินตามพวกเธอไปอย่างไม่มีทางเลือก และเขาก็ยื่นแขนออกไปป้องกันลู่ฉิวเยว่ไม่ให้ถูกคนอื่นชน
ในที่สุดลู่ฉิวเยว่ก็มองเข้าไปในร้านอาหารแห่งนั้นได้สำเร็จ และเธอก็เห็นพวกของคุณย่าใหญ่โดยทันที
หญิงชรานั่งหน้าเศร้าด้วยความสำนึกผิด
เมื่อคืนนี้ พอกลับมาจากโรงแรมหลังไปก่อกวนลู่ชางหลิน หญิงชราและพรรคพวกก็กลับไปยังที่พักด้วยความรู้สึกหิวโหยเป็นอย่างยิ่ง จึงพูดคุยกันว่าจะทำอาหารรับประทานกันเอง ตอนแรกหญิงชรานึกว่าลู่ชางหลินจะให้เงินติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง แต่คิดไม่ถึงเลยว่านังเด็กตัวแสบลู่ฉิวเยว่จะไม่ให้อะไรตนมาเลยแม้แต่เศษเงิน
ด้วยเหตุนี้เอง ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ คุณย่าก็ยิ่งรู้สึกเจ็บใจมากเท่านั้น ยิ่งคิดถึงเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกเสียใจและโกรธแค้นมากเช่นกัน เธอพลาดโอกาสที่จะได้เก็บซองงานแต่ง และด้วยความโกรธแค้นนี้เอง หญิงชราจึงวางแผนกับพวกของลู่เจี๋ยหรง เดินทางไปที่ร้านอาหารของลู่ฉิวเยว่เพื่อขโมยสิ่งของมีค่าเป็นการแก้แค้น
พวกของหญิงชราคิดว่าในตอนนี้ พวกของลู่ฉิวเยว่คงยังไม่มีกะจิตกะใจกลับมาดูร้านอาหารหรอก ยิ่งพวกเธอลงมือเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น
หญิงชราและชาวคณะจึงเดินทางไปที่ร้านอาหารของลู่ฉิวเยว่ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง พวกเธองัดลิ้นชักเก็บเงินและนำเงินสดออกมา แต่ก็ถูกเจ้าของร้านจับได้ก่อนจะแจ้งตำรวจในที่สุด
เนื่องจากลงมือก่อเหตุตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง และกลุ่มของหญิงชราไม่คุ้นเคยกับเส้นทางในเมืองหลวง ปรากฏว่าพวกเขาบุกเข้าไปขโมยเงินจากร้านอาหารของคนอื่น ไม่ใช่ร้านอาหารของลู่ฉิวเยว่!
“สรุปว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ถ้าทำผิดจริงก็ยอมสารภาพซะ ถ้าไม่ใช่ก็ปฏิเสธ บอกผมมาเดี๋ยวนี้ว่าพวกคุณมาทำอะไร!” นายตำรวจคำรามเสียงดัง
ลู่เจี๋ยหรงตื่นกลัวจนใบหน้าซีดขาว เธอหันกลับไปจ้องมองหญิงชราที่อยู่ข้าง ๆ พูดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “แม่เฒ่าคนนี้เป็นคนขโมยค่ะ สหายตำรวจ คุณก็เห็นนี่คะ ตอนนั้นแม่เฒ่าเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ในร้าน”
ลู่เจี๋ยหรงคิดคำนวณอยู่ในใจ คุณย่าของเธออายุมากแล้ว นายตำรวจคงไม่ใจดำจับไปขังคุกจริง ๆ หรอกใช่ไหม?
แต่ในทางกลับกัน ลู่เจี๋ยหรงรู้ดีว่าตนเองมีประวัติติดตัวอยู่ที่สถานีตำรวจ ถ้าเธอโดนตำรวจจับอีกครั้ง เถาหลินเซินก็คงอับอายและหาทางหย่าขาดกับเธออย่างแน่นอน
คุณย่าใหญ่รู้สึกโกรธแค้นมากที่หลานสาวสุดที่รักตัดช่องน้อยแต่พอตัว ในเมื่อพวกเธอลงมือก่อเหตุด้วยกัน ทำไมถึงมีแค่ตนคนเดียวที่ต้องรับโทษล่ะ
หญิงชราไม่ยอมได้รับความเดือดร้อนเพียงคนเดียวแน่นอน เธอจึงพูดด้วยความกระตือรือร้นว่า “นั่นเป็นเพราะว่าเธอวิ่งหนีออกไปได้เร็วต่างหาก สหายตำรวจ ลองดูในกระเป๋าของเด็กคนนั้นดูก็ได้ ของที่ถูกขโมยมาทั้งหมดอยู่ในกระเป๋าของเธอ ลองตรวจสอบดูได้เลย!”
แม่ของลู่เจี๋ยหรงผลักหญิงชราออกและปกป้องลูกสาวเสียงแข็ง “พูดอะไรเหลวไหลขนาดนี้คะ? พวกเราไม่ได้เข้าไปด้วยสักหน่อย คุณแม่เป็นคนคิดแผนขโมยของขึ้นมาเองไม่ใช่เหรอ!”
เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงตรงนี้ กลุ่มหัวขโมยเริ่มทะเลาะกันเอง
นายตำรวจไม่คิดจะห้ามปราม ปล่อยให้กลุ่มหัวขโมยทะเลาะกันเองอยู่ประมาณ 10 นาทีก็พอจะจับต้นชนปลายได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดังนั้นเขาจึงจับตัวทุกคนไปด้วยกันทั้งหมด
“เลิกเถียงกันได้แล้ว ตามพวกเรากลับไปที่โรงพักเดี๋ยวนี้!”
ลู่ฉิวเยว่เองเมื่อเห็นกลุ่มหัวขโมยทะเลาะกัน เมื่อลู่ฉิวเยว่เห็นกลุ่มหัวขโมยทะเลาะกัน ก็พอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ดูเหมือนว่าวันนี้คงไม่ได้จัดการเรื่องจดหมายตัดขาดตามที่วางแผนเสียแล้ว เธอถอนหายใจเดินเอามือไขว้หลังกลับไปที่ร้านอาหารของตนเองด้วยความสบายใจ โดยมีฉินซือตามมาด้วย
ในเวลาเดียวกันนี้ ลุงใหญ่ผู้เป็นพี่ชายของพ่อเธอก็กำลังแอบดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในเงามืด เขายกมือลูบหน้าอกตนเองและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาเป็นเพียงคนเดียวที่รอดพ้นหายนะครั้งนี้ได้สำเร็จ
โชคดีที่ตอนตำรวจบุกจับกุม เขาออกมาเข้าห้องน้ำ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงโดนจับไปด้วยแน่ ๆ
อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ถูกตำรวจจับตัวไปนั้นมีทั้งแม่ ภรรยา และลูกสาวของเขา ลุงใหญ่ไม่สามารถเมินเฉยได้อย่างเด็ดขาด ดังนั้นหลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย เขาก็เดินตรงไปที่ร้านอาหารของลู่ฉิวเยว่
ในร้านอาหาร ลู่ฉิวเยว่กำลังอธิบายให้สวีซงซิงและทนายหนุ่มรับฟังด้วยความอับอาย “คุณย่าของฉันโดนตำรวจจับไปแล้วค่ะ เรื่องนี้เราคงแก้ไขกันไม่ได้ในตอนนี้ ขอบคุณที่อุตส่าห์เสียเวลามานะคะ”
“แต่ก่อนกลับ พวกเรามากินอาหารด้วยกันเถอะค่ะ ฉันสั่งให้เชฟเตรียมอาหารเมนูใหม่เอาไว้ให้แล้ว” ลู่ฉิวเยว่ยกมือชี้ไปยังโต๊ะอาหารที่อยู่ไม่ไกล ซึ่งมีจานอาหารและขนมถูกวางรออยู่แล้ว
หลังจากลังเลเล็กน้อย นายตำรวจและคุณทนายก็ตอบตกลง
ตอนที่พวกเขากำลังนั่งลงที่โต๊ะอาหาร
ลุงใหญ่ก็เดินผ่านประตูร้านเข้ามาพอดี ดวงตาของเขาจับจ้องมองตรงมาที่ลู่ฉิวเยว่กับฉินซือ
“ฉิวเยว่ แย่แล้ว คุณย่าของเธอโดนตำรวจจับ!”
ลู่ฉิวเยว่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “ว่าไงนะคะ?”
“คือว่า…เงินของพวกเราหมดแล้ว เธอผิดที่ไม่ยอมให้เงินคุณย่า คุณย่าก็เลยโมโหจนต้องไปขโมยเงินคนอื่นไงล่ะ” ลุงใหญ่โยนความผิดมาให้ลู่ฉิวเยว่ทันที
หญิงสาวหัวเราะเยาะ “แหม ถึงขั้นไปขโมยเงินคนอื่นแบบนี้ หนูช่วยไม่ได้หรอกค่ะ ไม่ต้องมาบอกหนูหรอก”
“ลู่ฉิวเยว่! ทำไมเธอถึงได้เป็นคนแบบนี้!” ลุงใหญ่ตบโต๊ะด้วยความไม่พอใจ “แค่บอกให้ฉินซือสั่งให้ตำรวจปล่อยตัวพวกคุณย่า มันจะลำบากอะไรนักเชียว เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ทำไมช่วยเหลือกันไม่ได้!”
ลู่ฉิวเยว่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คุณลุงหมายความว่าไงคะ? ก็ในเมื่อคุณย่าขโมยเงินคนอื่นและนั่นเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เราจะไปช่วยได้ยังไง? คุณลุงกลับไปเถอะค่ะ”
ลุงใหญ่ชักสีหน้าด้วยความขุ่นเคือง กำลังจะเปิดฉากโต้เถียงกับเธอ แต่หางตาก็เหลือบไปเห็นสวีซงซิงเข้าเสียก่อน