สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 206 คุณย่าใหญ่มาขอค่าเลี้ยงดูก่อนแต่งงาน
บทที่ 206 คุณย่าใหญ่มาขอค่าเลี้ยงดูก่อนแต่งงาน
“อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลยดีกว่า” สวีชางโจวโบกมืออย่างไม่สนใจ
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาด้วยความกระดากอาย รีบเปลี่ยนเรื่องพูดเป็นการถามถึงเรื่องราวในเมืองหัวอ้ายและเล่าเรื่องราวความน่าสนใจในเมืองหลวงให้เขาฟัง ซึ่งสวีชางโจวก็รับฟังอย่างดี
นายตำรวจหนุ่มนึกขึ้นมาได้ว่าอีกไม่กี่วันลู่ฉิวเยว่ก็ต้องแต่งงานแล้ว เธอคงมีเรื่องมากมายให้ต้องจัดการ ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นขอตัวลา “ผมขอกลับไปพักที่โรงแรมก่อนดีกว่า คุณคงมีงานยุ่ง ไว้คุยกันวันหลังนะครับ”
ลู่ฉิวเยว่ก็รู้สึกเช่นกันว่าเขาคงเดินทางมาเหนื่อยมากแล้ว สมควรได้กลับไปพักผ่อน จึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วยและเดินออกไปส่งด้วยตนเอง
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อเปิดประตูออก เธอจะได้พบกับพ่อแม่ของฉินซือลงจากรถมาพอดี จึงเดินเข้าไปต้อนรับด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “คุณลุงคุณป้าคะ”
คุณแม่ฉินเดินยิ้มร่าเข้ามาหา “พวกเราจะมาคุยเรื่องงานแต่งน่ะ”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า
คุณแม่ฉินหันมาพยักหน้าทักทายสวีชางโจว ก่อนจะถามลู่ฉิวเยว่ว่า “เพื่อนเหรอจ๊ะ?”
“ใช่แล้วค่ะ เขาชื่อสวีชางโจว เป็นเพื่อนหนูจากเมืองหัวอ้าย หนูเชิญเขามาร่วมงานด้วยน่ะค่ะ” ลู่ฉิวเยว่ตอบ
คุณแม่ฉินมีสีหน้าอ่อนโยนมากขึ้น “เดินทางมาไกลเชียวนะคะ คุณสวีคงเหนื่อยแล้ว”
สวีชางโจวหัวเราะในลำคอ “งานสำคัญแบบนี้ ผมจะพลาดได้ยังไง ไม่เหนื่อยหรอกครับ”
คุณแม่ฉินรู้สึกว่าพูดคุยถูกคอ หลังจากสอบถามจนทราบว่าเขาพักที่ไหน เธอก็สั่งให้คนขับรถพาเขากลับไปยังที่พัก เมื่อเห็นสวีชางโจวขึ้นรถไปเรียบร้อยแล้ว เธอจึงเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับลู่ฉิวเยว่
“ที่พวกป้ามาคุยในวันนี้ก็เพราะอยากรู้น่ะว่าทางบ้านเจ้าสาวจะเชิญแขกมาร่วมงานมากน้อยเท่าไหร่” เมื่อพ่อแม่ของฉินซือเข้าไปในห้องนั่งเล่น พวกท่านก็พบว่ามีคนนั่งอยู่บนโซฟาไม่มาก คุณแม่ฉินจึงเอ่ยขึ้นโดยทันที
“เมืองหัวอ้ายอยู่ไกลเกินไปค่ะ หนูก็เลยเชิญแค่สวีชางโจวมาคนเดียว ไม่ได้เชิญญาติที่หมู่บ้านมาด้วยเลย กะว่าค่อยไปจัดงานเลี้ยงเอาทีหลังค่ะ” ลู่ฉิวเยว่นั่งลงบนโซฟาและตอบคำถาม
เมื่อได้ยินเช่นนี้ คุณแม่ฉินก็ขมวดคิ้ว “เป็นไปได้ยังไง? นี่เป็นงานสำคัญเชียวนะ ยังไงก็ต้องเชิญญาติมาบ้าง หนูนัดเวลามาเถอะ เดี๋ยวทางป้าจะส่งรถไปรับพวกเขาสักสองสามคันเอง”
ทางเจ้าสาวต้องมีญาติมาร่วมงานบ้าง มิฉะนั้นแล้ว ลู่ฉิวเยว่ก็คงได้กลายเป็นหัวข้อนินทาอีกแน่ ๆ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่กลัวการตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน แต่ว่าที่แม่สามีของเธอกลับกังวลเป็นอย่างยิ่ง
ลู่ฉิวเยว่จึงต้องตอบตกลงว่า “ได้เลยค่ะ เดี๋ยวหนูจะนัดเวลาให้นะคะ” เธอหันไปมองหน้าแม่โดยไม่รู้ตัว และรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าแม่ของเธอ
เมื่อสักครู่ แม่ของเธอเพิ่งนึกเสียใจที่ญาติ ๆ ในหมู่บ้านไม่ได้มีโอกาสมาร่วมงานแต่งที่เมืองหลวง แต่ตอนนี้ทุกคนกำลังจะได้มีโอกาสมาร่วมงานแล้ว
“งั้นเรามาเลือกแขกกันอีกรอบเถอะ” คุณแม่ลู่หยิบกระดาษกับปากกาบนโต๊ะมาเขียนชื่อญาติ ๆ ของตนเองพร้อมกับปรึกษาสามี ถ้าญาติคนไหนไม่สนิท เธอก็จะไม่เชิญมา เพราะถ้าเชิญมาอาจจะมาก่อปัญหาน่าปวดหัวก็เป็นได้
ในทางกลับกัน ครอบครัวของลู่ฉิวเยว่สนิทสนมกับชาวบ้านในหมู่บ้านมากกว่าญาติแท้ ๆ ของตนเองเสียอีก ลู่ฉิวเยว่จึงเพิ่มรายชื่อเพื่อนอีกสองสามคนที่เธอรู้จักในเมืองหัวอ้ายลงไปด้วย
คุณพ่อฉินรีบนำรายชื่อแขกกลับไปจัดเตรียมรถอย่างรวดเร็ว
ทางด้านครอบครัวของลู่ฉิวเยว่ก็โทรศัพท์ไปแจ้งให้แขกในรายชื่อได้รับทราบว่าถ้าพวกเขาอยากมาก็จะมีรถไปรับ แต่ถ้างานยุ่งจะไม่มาก็ได้ เอาไว้ค่อยรอร่วมยินดีหลังจากพวกเขาไปจัดงานเลี้ยงที่หมู่บ้านในภายหลังก็ไม่มีปัญหา
แต่หลายวันต่อมา ทุกคนที่อยู่ในรายชื่อก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตา
ครอบครัวของลู่ฉิวเยว่เปิดประตูต้อนรับอย่างอบอุ่น
ชาวบ้านส่วนใหญ่เพิ่งมาที่เมืองหลวงเป็นครั้งแรก จึงตื่นตาตื่นใจกับทุกอย่างที่พบเห็น โดยเฉพาะข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านของลู่ฉิวเยว่
“ฉันไม่เคยเห็นบ้านแบบนี้มาก่อนเลย คุณพี่ ใหญ่โตกว้างขวาง นับว่าลู่ฉิวเยว่เติบโตมาได้ดีจริง ๆ” หญิงวัยกลางคนที่มาจากหมู่บ้านเดินตามหลังคุณแม่ลู่พลางพูดด้วยความเคารพยกย่อง
คนอื่น ๆ ก็พูดสนับสนุนเช่นกัน
“นั่นสิ บ้านแบบนี้น่าจะราคาแพงเลยนะ”
“ชีวิตคุณพี่กับสามีคงสุขสบายแล้ว…”
“ถ้าลูกฉันได้ดีสักครึ่งหนึ่งของฉิวเยว่ ฉันก็คงพอใจแล้ว”
คุณแม่ลู่ได้รับคำชมเชยเช่นนี้ก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ดวงตาเป็นประกายปลาบปลื้มอยู่ตลอดเวลา
ทุกคนรู้ดีว่าการจัดงานแต่งมีเรื่องราวให้ต้องจัดการมากมาย แทนที่พวกเธอจะชวนคุณแม่ลู่คุยให้เสียเวลา ทุกคนจึงอาสากันไปช่วยงานหลังจากได้นั่งพักเป็นเวลาสั้น ๆ
คุณแม่ลู่จึงมอบหมายหน้าที่ให้ญาติ ๆ และกลุ่มชาวบ้านจากหมู่บ้านชนบทช่วยกันขนย้ายโต๊ะ เตรียมวัตถุดิบทำอาหารที่จะใช้สำหรับงานแต่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งเดิมทีเป็นหน้าที่ของเหล่าเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารของลู่ฉิวเยว่ เมื่อเห็นว่ามีคนมาช่วยแล้ว กลุ่มเด็กเสิร์ฟก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
งานแต่งของฉินซือกับลู่ฉิวเยว่จัดขึ้นที่โรงแรม มีการเตรียมงานอย่างเข้มข้นตลอดหลายวันที่ผ่านมา กลุ่มเด็กเสิร์ฟต้องทำงานหนักมากกว่าเดิม แต่ลู่ฉิวเยว่ก็ดูแลพวกเขาดีมาก แน่นอนว่าเธอจ่ายค่าทำงานล่วงเวลาให้ด้วย ทุกคนจึงยินดีช่วยเหลือเธอจากก้นบึ้งของหัวใจ
เดิมทีกลุ่มเด็กเสิร์ฟและพนักงานในร้านอาหารไม่มีวันลาพักร้อน แต่ด้วยความที่ฉินซือผู้เป็นเจ้าบ่าวกำลังมีความสุข เขาจึงกำหนดวันหยุดให้ทุกคนเป็นกรณีพิเศษ ทำเอาชายหนุ่มได้รับคำอวยพรให้ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรกับลู่ฉิวเยว่ไปอีกนานแสนนาน
แขกทุกคนที่ควรมาร่วมงานแต่งก็มาแล้ว แต่ก่อนงานแต่งจะเริ่มเพียงวันเดียว พวกของหญิงชราก็มาที่บ้านของลู่ฉิวเยว่อีกครั้ง
ขณะนี้ครอบครัวของลู่ฉิวเยว่กำลังนั่งปรึกษาหารือเกี่ยวกับการจัดงานแต่งอยู่ในห้องนั่งเล่นกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
แม่ของเธอเดินออกไปเปิดประตู เมื่อเห็นใบหน้ายับย่นของคุณย่าใหญ่ เธอก็รู้สึกขยะแขยงจนอยากจะไล่หญิงชราไป แต่หญิงชรากลับยิ้มหวานอย่างไม่สนใจ เอื้อมมือมาผลักคุณแม่ลู่ออกไปให้พ้นทาง ก่อนจะเดินเข้ามาในบ้านหน้าตาเฉย ตามมาด้วยพวกของลู่เจี๋ยหรงที่เพิ่มพ่อของเธอมาอีกหนึ่งคน
คุณแม่ลู่กัดฟันกรอด รีบเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างกายสามีโดยเร็ว เขาเองก็มีสีหน้าไม่ชอบใจ จึงหันมาสั่งให้หวังเซวียนเซวียนกับลู่ฉิวเยว่ไล่แขก
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะเสียงใส “ช่างเถอะค่ะ ยังไงก็มาแล้ว ให้อยู่รวมญาติไปเลยก็แล้วกัน”
ความขุ่นเคืองใจบนใบหน้าของคุณย่าใหญ่หายไปและถูกแทนที่ด้วยความประหลาดใจในทันที เธอรีบนั่งลงที่โซฟาพร้อมกับพูดว่า “ฉิวเยว่ยังเป็นคนมีเหตุมีผลเหมือนเดิมเลยนะ ดีกว่าพ่อแม่ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า”
พ่อแม่ของหญิงสาวก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าลู่ฉิวเยว่กินยาลืมเขย่าขวดหรืออย่างไร พวกเขาได้แต่จ้องมองเธอด้วยความสงสัย
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มและกระซิบข้างหูพวกท่านเป็นการอธิบายว่า “คนพวกนี้รับมือยากจะตายค่ะ ถ้าวันนี้เราไล่ออกไป เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเธอก็กลับมาป่วนงานแต่งอีก ทำไมเราถึงไม่เก็บพวกเธอเอาไว้ใกล้ตัว จะได้ควบคุมง่าย ๆ แทนล่ะคะ?”
เมื่อพ่อแม่ของเธอได้รับทราบความจริงในข้อนี้ ความไม่พอใจบนใบหน้าก็สลายหายไปทันที
ลู่ฉิวเยว่หันไปมองหญิงชรา คุณย่ากำลังจ้องมองขนมขบเคี้ยวและผลไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะตาเป็นมัน ทันทีที่คุณย่านั่งลงบนโซฟา กำแพงบางอย่างก็ได้พังทลายลง ในระหว่างที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น คุณย่าก็หยิบผลส้มรับประทานไม่หยุด
สองแม่ลูกลู่เจี๋ยหรงก็แอบหยิบขนมใส่กระเป๋าเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าผลไม้ทั้งสองจานบนโต๊ะหายวับไปในพริบตา คุณแม่ลู่ก็ต้องหัวเราะออกมาด้วยความโกรธแค้น แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“พวกเรามาที่นี่เพื่อถามถึงเงินค่าเลี้ยงดูน่ะ เจ้าสอง ถึงแกจะตัดขาดกับแม่ไปแล้ว แต่แกก็คงไม่ลืมว่าท่านเป็นแม่ที่ให้กำเนิดแกและเลี้ยงดูแกจนเติบใหญ่หรอกใช่ไหม” ลุงใหญ่ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของพ่อเธอพูดออกมา
พ่อของลู่ฉิวเยว่ชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ ต้องการจะตอบโต้อะไรบางอย่าง แต่ลูกสาวก็กระตุกชายเสื้อของเขาเอาไว้เสียก่อน
“ถึงไม่มาขอ หนูก็คิดอยู่แล้วว่าต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูให้ค่ะ” ลู่ฉิวเยว่หัวเราะออกมาด้วยความสบายใจ