สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 208 รับตัวเจ้าสาว
บทที่ 208 รับตัวเจ้าสาว
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มอย่างจนใจ รีบรับประทานอาหารและไปล้างจาน ก่อนจะรีบไปพักผ่อนตามคำแนะนำของผู้เป็นแม่
เวลา 5:00 น. ของเช้าวันใหม่ ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างเริ่มมีแสงเรืองรอง คุณแม่ลู่เดินเข้ามาปลุกเธอ
“รีบลุกขึ้นไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวแม่จะช่วยแต่งตัว”
ลู่ฉิวเยว่ลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก เธอยังคงเมาขี้ตาตอนที่ได้ยินคำพูดประโยคนั้น แล้วหญิงสาวก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานของเธอ
เธอรีบอาบน้ำอย่างรวดเร็ว เมื่อออกมาจากห้องน้ำ ก็ถูกลากไปนั่งแต่งหน้าและแต่งชุดเจ้าสาวที่โต๊ะเครื่องแป้งเสียแล้ว
ลู่ฉิวเยว่จ้างช่างแต่งหน้ามาเป็นพิเศษ เพราะเธอเคยลองแต่งหน้าเองแล้วเมื่อสองวันก่อน พบว่าฝีมือของตนเองสู้มืออาชีพไม่ได้เลย
ด้วยความที่เป็นคนมีโครงหน้าดีอยู่แล้ว เมื่อลู่ฉิวเยว่แต่งหน้าอย่างประณีต ใบหน้าของเธอจึงงดงามและสดใสไม่ต่างจากแสงตะวันยามเช้า
“สวยจังเลยค่ะ สวยที่สุด!” ช่างแต่งหน้าประคองใบหน้าของเธอขึ้นและพูดด้วยความชื่นชม ไม่ต่างจากกำลังชื่นชมผลงานศิลปะที่ตนเองสร้างขึ้นมาด้วยความใส่ใจ “ฉันแต่งหน้าเจ้าสาวมามากแล้ว แต่คุณเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบเจอเลยค่ะ”
มีผู้หญิงคนไหนบ้างไม่ชอบถูกชมว่าเป็นคนสวย ลู่ฉิวเยว่คึกคักแจ่มใสในทันใด เธอจ้องมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจก แล้วริมฝีปากกลีบกุหลาบของเธอก็บิดตัวเป็นรอยยิ้ม
ทางด้านคุณแม่ลู่ก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน นี่ขนาดลูกสาวของเธอยังไม่ได้สวมชุดแต่งงานเลยนะ ถ้าสวมแล้วจะสวยขนาดไหนกันเนี่ย
“คุณแม่คะ ได้เวลาแต่งชุดเจ้าสาวแล้วค่ะ ถ้าไม่รีบเดี๋ยวจะพลาดฤกษ์มงคลเอาได้”
เสียงเตือนของใครบางคนทำให้คุณแม่ลู่ได้สติ รีบยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา ตอนนี้ 06:30 น. แล้ว “ฉิวเยว่ รีบแต่งตัวเร็วลูก ฤกษ์มงคลคือตอนแปดโมงครึ่ง”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า รีบเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบชุดเจ้าสาวทันที
ชายกระโปรงบานและใหญ่มาก ไม่ง่ายที่จะสวมใส่ เธอต้องได้รับการช่วยเหลือจากหลายคน ลู่ฉิวเยว่วุ่นวายตลอดทั้งเช้าจนแทบเป็นลมด้วยความเหนื่อยล้า กว่าจะเสร็จก็ใช้เวลาสักพัก เธอจึงมานั่งบนเตียง ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวและรอคอยการมาถึงของฉินซือ
พ่อของเธอเดินมาเคาะประตู ก่อนจะใช้ไม้เท้าเดินเข้ามาในห้อง
“พ่อคะ” ลู่ฉิวเยว่ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าอ่อนโยน
คนเป็นพ่อจ้องมองลูกสาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้า เขาลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนตัดสินใจพูด “ฉิวเยว่ หลังจากลูกแต่งงานไปแล้ว ลูกก็ยังเป็นลูกของพ่อแม่อยู่เสมอ ถ้าข้างนอกมันไม่ดีหรือลูกรู้สึกคิดถึงบ้านก็กลับมานะ มาอยู่กับพวกเรา พ่อแม่จะอยู่เคียงข้างลูกเสมอ”
ส่วนคนเป็นแม่ เมื่อนึกได้ว่าวันนี้ลูกสาวจะแต่งงานออกเรือนแล้ว หัวใจก็รู้สึกสั่นไหวไม่น้อย ดวงตาร้อนผ่าว ต้องรีบเข้ามาสวมกอดลู่ฉิวเยว่แนบแน่น
“พ่อพูดอะไรอยู่คะเนี่ย? หนูต้องกลับมาหาบ่อย ๆ อยู่แล้ว หนูอยากจะอยู่บ้านนี้ทุกวันเลยด้วยซ้ำ” ลู่ฉิวเยว่ลูบหลังมือพ่อเบา ๆ ด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ
ตอนที่เธอได้มาเกิดใหม่ในชีวิตนี้ เธอไม่รู้จักใครเลยสักคน แต่พ่อแม่ของตระกูลลู่ช่วยให้ความอบอุ่นกับเธอ ช่วยทำให้เธอได้รู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้
พวกท่านดูแลเธอเป็นลูกสาวดั่งแก้วตาดวงใจจริง ๆ
“พวกเราอย่าพูดถึงเรื่องนี้กันอีกเลยค่ะ ไม่งั้นหนูร้องไห้ออกมา เดี๋ยวต้องแต่งหน้ากันใหม่นะ” ลู่ฉิวเยว่ตั้งใจหยอกเย้าเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ แม่ของเธอเองก็ต้องพยายามกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ
คนเป็นแม่ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าลูกคนนี้นี่”
เมื่อถึงเวลา 8:30 น. ขบวนรถยนต์ของเจ้าบ่าวก็มาถึงหน้าบ้านตรงเวลา ฉินซือเดินเข้ามาอย่างมีสง่าราศี ทุกคนล้วนหลีกทางให้ด้วยความนอบน้อม
“คุณพ่อครับ! คุณแม่ครับ!” เขาตะโกนออกมาเสียงดังเมื่อเห็นคุณพ่อคุณแม่ลู่ สีหน้าสดใสราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
แม่เจ้าสาวยิ้มรับอย่างอ่อนโยน ส่วนพ่อเจ้าสาวถึงจะรู้สึกหวงลูกสาวอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังคงยิ้มให้ฉินซืออย่างเป็นมิตร
ฉินซือคุกเข่าลงและพูดด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมว่า “พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะดูแลและปกป้องลู่ฉิวเยว่ให้ดีที่สุด ผมจะไม่ทำให้เธอเสียใจเด็ดขาด!”
ฉากคุกเข่าตรงหน้าทำให้บรรดาเพื่อนเจ้าบ่าวตกตะลึง พวกเขารู้จักฉินซือมานานแล้ว แต่ไม่เคยเห็นชายหนุ่มทำแบบนี้มาก่อน ดูเหมือนว่าลู่ฉิวเยว่จะสำคัญต่อหัวใจของฉินซือมากกว่าที่พวกเขาคิดเสียแล้ว
นี่คือเรื่องที่ทุกคนไม่คาดคิดมาก่อน แม้แต่พ่อแม่ของเจ้าสาวเองก็เช่นกัน พวกเขารู้สึกตื้นตันใจในคำสาบานของฉินซือ แม่เจ้าสาวรีบช่วยประคองเขาลุกขึ้นยืน “ลุกเถอะ พวกเราเชื่อเธอนะ ฉินซือ รีบไปรับตัวเจ้าสาวก่อนดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวจะสายเอาได้”
ฉินซือรีบลุกขึ้นโค้งตัวให้กับพ่อแม่เจ้าสาว ก่อนจะรีบวิ่งตรงไปยังห้องนอนของลู่ฉิวเยว่ด้วยความร้อนรน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ฉิวเยว่”
เมื่อได้ยินเสียงแหบแห้งดังขึ้นหน้าประตู ลู่ฉิวเยว่ก็ยิ้มออกมาทันที “เข้ามาสิ”
ฉินซือกลืนน้ำลายด้วยความประหม่า มือของเขาจับลูกบิดประตูแน่นจนข้อนิ้วกลายเป็นสีขาวโพลน
เมื่อเขาเปิดประตูและเห็นหญิงสาวอย่างชัดเจน ชายหนุ่มก็หยุดชะงักตัวแข็งทื่อ สมองของเขาเหมือนจะระเบิดออกดังตูม
ในเรื่องของความสวยงาม เขาไม่เคยเห็นลู่ฉิวเยว่สวยงามเหมือนฝันขนาดนี้มาก่อน
“เป็นอะไรไปคะ?” ลู่ฉิวเยว่หัวเราะในลำคอ
ฉินซือกลับมาได้สติอีกครั้ง เขามองหารองเท้าแต่งงานไปทั่ว บรรดาเพื่อนเจ้าบ่าวที่ตามมาทางด้านหลังก็ได้สติเช่นกัน รีบแจกจ่ายซองแดงให้ทุก ๆ คน
บรรดาเพื่อนเจ้าบ่าวอดคิดไม่ได้ว่าหญิงสาวคนนี้งดงามเหลือเกิน เธอช่างเหมาะสมกับฉินซือราวกับกิ่งทองใบหยก
ลู่ฉิวเยว่ไม่ชอบการกั้นประตู เธอจึงไม่ได้จัดเตรียมไว้ หญิงสาวนำรองเท้าเจ้าสาวไปซ่อนไว้ในสถานที่ลับภายในห้องนอน ฉินซือกับเพื่อนของเขาต้องใช้เวลาหาพักใหญ่จนเจอในที่สุด
“ผมจะช่วยใส่รองเท้าให้คุณเอง” ฉินซือย่อตัวลงเบื้องหน้าลู่ฉิวเยว่ ในมือถือรองเท้า ช่วยประคองเท้าของเธอแล้วสวมรองเท้าให้อย่างทะนุถนอม
ในเวลานี้ คนที่มีความสุขมากที่สุดน่าจะเป็นฉินซือ
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มและยื่นมือให้
เมื่อสวมใส่รองเท้าเสร็จเรียบร้อย ฉินซือก็ช่วยประคองเธอลุกขึ้นยืน พวกเขาก้าวออกมาจากบ้านพร้อมกัน หลังจากนั้นก็เดินไปขึ้นรถยนต์
เพียงไม่นาน พวกเขาก็ไปถึงบ้านหลังใหม่ที่ใช้เป็นเรือนหอ กลุ่มเพื่อนเจ้าบ่าวร้องอุทานด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นบ้านหลังนั้น
วันนี้ฉินซืออารมณ์ดี จึงปล่อยให้เพื่อน ๆ แซวได้อย่างสนุกปาก
“คุณได้เอากระเป๋าเครื่องสำอางติดตัวมาด้วยหรือเปล่า?” หวังเหิงผู้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวถามช่างแต่งหน้าที่ตามมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ช่างแต่งหน้าพยักหน้าและชูกระเป๋าเครื่องสำอางให้ดู “เอามาค่ะ!”
หวังเหิงหัวเราะชอบใจ “ฉินซือ วันนี้นายได้แต่งงานกับสาวสวยทั้งที ทำไมถึงไม่ทาลิปสติกให้เจ้าสาวสักหน่อยล่ะ วันนี้นายอยากทาลิปสติกให้ลู่ฉิวเยว่ไหม?”
เมื่อได้ยินเขาพูดออกไปเช่นนั้น บรรดาเพื่อนเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าสาวก็ส่งเสียงเฮฮาด้วยความสนุกสนานทันที
ฉินซือจ้องมองไปที่ลู่ฉิวเยว่โดยไม่รู้ตัว “ผมช่วยทาลิปสติกให้คุณนะ”
ลู่ฉิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นสูง ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ “ได้ค่ะ”
เมื่อเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวยินยอม หวังเหิงก็ร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ ดวงตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ในทันใด
หลังจากนั้น ฉินซือก็ได้รู้ว่าการทาลิปสติกครั้งนี้ไม่ใช่การทาลิปสติกทั่วไป แต่มันเป็นการทาที่เขาต้องคาบลิปสติกเอาไว้ที่ริมฝีปาก
ใบหน้าของทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมากจนเขามองเห็นแพขนตายาวงอนของลู่ฉิวเยว่ได้อย่างชัดเจน และอาจจะเป็นเพราะความประหม่า หญิงสาวจึงกระพริบตาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งทำให้หัวใจของเขาปั่นป่วนมากกว่าเดิม
ลมหายใจของพวกเขาเป่ารดกัน ทำให้บรรดาเพื่อนเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าสาวหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ ฉินซือผู้สงบเย็นชามาโดยตลอดในขณะนี้กลับหน้าแดงไปถึงหูหมดแล้ว
หลังจากต้องใช้ความพยายามอยู่อึดใจใหญ่ ในที่สุดฉินซือก็ทาลิปสติกได้สำเร็จ ฝ่ามือของเขาเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ
“เรียบร้อย ทีนี้ก็ไปเลี้ยงฉลองที่โรงแรมกันได้แล้ว” ฉินซือกลัวว่าบรรดาเพื่อนตัวดีของตนเองจะนึกทำอะไรแผลง ๆ อีก เขาจึงยิ้มและแจกจ่ายซองแดงให้ทุกคนแยกย้ายกันไป
กลุ่มเพื่อนเจ้าบ่าวรู้ความหมาย หลังจากรับซองแดง พวกเขาก็เปิดโอกาสให้บ่าวสาวได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง