สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 210 จบงานแต่ง
บทที่ 210 จบงานแต่ง
“อย่ามาพูดจาเหลวไหล พวกเด็ก ๆ กำลังวิ่งเล่นกันอยู่ด้านหลัง” หวังเซวียนเซวียนเพิ่งเปิดประตูกลับเข้ามาจากทางด้านหลังโรงแรมพอดี จึงตะโกนสวนไปว่า “ถ้าไม่เชื่อคุณมาดูด้วยตัวเองก็ได้”
สวีซงซิงพยักหน้า ส่งสัญญาณให้เหลียงซิงออกไปดูที่ด้านหลังโรงแรมด้วยกัน ซึ่งแขกคนอื่น ๆ ก็ลุกขึ้นติดตามไปรับชมความบันเทิงด้วยเช่นกัน
ลานด้านหลังโรงแรมมีโต๊ะม้าหินตั้งอยู่พร้อมด้วยจานใส่ขนมชุดใหญ่ เด็กน้อยคนหนึ่งกำลังนั่งรับประทานขนม ในขณะที่อีกสองคนกำลังวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน
พวกเขาไม่ได้โดนลักพาตัวไปตามที่เหลียงซิงกล่าวหาเลย
“เป็นไงครับ? หรือว่าคุณอยากจะให้เด็ก ๆ กลับไปรบกวนแขกในงานต่อ?” หวังเซวียนเซวียนหัวเราะเยาะใส่เหลียงซิง
เมื่อเด็ก ๆ เห็นหน้าเหลียงซิง พวกเขาก็รีบวิ่งเข้ามาร้องประสานเสียง “พ่อครับ/คุณลุงครับ พวกเรามุดใต้โต๊ะแล้วก็ทำจานชามตกพื้นตามที่บอกแล้ว เมื่อไหร่จะซื้อไอติมเลี้ยงพวกเราสักทีล่ะ”
เมื่อเด็กน้อยพูดออกมาแบบนั้น สายตาของทุกคนก็จ้องมองไปที่เหลียงซิง ลู่ฉิวเยว่ยกมือกอดอก พูดด้วยความเหยียดหยามว่า “คุณเหลียง คุณตั้งใจมาที่นี่เพื่อก่อกวนจริงๆ สินะ”
ใบหน้าของเหลียงซิงแดงก่ำด้วยความอับอาย เขาจ้องมองเด็ก ๆ ด้วยความเกลียดชัง ก่อนจะรีบพาลูกชายและหลานชายของตนเองเดินจากไปด้วยความหมดหวัง
สุดท้าย เลขาหวังก็เดินไปพูดคุยกับแขกเหรื่อว่า “ไม่มีอะไรแล้วครับ งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อ พวกเรากลับมาสนุกกันต่อดีกว่า”
หลังจากนั้น ทุกคนก็เดินกลับเข้าไปในโรงแรม พูดคุยและหัวเราะกันตามเดิม ไม่มีใครพูดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้เลย
เมื่อเด็กเสิร์ฟนำอาหารมาเสิร์ฟ งานเลี้ยงก็ยิ่งมีชีวิตชีวามากขึ้น แขกหลายคนไม่เคยได้รับประทานอาหารจากร้านของลู่ฉิวเยว่มาก่อน พวกเขาจึงต้องยกนิ้วโป้งให้ด้วยความชื่นชมและรับปากว่าจะต้องไปอุดหนุนที่ร้านของเธอให้ได้
ฉินซือเป็นคนที่ไม่ชอบดื่มไวน์ แต่วันนี้เป็นวันดี เขาดื่มฉลองร่วมกับทุกคน แม้แต่ลู่ฉิวเยว่ก็ดื่มไปหลายแก้วเช่นกัน ใบหน้าของเธอแสดงออกถึงความมึนเมาเล็กน้อย สองแก้มของหญิงสาวแดงปลั่งราวกับลูกท้อ
งานเลี้ยงจบลงแล้ว ลู่ฉิวเยว่เดินตามฉินซือออกไปส่งแขก เธอจ้องมองโรงแรมที่ว่างเปล่า ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พลางทิ้งตัวลงไปนั่งบนเก้าอี้ และอดบ่นขึ้นมาไม่ได้ว่า “การจัดงานแต่งนี่ก็เหนื่อยเหมือนกันนะ…”
ฉินซือวางมือลงบนไหล่เธอ ไม่สามารถถอนสายตาออกไปจากใบหน้าของหญิงสาวได้ชั่วขณะ
“เดี๋ยวพ่อแม่จัดการต่อเอง พวกลูกกลับไปพักผ่อนเถอะ” แม่เจ้าสาวพูดอย่างใจดี สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าและลุกขึ้นยืน “แม่ก็อย่าหักโหมนะคะ วันนี้แม่ยุ่งมาทั้งวันแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวหนูจะจ้างคนมาเก็บงานเอง หนูไม่อยากให้พ่อกับแม่ต้องเหนื่อย”
พ่อแม่ของเธอรู้สึกเหนื่อยล้าจริง ๆ เมื่อได้ยินลูกสาวพูดเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่ได้ดื้อรั้นอีกต่อไป ทั้งสองท่านรับปากว่าจะรีบกลับไปพักผ่อนตามลูก ๆ
แต่ในระหว่างที่พวกเขากำลังยืนคุยกันอยู่นี้เอง แขกที่ไม่ได้รับเชิญก็ปรากฏตัว
“ดีมาก ชางหลิน! แกโกหกฉัน!” หญิงชราเดินเข้ามาด้วยความเกรี้ยวกราดพร้อมลูกชายคนโต เธอกำลังยกมือชี้หน้าคุณพ่อลู่และตะโกนสาปแช่ง
ลุงใหญ่บ่นออกมาว่า “ใช่แล้ว ชางหลิน แกไม่อยากให้เรามาร่วมงานแต่งของฉิวเยว่ยังไงก็ได้ แต่แกจะมาโกหกแม่แบบนี้ไม่ได้!”
ลู่ชางหลินหัวเราะตอบกลับไป “พี่ก็รู้ว่าทำไมผมต้องโกหก!”
ในอดีต ลู่ชางหลินเป็นลูกที่เชื่อฟังแม่ที่สุดในตระกูล จำนวนครั้งที่เขาไม่เชื่อฟังแม่นับได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว แต่หลายวันที่ผ่านมา หญิงชราถูกลูกชายเมินเฉยมาโดยตลอด เธอจึงรู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง
“เป็นเพราะแกโกหกฉัน พวกเราถึงไม่ได้มาช่วยเก็บซองงานแต่ง แกต้องชดใช้ฉันมาเดี๋ยวนี้!” คุณย่าใหญ่ประกาศข้อเรียกร้องอย่างหน้าไม่อาย
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะในลำคอ “คงไม่ได้หรอกค่ะ คุณย่าไม่ได้มาช่วยงานเราสักหน่อย ทำไมเราต้องแบ่งเงินให้ด้วย”
หญิงชรากลอกตาด้วยความไม่สบอารมณ์ เธอยกมือเท้าเอว พูดด้วยหน้าตาขึงขัง “ไม่ให้เงินก็ได้ แต่เธอต้องเอาสูตรทำเมล็ดแตงโมทอดมาให้ฉัน! ไม่งั้นเราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“ถ้าหนูไม่ให้แล้วจะทำไมคะ?” ลู่ฉิวเยว่ยกมือกอดอกและจ้องมองหญิงชราด้วยสายตาเย็นชา
ฉินซือที่ยืนอยู่ด้านข้างก็มีแววตาเย็นชาเช่นกัน คุณย่าใหญ่ไม่เคยถูกใครจ้องมองด้วยสายตาเย็นชาขนาดนี้มาก่อน หนังหัวของเธอจึงเริ่มรู้สึกชายิบ
“ก็ได้…ฉันไม่เอาอะไรก็ได้ แต่เธอต้องจ่ายค่าเลี้ยงดู!” หญิงชรายอมถอยในที่สุด
ลุงใหญ่ผู้เป็นลูกชายคนโตที่ยืนอยู่ด้านหลังไม่พอใจ รีบกระตุกแขนเสื้อผู้เป็นแม่เพื่อส่งสัญญาณ
แต่หญิงชราแค่อยากจะได้เงินค่าเลี้ยงดูของตนเอง ดังนั้นเธอจึงสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่สนใจ
ลู่ฉิวเยว่เชิดหน้าขึ้น “ไม่จ่ายค่ะ พวกเราตัดขาดกันไปแล้วนะคะ”
คุณย่าใหญ่ระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความโกรธแค้น รีบพูดสวนกลับมาว่า “ตัดขาดแค่ครั้งเดียว มันก็ปฏิเสธความจริงไม่ได้หรอกนะว่าฉันเป็นคนเลี้ยงพ่อเธอมาตั้งหลายปี!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หญิงชราก็หันหน้าไปหาลูกชายคนรอง “ลู่ชางหลิน บอกฉันมา แกสมควรให้ค่าเลี้ยงดูฉันใช่ไหม!”
ลู่ฉิวเยว่ถอนหายใจ หญิงชรารู้จริง ๆ ว่าควรจะเล่นงานใคร
“ก็ได้ค่ะ ในเมื่อคุณบอกว่าพวกเราเป็นญาติกัน แล้ววันนี้ก็เป็นวันมงคลของฉัน ฉันไม่อยากให้คุณมาสร้างปัญหา พวกเรามาคุยเรื่องนี้กันพรุ่งนี้ดีไหมคะ” ลู่ฉิวเยว่พูด “ฉันจะหาคนร่างสัญญาไปด้วย พวกเราจะได้ไม่ต้องมาเถียงกันเรื่องนี้อีก”
คุณย่าใหญ่ชักสีหน้าด้วยความไม่สบอารมณ์ แต่เมื่อเห็นสายตาเย็นชาปานน้ำแข็งของฉินซือและเลขาหวังที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ที่กำลังยืนนวดกำปั้นด้วยความหงุดหงิด หญิงชราจึงทำได้เพียงตอบกลับไปว่า “ก็ได้ คุยกันพรุ่งนี้”
รออีกแค่วันเดียวเท่านั้น
หญิงชราจึงยกพรรคพวกกลับไปแต่โดยดี
คุณแม่ลู่ถอนหายใจ หันไปมองหน้าลูกสาวด้วยความกังวล “พวกเราจะทำยังไงกันดี?”
ลู่ชางหลินก็จ้องมองไปที่ลูกสาวโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน ดูเหมือนว่าในขณะนี้ พวกท่านจะยกให้ลู่ฉิวเยว่เป็นหัวหน้าครอบครัวไปเรียบร้อยแล้ว
ลู่ฉิวเยว่หยิบถ้วยน้ำชามาดื่ม พูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นว่า “หนูจะทำอะไรได้อีกละคะ วันพรุ่งนี้หนูจะร่างจดหมายตัดขาด แล้วพวกเราก็จะไปที่สถานีตำรวจ มาดูกันว่าคุณย่ายังจะแผลงฤทธิ์อะไรได้อีก”
“แต่คนอย่างคุณย่าคงไม่หยุดง่าย ๆ ถึงจะเอาตำรวจมาขู่ แต่คุณย่าก็คงกลัวแค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น” แม่ของเธอพูดด้วยความรำคาญใจ
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะในลำคอและอธิบายว่า “หนูไม่ได้ตั้งใจจะเอาตำรวจมาขู่คุณย่าหรอกค่ะ ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง แต่ตำรวจจะได้รับจดหมายตัดขาดจากพวกเราแล้ว ถ้าคุณย่ายังมาก่อกวนพวกเราอีกในอนาคต เราก็สามารถไปแจ้งตำรวจ และตำรวจก็จะมาจับคุณย่าได้โดยทันทีเลยค่ะ”
ดวงตาของคนเป็นแม่เป็นประกายระยิบระยับ ส่วนคนเป็นพ่อยืนจับไม้เท้าด้วยความลังเล “แต่คุณย่าก็อายุเยอะแล้วนะ ถ้าถูกขังในสถานีตำรวจคงทรมานไม่น้อย…”
มีใครบ้างอยากให้แม่ตัวเองโดนจับขังคุก?
“ก็ถ้าคุณย่าไม่มาหาเรื่องพวกเรา คุณย่าก็ไม่ติดคุกหรอกค่ะ แต่ถ้าคุณย่ามาหาเรื่องพวกเรา ก็สมควรแล้วที่จะโดนตำรวจจับไปขังคุก” ลู่ฉิวเยว่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
แม่ของเธอชักสีหน้าด้วยความหงุดหงิดใส่สามีเป็นครั้งแรก “ลู่ชางหลิน คุณจะปล่อยให้คุณแม่มารังแกฉิวเยว่อยู่แบบนี้ตลอดไปหรือไง? แม่ของคุณไม่เคยยอมรับเลยนะว่าตัวเองทำผิดขนาดไหน”
ก่อนหน้านี้ หญิงชราก็ร่วมมือกับลู่เจี๋ยหรงใส่ร้ายป้ายสีสร้างมลทินให้ลูกสาวของเธอ คุณแม่ลู่จึงรู้สึกว่าคนชั่วช้าแบบนี้สมควรถูกจับขังคุกไปนานแล้ว
ลู่ชางหลินย่อมรู้ดีว่ามารดาของตนเองเป็นคนยังไง หากไม่ได้รับบทเรียนราคาแพง แม่เฒ่าก็คงมาวุ่นวายกับลู่ฉิวเยว่ไม่เลิกราจริง ๆ ดีไม่ดี แม่ของเขาอาจจะทำให้เรื่องทุกอย่างเลวร้ายลงก็เป็นได้
สุดท้าย เขาก็กัดฟันตัดสินใจขั้นเด็ดขาด “ตกลง ผมจะเชื่อคุณ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ความไม่พอใจบนใบหน้าคุณแม่ลู่ก็เบาบางลงไปเล็กน้อย