สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 203 ลู่ชางหลินโมโห
บทที่ 203 ลู่ชางหลินโมโห
หญิงชราและพรรคพวกต้องกลับออกมาจากร้านอาหารของลู่ฉิวเยว่มือเปล่า พวกเธอจึงหงุดหงิดใจเป็นอย่างยิ่ง
“นี่! คุณพี่ครับ!” คณะของหญิงชราถูกหยุดไว้โดยเหอซิ่งไฉทันทีที่พวกเธอวิ่งหนีออกมา
ก่อนหน้านี้ เขาเห็นหญิงชราและพรรคพวกยืนเถียงกับลู่ฉิวเยว่อยู่นานสองนาน ตอนแรกก็แค่ตั้งใจจะรับชมความสนุกเฉย ๆ คิดไม่ถึงเลยว่าหญิงชราจะโดนไล่กลับออกมาเร็วขนาดนี้ ซึ่งทำให้เขาผิดหวังจริง ๆ
หญิงชราจ้องมองไปอย่างไม่ไว้ใจ “เรียกทำไมไม่ทราบ?”
เหอซิ่งไฉระเบิดเสียงหัวเราะ แกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและถามด้วยความสงสัยว่า “คุณพี่เป็นญาติของลู่ฉิวเยว่หรือครับ?”
หญิงชรานึกว่าเขาเป็นเพื่อนของลู่ฉิวเยว่จึงถ่มน้ำลายออกมา กำลังจะเอ่ยปากด่า เหอซิ่งไฉก็พูดออกมาเสียก่อนว่า “นี่กำลังจะไปบ้านเธอใช่ไหมครับ?”
หญิงชรามีดวงตาเป็นประกาย ลู่เจี๋ยหรงและแม่ของเธอก็หัวใจเต้นรัวขึ้นมาเช่นกัน หญิงชรารู้ดีว่าถ้าเธอสามารถพบตัวลู่ชางหลินผู้เป็นลูกชายของตนเองได้สำเร็จ เขาก็คงไม่ไล่เธอเหมือนหมูเหมือนหมาอย่างที่ภรรยากับลูกสาวของเขาทำหรอกใช่ไหม?
หญิงชรายิ้มหวาน “ใช่แล้วจ้ะ แต่บังเอิญว่าฉันไม่ชินเส้นทาง ฉันเพิ่งเข้าเมืองหลวงเป็นครั้งแรก ไม่ทราบว่าบ้านของหลานสาวฉันอยู่ที่ไหนหรือจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรครับคุณพี่ ผมกำลังจะไปแถวนั้นอยู่พอดี พวกเราไปด้วยกันเลยก็ได้ครับ” เมื่อเห็นว่าปลางับเหยื่อแล้ว เหอซิ่งไฉก็รีบโยนเมล็ดแตงโมทอดในมือทิ้งไปทันทีและปรบมือด้วยความชอบใจ
คุณย่าใหญ่ตอบตกลง สองแม่ลูกลู่เจี๋ยหรงหันมองหน้ากันก่อนจะยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ นังตัวดีลู่ฉิวเยว่คิดว่าจะไล่พวกเธอออกไปได้ง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ!
ตอนแรก หญิงชราแค่ต้องการนำเรื่องทั้งหมดมาฟ้องลูกชายและหาข้ออ้างในการมาพักอยู่อาศัย แต่เมื่อเธอได้เห็นสภาพบ้านอันใหญ่โตที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ดวงตาของหญิงชราก็ต้องเบิกโต พูดตะกุกตะกักออกมาว่า “นี่คือ…นี่คือบ้านของลู่ฉิวเยว่อย่างนั้นเหรอ?”
ทำไมถึงได้มีบ้านใหญ่โตแบบนี้ ราคาเท่าไหร่กันเนี่ย!
เหอซิ่งไฉพยักหน้า “หลังนี้แหละครับ” เมื่อนึกภาพว่าลู่ฉิวเยว่คงจะต้องเจอปัญหาปวดหัวอีกอย่างแน่นอน เขาก็รู้สึกมีความสุขจริง ๆ
หญิงชราเริ่มเกิดความอิจฉาริษยามากขึ้น ทำไมพวกของลู่ฉิวเยว่ถึงได้มีชีวิตอยู่ดีกินดีในบ้านหลังใหญ่ มีเงินมากมายให้ใช้สอย แต่พวกเธอกลับต้องจนกรอบ!
หญิงชรารีบทิ้งตัวลงไปนั่งอยู่บนพื้นดินและร้องไห้คร่ำครวญออกมาว่า “ลู่ชางหลิน ไอ้คนใจดำ ฉันทำงานแทบตายกว่าจะเลี้ยงดูแกให้เติบใหญ่ แต่พอแกร่ำรวยแล้ว แกก็ลืมแม่ของตัวเองได้ลงคอ แกหนีมาเสวยสุขอยู่กับลูกเมียตามลำพัง…”
แม่ของลู่เจี๋ยหรงรู้จักกลวิธีนี้เป็นอย่างดี เมื่อเห็นว่าแม่สามีเริ่มเปิดทาง เธอก็รีบส่งเสียงสนับสนุน “ฉันหรืออุตส่าห์เดินทางมาถึงเมืองหลวง แต่พวกแกก็ทำเป็นไม่รู้จักฉัน ดูถูกหาว่าพวกเราเป็นคนจน…”
เสียงของหญิงทั้งสองคนดังกังวาน เพื่อนบ้านในละแวกนั้นต่างก็ออกมาดูด้วยความสงสัย หลายคนพากันชี้ชวนมาทางบ้านของลู่ฉิวเยว่
“เถ้าแก่ลู่จะเป็นคนใจดำแบบนั้นจริงเหรอ?” ชาวบ้านหลายคนคิดสงสัย ครอบครัวตระกูลลู่ย้ายบ้านเข้ามาอยู่ได้พักใหญ่แล้ว พวกเขามีความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้านมาโดยตลอด ท่าทางไม่น่าใช่คนใจร้ายอย่างที่ถูกกล่าวหา
“ใครจะรู้ เดี๋ยวนี้คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจกันทั้งนั้นแหละ”
“นี่! ยังไงก็ช่างเถอะ ฉันว่าครอบครัวของลู่ฉิวเยว่คงไม่ได้เป็นแบบนั้นแน่ บางทียายคนนี้คงอยากจะมารีดไถเงินก็ได้”
…
เมื่อได้ยินเสียงโวยวายดังขึ้นหน้าบ้าน ลู่ชางหลินก็ใช้ไม้เท้าเดินกระเผลกมาเปิดประตูดูว่าเกิดอะไรขึ้น และสิ่งที่เห็นก็คือแม่ของตนเองกำลังนั่งร้องไห้อยู่บนพื้นดิน
เมื่อได้ยินคนเป็นแม่กำลังกล่าวโทษว่าตนเองเป็นลูกชายใจดำ ลู่ชางหลินก็ทำได้เพียงหัวเราะออกมาด้วยความโกรธแค้นและใช้ไม้เท้าเดินออกไปนอกบ้าน
กลุ่มชาวบ้านกำลังยืนซุบซิบนินทา แต่เมื่อเห็นเขาเดินออกมา ทุกคนก็ปิดปากเงียบและเฝ้าดูเหตุการณ์ด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่อไป
“แล้วแม่เป็นแม่ภาษาอะไรล่ะครับ!?” ลู่ชางหลินตะโกนสวนกลับไปด้วยความโมโห “พวกเราตัดขาดกันไปนานแล้วนะ และแม่นั่นแหละที่เป็นฝ่ายประกาศตัดขาดพวกผมก่อน!”
หลังจากสูดหายใจลึก เขาก็พูดกับบรรดาเพื่อนบ้านว่า “คุณยายคนนี้เป็นแม่ผมเองแหละ แต่สมัยก่อน เธอวางแผนให้หลานสาวมาแย่งคู่หมั้นลูกสาวผมไป แถมยังให้คนมาใส่ร้ายป้ายสีลูกสาวผมด้วย…”
ลู่ชางหลินบอกเล่าวีรกรรมอันชั่วร้ายของหญิงชราในอดีตที่ผ่านมาอย่างครบถ้วน
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เองสินะ ยายแก่คนนี้สมควรโดนแล้วแหละ!”
“จริงด้วย แม่แบบนี้ใครจะอยากดูแล? ทำไมถึงได้หน้าไม่อายแบบนี้นะ!”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ พวกเขาก็รู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาทันที นี่คือครั้งแรกที่กลุ่มชาวบ้านได้พบเห็นหญิงชราที่มีความร้ายกาจจนน่ากลัว กลุ่มชาวบ้านจึงเกิดความรู้สึกเกลียดชังจากก้นบึ้งของหัวใจ และทุกคนก็พร้อมที่จะสนับสนุนพ่อของลู่ฉิวเยว่โดยทันที
หญิงชราตกตะลึง คิดไม่ถึงเลยว่าลูกชายของตัวเองจะมีทักษะในการพูดดีมากขึ้นหลังจากเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ลู่ อย่าสนใจแม่เฒ่าหน้าด้านแบบนี้เลย กลับเข้าบ้านไปพักผ่อนเถอะครับ แค่ปิดประตูแล้วก็ปล่อยให้หมาเห่าต่อไปเถอะ” ชาวบ้านคนหนึ่งหัวเราะขึ้นมา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หญิงชราก็ทำท่าจะคลานเข้าไปจับมือของลู่ชางหลิน แต่กลุ่มชาวบ้านก็รีบขวางทางเอาไว้ก่อน คุณย่าใหญ่จึงทำได้เพียงจ้องมองลูกชายเดินหายกลับเข้าไปภายในตัวบ้านเท่านั้น
ประตูบ้านปิดลงอย่างรวดเร็ว
หญิงชราพยายามเคาะประตู แต่ไม่ว่าเคาะเท่าไหร่ ประตูก็ไม่เปิดออก ไม่มีการเคลื่อนไหวตอบสนอง และนั่นก็ยิ่งทำให้กลุ่มเพื่อนบ้านตลกขบขันมากขึ้นไปอีก
ส่วนลู่ฉิวเยว่นั้นไม่รู้เลยว่าคุณย่าได้รู้ที่อยู่บ้านของเธอแล้ว ดังนั้นเมื่อเธอกับมารดามาถึงบ้านตอนกลางคืน หน้าบ้านก็ปราศจากผู้คน พวกของคุณย่าใหญ่ไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว
เมื่อพวกเธอเข้าไปในบ้าน ลู่ฉิวเยว่ก็เห็นบิดานั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องนั่งเล่น หัวใจของหญิงสาวกระตุกวูบ หรือพ่อจะรู้เรื่องที่คุณย่ามาแล้ว? พ่อคงไม่ได้ให้เงินคุณย่าหรือปล่อยให้พวกของคุณย่าเข้าบ้านหรอกใช่ไหม?
ลู่ฉิวเยว่กวาดสายตามองรอบบ้าน เงียบสงบ พวกของคุณย่าคงไม่อยู่ที่นี่ ลู่ฉิวเยว่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“กลับมากันแล้วเหรอ กินอะไรกันก่อนสิ” ลู่ชางหลินใช้ไม้เท้าเดินเข้าไปในห้องครัว เขาทำอาหารเตรียมรอไว้แล้ว ตอนนี้ก็แค่ต้องอุ่นให้ร้อนเท่านั้น
ลู่ฉิวเยว่รีบเดินเข้าไปช่วยและบอกว่าเดี๋ยวเธอจะอุ่นอาหารเอง
และเป็นแม่ของเธอที่โพล่งขึ้นมาว่า “วันนี้แม่คุณมาที่นี่เหรอ?”
ลู่ชางหลินพยักหน้า ความโกรธเคืองในแววตายังไม่หายไป เมื่อลู่ฉิวเยว่ได้รู้ว่าเขาไม่ได้มอบอะไรให้แก่หญิงชรา เธอก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
“คุณย่าก็เป็นซะแบบนี้ ชอบมาสร้างปัญหาให้เราอยู่เรื่อย สงสัยคงได้ข่าวว่าหนูกำลังจะแต่งงาน ก็เลยอยากมาขอส่วนบุญแน่ ๆ แต่พวกเธอคงอยู่ในเมืองหลวงได้ไม่กี่วันหรอกค่ะ พ่อไม่ต้องคิดมากหรอก” เธอพยายามปลอบโยนและตักเนื้อปลาหมึกใส่จานข้าวให้แก่ท่าน
คนเป็นภรรยาก็ยิ้มปลอบใจเขาเช่นกัน
ลู่ชางหลินมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังดูไม่สบายใจอยู่ดี “พ่อกลัวว่างานแต่งจะมีปัญหาเอาได้น่ะ” ไม่ใช่แค่มีปัญหาเท่านั้น แต่ยังจะทำให้ลู่ฉิวเยว่ต้องเสียหน้าอีกด้วย เขาไม่อยากจะให้ลูกสาวของตนเองกลายเป็นตัวตลกในสายตาญาติสนิทมิตรสหายของฉินซือ
หลังจากพูดเรื่องนี้ออกมาแล้ว แม่ของลู่ฉิวเยว่ก็รู้สึกเป็นกังวลเช่นกัน วางตะเกียบในมือลง ไม่อยากรับประทานอาหารอีกแล้ว
ลู่ฉิวเยว่ถึงกับเก็บไปคิดจนนอนไม่หลับ เที่ยงวันต่อมา เธอก็ปรึกษาเรื่องนี้กับฉินซือตอนที่เขาแวะมาทานข้าวด้วยกันที่ร้านอาหารของเธอ
ลู่ฉิวเยว่แนะนำว่า “งั้นเราขอให้ทางคุณตำรวจสวีซงซิงส่งคนมาคอยจับตาในวันแต่งของพวกเราดีไหม?” จ้างบอดีการ์ดยังไงก็สู้ตำรวจไม่ได้อยู่แล้ว
ฉินซือพยักหน้า “ผมว่าก็ดีนะ” เขาย่อมไม่อยากให้เกิดเรื่องร้ายใด ๆ ขึ้นในวันแต่งงานระหว่างตนเองกับลู่ฉิวเยว่อย่างแน่นอน
ในที่สุด เมื่อปัญหาทุกอย่างมีหนทางแก้ไข ความวิตกกังวลของลู่ฉิวเยว่ก็เจือจางลงไป หลังจากรับประทานอาหารกันเสร็จ เธอก็กลับบ้านไปพร้อมกับฉินซือเพื่อนำเอาของขวัญและขนมติดมือมาด้วย ก่อนจะโดยสารรถยนต์ของเขามุ่งหน้าไปที่สถานีตำรวจในตอนบ่าย
เมื่อเธอลงมาจากรถ นายตำรวจหนุ่มที่เดินออกมาจากสถานีก็จำเธอได้ทันที
“คุณลู่มาทำอะไรที่นี่ครับเนี่ย?”