สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 209 งานแต่งในกรุงปักกิ่ง
บทที่ 209 งานแต่งในกรุงปักกิ่ง
หลังจากไล่ทุกคนกลับกันไปหมดแล้ว ฉินซือก็ปิดประตูบ้าน เมื่อเขาหันหน้ากลับมาก็พบว่าลู่ฉิวเยว่กำลังหยิบกระจกบานเล็ก ๆ ออกมาส่องดูใบหน้าของตนเอง
เขาไอออกมาแห้ง ๆ รู้สึกเขินอายเล็กน้อย “ผมเพิ่งเคยทาลิปเป็นครั้งแรก ยังทำได้ไม่ดีสักเท่าไหร่ ครั้งหน้าผมจะพยายามให้ดีกว่านี้นะ”
เมื่อจ้องมองเข้าไปในกระจก ลู่ฉิวเยว่ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย พยายามลบรอยลิปสติกส่วนเกินออก ก่อนจะหันไปยิ้มให้เขา “ไม่เห็นเป็นไรเลย คุณทาได้ดีแล้ว แต่ลงสีหนักไปหน่อย ฉันแค่ต้องใช้ผ้าเช็ดเท่านั้นเอง”
ฉินซือเดินเข้าไปนั่งอยู่ตรงหน้าเธอ จ้องมองตรงไปที่ริมฝีปากกลีบกุหลาบพร้อมกับกลืนน้ำลาย “ไม่ต้องเช็ดหรอก…เดี๋ยวผมเช็ดให้เอง”
ลู่ฉิวเยว่หยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่วินาทีต่อมา ใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่มจะมาปรากฏขึ้นอยู่เบื้องหน้า แล้วริมฝีปากของเธอก็รับรู้ได้ถึงสัมผัสร้อนอุ่น
จูบนี้แตกต่างจากจูบในอดีต จูบของฉินซือในวันนี้ค่อนข้างหนักหน่วงรุนแรง เหมือนกับว่าฉินซือต้องการจะกลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัวอย่างไรอย่างนั้น
จนกระทั่งลู่ฉิวเยว่โดนจูบจนรู้สึกเหมือนสมองกำลังจะขาดออกซิเจน ฉินซือจึงได้ปล่อยเธอ
ตอนที่ทาลิปสติกให้เธอก่อนหน้านี้ ฉินซือก็อยากจะจูบเธอแบบนี้อยู่แล้ว เขาอยากจะกดเธอลงไปบนเตียงแล้วด้วยซ้ำ…
“คุณดูสวยจริง ๆ เวลาตั้งตัวไม่ทันน่ะ”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ เสียงแหบแห้งดังขึ้นข้างหูของเธอ ลู่ฉิวเยว่หน้าแดงอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นก็เอื้อมมือไปคล้องคอชายหนุ่มไว้ “อย่าเพิ่งก่อกวนสิ เรายังต้องไปเลี้ยงฉลองกันอีกไม่ใช่เหรอ?”
ฉินซือนึกอะไรบางอย่างได้ทันที เขาเปิดประตูกลับออกไปข้างนอก ก่อนจะเดินกลับเข้ามาพร้อมจานขนมหวานและแก้วน้ำผลไม้ในมือ
“ผมเดาว่าเช้านี้คุณคงยังไม่ได้กินอะไร ผมก็เลยหาอะไรไว้ให้คุณกินรองท้องก่อนน่ะ แล้วพวกเราค่อยไปฉลองกันที่โรงแรมต่อ”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า หยิบขนมหวานมารับประทานด้วยความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ “อร่อยจังเลยค่ะ”
ใบหน้าของฉินซือเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ผมเอาไปอุ่นมาน่ะ”
เมื่อเห็นสีหน้าภาคภูมิใจของเขา ลู่ฉิวเยว่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้เช่นกัน เธอหยิบขนมชิ้นหนึ่งยัดใส่ปากเขา
“คุณลองกินดูบ้างสิ”
ฉินซือเคี้ยวขนมในปากอย่างมีความสุข ไม่อาจละสายตาไปจากใบหน้าของหญิงสาวได้อีกแล้ว
เมื่อพวกเขารับประทานขนมกับน้ำผลไม้เสร็จ และตรวจสอบจนแน่ใจว่าเครื่องสำอางบนใบหน้าอยู่ในสภาพที่ถูกที่ควรดีแล้ว ลู่ฉิวเยว่ก็เปลี่ยนมาสวมใส่ชุดสำหรับไปเลี้ยงฉลอง ก่อนจะเดินไปขึ้นรถยนต์พร้อมกับเขา
“ทำไมคุณถึงมองฉันแบบนี้เนี่ย?” สายตาของชายหนุ่มร้อนแรงดั่งเปลวไฟ ลู่ฉิวเยว่ถามด้วยความเขินอายขณะจับระบายลูกไม้ที่ชายกระโปรงแน่น
“ก็เพราะคุณสวยไง” ฉินซือยิ้มกว้างและช่วยเกี่ยวปอยผมของเธอไปทัดไว้หลังใบหู
หากเป็นก่อนหน้านี้ ลู่ฉิวเยว่จะงดงามเฉิดฉายอยู่ในชุดเจ้าสาวสไตล์ยุโรป ตอนนี้เธอก็กำลังงดงามอยู่ในชุดกี่เพ้าสีแดงสด ซึ่งทำให้หัวใจของฉินซือเต้นเร็วมากกว่าเดิม
งานที่โรงแรมได้จัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว พ่อแม่ของฝ่ายเจ้าสาวกำลังทำหน้าที่ต้อนรับแขกและคอยช่วยกันเก็บซองเงินสำหรับช่วยงานแต่งจากแขกผู้มาร่วมงาน
คุณแม่ลู่ไม่ลืมกำชับบรรดาชาวบ้านที่มาจากหมู่บ้านชนบทว่าไม่ต้องใส่ซองช่วยงานเยอะแยะอะไรมากมาย ขอแค่คนละไม่กี่หยวนก็พอแล้ว
แต่สิ่งที่เธอไม่ทราบก็คือ กลุ่มชาวบ้านทุกคนที่มาร่วมงานแต่งต่างก็มาด้วยความบริสุทธิ์ใจ พวกเขาจึงใส่เงินช่วยงานในจำนวนที่มากที่สุดเท่าที่ตนเองจะใส่ได้ เพราะกลัวว่าลู่ฉิวเยว่จะโดนครอบครัวของฝ่ายเจ้าบ่าวดูถูก…
ประธานสมาคมนักทำอาหารก็พาผู้คนในสมาคมมาร่วมงานเช่นกัน และเขาก็ถึงกับเดินเข้ามาแสดงความยินดีต่อเจ้าสาวด้วยตนเอง และประโยคอวยพรของเขาก็ทำให้รอยยิ้มของลู่ฉิวเยว่ยิ่งเบิกบานมากกว่าเดิม
“ทุกคนเชิญนั่งทางนี้เลยค่ะ” เธอเดินนำกลุ่มคนจากสมาคมนักทำอาหารไปนั่งที่โต๊ะพิเศษ พูดคุยกันอีกเล็กน้อยก็ขอตัวกลับไปต้อนรับแขกคนอื่น ๆ ต่อ
แขกที่มาร่วมงานในวันนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้คนในแวดวงธุรกิจของฉินซือ พวกเขามีประสบการณ์ในการพูดอวยพรต่อหน้าผู้คนจำนวนมากอย่างโชกโชน บรรยากาศภายในงานแต่งจึงเต็มไปด้วยความคึกคักแจ่มใสเป็นอย่างยิ่ง
ลู่ฉิวเยว่ก็คุ้นเคยกับบรรยากาศเช่นนี้เหมือนกัน เธอไม่มีอาการตื่นเวทีเลยแม้แต่น้อย เธอพูดได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่มีอาการติดขัด ทำเอาคนเป็นแม่เจ้าบ่าวนึกประหลาดใจไม่ได้ ยิ่งเธอจ้องมองลูกสะใภ้คนนี้มากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากเท่านั้น
นับว่าลูกชายของเธอช่างโชคดีจริง ๆ ที่ได้แต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ ซึ่งมีความสามารถในการทำอาหารและเข้าสังคม
ป่าใหญ่ย่อมมีนกอยู่หลายชนิด ลู่ฉิวเยว่ส่งบัตรเชิญไปให้ทุกคนในสมาคมนักทำอาหาร แน่นอนว่าเหลียงซิงก็คือหนึ่งในนั้น
ในเมื่อเธอกล้าส่งบัตรเชิญให้เขา เขาก็กล้ามาเหมือนกัน เหลียงซิงถึงกับพาครอบครัวมาด้วย
ลู่ฉิวเยว่ชำเลืองมองไปและพบว่าเหลียงซิงพาเด็กน้อยมาด้วยอีกสามคน เธอนึกสงสัยจริง ๆ ว่าเขากำลังวางแผนจะทำอะไรกันแน่…
แต่ลู่ฉิวเยว่ก็ไม่กล้าไล่แขกกลับไป เธอไม่อยากทำให้บรรยากาศของงานมงคลต้องมัวหมอง ลู่ฉิวเยว่เดินไปต้อนรับครอบครัวของเหลียงซิงด้วยรอยยิ้ม และเชิญให้เขาไปนั่งร่วมกับคนอื่น ๆ ที่โต๊ะของสมาคมนักทำอาหาร
และเธอก็คาดเดาได้ถูกต้อง เหลียงซิงตั้งใจมาที่นี่เพื่อทำสงครามประสาทจริง ๆ เด็กน้อยเหล่านั้นวิ่งซนก่อปัญหา นอกจากไม่ยอมนั่งอยู่กับที่แล้ว พวกเขายังเริ่มวิ่งปั่นป่วนไปทั้งงานอีกด้วย
เด็ก ๆ ชนโต๊ะอาหาร ทำแก้วเครื่องดื่มตกแตกไปหลายแก้ว แถมยังชอบมุดลงไปเล่นใต้โต๊ะ ซึ่งทำให้แขกในงานที่เป็นผู้หญิงสวมใส่กระโปรงมาร่วมงานรู้สึกไม่สบายใจ
ลู่ฉิวเยว่กัดฟันกรอด รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้า แต่สายตาก็จะชำเลืองมองไปที่ลูก ๆ ของเหลียงซิงอยู่ตลอดเวลา เธอปรารถนาที่จะไล่ครอบครัวของเหลียงซิงกลับออกไปเหลือเกิน
“มา ๆ เดี๋ยวลุงจะพาไปเล่นข้างหลังนะ” เลขาหวังทนไม่ไหวอีกแล้ว สุดท้ายก็ต้องเดินเข้าไปอุ้มเด็กทั้งสองคนนำตัวไปไว้ที่ลานทางด้านหลังโรงแรม ส่วนเด็กอีกคน เมื่อเห็นพี่ ๆ ถูกอุ้มไป เขาก็รีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเหลียงซิงเห็นว่าเด็กน้อยเหล่านั้นถูกเลขาหวังจัดการอย่างง่ายดาย เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “เด็ก ๆ ก็แค่เล่นซนเท่านั้นไม่ใช่รึไง เป็นผู้ใหญ่ประสาอะไรต้องโมโหเด็กด้วย? คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาจากไหนกัน…ที่บ้านไม่ได้สอนหรือไงว่าต้องเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ และต้องให้ความรักกับพวกเด็กน้อยน่ะ?”
อย่างไรก็ตาม ทุกคนที่มาร่วมงานเห็นกับตาของตนเองว่าเด็กน้อยเหล่านั้นก่อปัญหาวุ่นวายเพียงใด จึงไม่มีใครสนทนากับเหลียงซิงแม้แต่คนเดียว ขนาดคนจากสมาคมนักทำอาหารก็ยังเลือกที่จะนิ่งเงียบ
แม้ว่ามีบางคนที่อยากจะแก้ต่างให้กับเด็กน้อยเช่นกัน แต่พวกเขายังไม่ได้พูดอะไรออกมา เลขาหวังก็ชิงพูดเสียก่อนว่า “ถ้าเด็ก ๆ อยากเล่นสนุก ก็ให้ไปวิ่งเล่นข้างหลังดีแล้วครับ ข้างหลังมีคนน้อย แต่มีพื้นที่กว้างขวาง จะได้ไม่ต้องกลัวว่าเด็ก ๆ จะวิ่งชนอะไรด้วย”
เลขาหวังเดินกลับมาหลังจากนำตัวเด็ก ๆ ไปไว้ที่ลานด้านหลังโรงแรม สายตาของเขากำลังจ้องมองเหลียงซิงด้วยความเย็นชา “ถ้าคุณเหลียงอยากมาร่วมแสดงความยินดีในงานแต่งจริง ๆ พวกเราก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ แต่ถ้าคุณตั้งใจมาที่นี่เพื่อก่อกวน งั้นก็อย่าโทษผมที่ไล่แขกกลับบ้านแล้วกัน”
“ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ! ฉันอุตส่าห์อยากมาร่วมยินดีในงานแต่ง แต่ทำไมถึงได้ดูถูกฉันแบบนี้!” เมื่อถูกเลขาหวังพูดเช่นนั้นใส่ต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก เหลียงซิงก็รู้สึกอับอายและใบหน้าก็กลายเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น
เมื่อเห็นว่าเลขาหวังไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เหลียงซิงก็ลุกขึ้นยืนอย่างได้ใจและพยายามจะก่อกวนต่อไป
“คุณมาที่นี่เพื่อก่อปัญหาเหรอครับ?” สวีซงซิงเพิ่งเดินเข้ามาในงานพอดี เขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด จึงเดินเข้ามาถามเหลียงซิงด้วยเสียงแข็งกระด้าง
เหลียงซิงสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
มีตำรวจมาอยู่ในงานแต่งงานได้อย่างไร?
เขารีบโบกไม้โบกมืออธิบายว่า “เปล่านะครับ…ผมแค่มาร่วมแสดงความยินดีเท่านั้นเอง”
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะเหยียดหยาม “ตั้งแต่มาถึง ฉันไม่เห็นคุณพูดอวยพรฉันเลยสักคำ ฉันว่าคุณตั้งใจมาก่อกวนมากกว่า อีกอย่าง คุณคงเจ็บใจสินะที่ต้องแพ้ฉันตอนแข่งทำอาหารมาตลอด”
“ให้ตายเถอะ ทุกคนเขามองออกว่าอะไรเป็นอะไร” ท่านประธานตวาดใส่เหลียงซิงด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มีใครที่ไหนบ้างเอาเด็กเล็กมางานแต่งเยอะขนาดนี้ ฉันคิดว่านายตั้งใจมาก่อกวนงานแต่งมากกว่า”
แม้แต่ท่านประธานก็ยังเข้าข้างลู่ฉิวเยว่ เหลียงซิงโกรธแค้นจนหน้าดำหน้าแดง กัดฟันกรอด พูดกับสวีซงซิงและนายตำรวจที่ยืนอยู่ทางด้านหลังว่า “พวกคุณเป็นตำรวจได้ยังไง ลูก ๆ ผมโดนจับตัวไปที่ไหนก็ไม่รู้ ทำไมถึงยังไม่จับตัวคนพวกนี้ไปสอบสวนอีก!”