สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 199 งานหมั้น
บทที่ 199 งานหมั้น
“ฉินซือ พ่อแม่ของเธอมาพอดีเลย เชิญเข้ามานั่งข้างในก่อนสิคะ” แม่ของลู่ฉิวเยว่เดินไปเปิดประตูและอุทานออกมา ก่อนจะเชิญให้พ่อแม่ของฉินซือเดินเข้ามาในบ้าน
สองหนุ่มสาวที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่นรีบหันหน้ากลับไปมองอย่างรวดเร็ว
คุณพ่อฉินยิ้มกว้าง วางกล่องของขวัญลงบนโต๊ะ “ผมมาคุยเรื่องงานหมั้นของเด็ก ๆ เขาน่ะครับ”
“ใช่ค่ะ บ้านใหม่ก็เรียบร้อยดีแล้ว ถ้าไม่ติดขัดอะไร เรามาเลือกวันกันเลยดีไหมคะ?” คุณแม่ฉินก็ยิ้มออกมาเช่นกัน
“ดีเลยค่ะ” แม่ของลู่ฉิวเยว่รีบเดินไปเปิดลิ้นชักและหยิบปฏิทินออกมา
ค่ำคืนนี้ พ่อของลู่ฉิวเยว่ไม่ได้ขุ่นเคืองใจอีกแล้ว รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้า
คุณแม่ฉินไอออกมาเบา ๆ จ้องมองไปที่ฉินซือและลู่ฉิวเยว่ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “พวกลูกคิดว่ายังไง?”
ฉินซือหันไปมองหน้าลู่ฉิวเยว่โดยไม่รู้ตัว เธอจึงพยักหน้า “ก็ดีเหมือนกันค่ะ”
ในที่สุด ทุกคนก็ลงความเห็นเป็นหนึ่งเดียวว่าอีกไม่กี่วันคงเป็นวันดีที่สุด พวกเขาจะจัดงานหมั้นก่อน หลังจากนั้นค่อยคุยเรื่องงานแต่งกันอีกที
พ่อแม่ของลู่ฉิวเยว่อยากจะให้พ่อแม่ของฉินซืออยู่รับประทานอาหารค่ำด้วยกัน พ่อแม่ของฝ่ายชายจึงไม่อาจปฏิเสธได้ ครั้งนี้คุณแม่ฉินไม่ได้ตามเข้าไปช่วยงานในห้องครัวอีกแล้ว เพราะเห็นได้ชัดว่าเธอมีอะไรบางอย่างอยากจะพูดคุยด้วย ดังนั้นลู่ฉิวเยว่จึงต้องนั่งอยู่ด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าพ่อแม่ของฝ่ายหญิงเข้าไปในห้องครัวเรียบร้อยแล้ว คุณแม่ฉินจึงขอโทษหญิงสาวด้วยความละอายแก่ใจยิ่งนัก “เมื่อไม่กี่วันก่อน ฉันกับสามีคงเสียสติไปหน่อย เราถึงได้พูดออกมาแบบนั้น พวกฉันต้องขอโทษเธอด้วยนะ”
“เธอจะจัดการเรื่องนั้นยังไงก็ตามสบายเลย ม่อป๋อซงสมควรได้รับโทษทุกอย่างแล้ว” คุณพ่อฉินจ้องมองมาที่ลู่ฉิวเยว่ด้วยสายตาขอโทษเช่นกัน
ลู่ฉิวเยว่สั่นศีรษะ “ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่เก็บมาใส่ใจหรอกค่ะ”
พ่อแม่ของฉินซือยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น ลู่ฉิวเยว่เป็นเด็กดีจริง ๆ ลูกสาวและลูกเขยของพวกเขาไม่ควรมาก่อกวนเธอเลย มิหนำซ้ำ พวกเขายังออกปากช่วยเหลือผู้กระทำผิด สมควรแล้วที่ฉินซือจะโกรธอย่างนั้น
ฉินซือถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อนึกว่าตนเองกำลังจะได้แต่งงานในอีกไม่ช้า เขาก็จ้องมองไปที่ลู่ฉิวเยว่พร้อมกับยิ้มหวาน ความไม่สบายใจทั้งหมดสลายหายไป การถูกจ้องมองเช่นนั้นทำให้ลู่ฉิวเยว่ใบหน้าร้อนผ่าว เธอจึงจ้องมองเขากลับด้วยสายตาดุร้ายแทน
…
เพียงพริบตาเดียว วันที่เป็นกำหนดการหมั้นก็มาถึง
ในวันนี้ พ่อแม่ของฉินซือจองโรงแรมใหญ่เพื่อจัดงานนี้โดยเฉพาะ มีการเชิญแขกมามากมาย บรรยากาศเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ความอบอุ่น และความรื่นเริง
ครั้งที่แล้ว บรรดาเพื่อน ๆ ของฉินซือได้ประจักษ์ถึงความสามารถและเสน่ห์ของลู่ฉิวเยว่ด้วยสองตาของตนเอง อีกทั้งพวกเขาก็รู้สึกว่าลู่ฉิวเยว่กับฉินซือช่างเหมาะสมกันจริง ๆ ทุกคนจึงอวยพรให้ทั้งสองคนครองรักกันไปให้ยาวนาน
เมื่อหัวข้อสนทนามาถึงเรื่องของสินสอดทองหมั้น ทั้งสองครอบครัวก็พูดคุยถึงวันแต่งงานอีกครั้ง ทางครอบครัวของฉินซืออยากจะให้แต่งงานโดยเร็วที่สุดในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า แต่พ่อของฝ่ายหญิงปฏิเสธ สุดท้ายพวกเขาก็ได้กำหนดฤกษ์แต่งงานเป็นเดือนกรกฎาคมปีหน้า
คืนนี้ เมื่องานเลี้ยงเลิกรา ฉินซือก็สั่งให้เลขาหวังช่วยพาพ่อแม่ของลู่ฉิวเยว่รวมไปถึงครอบครัวของคุณลุงเธอกลับไปที่บ้าน ส่วนตัวเขาอาสามาส่งลู่ฉิวเยว่ด้วยตนเอง
วันนี้พ่อของลู่ฉิวเยว่มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่ได้พูดอะไรเลย เขาแค่สั่งให้ลู่ฉิวเยว่กลับบ้านตรงเวลาและก็ต้อนรับฉินซือเป็นอย่างดี
เมื่อมาจอดรถถึงประตูหน้าบ้าน ฉินซือก็จูบลู่ฉิวเยว่อย่างหนักหน่วงจนเธอแทบหายใจไม่ออก
แต่เมื่อคิดว่าวันนี้เขาคงมีความสุขมาก ลู่ฉิวเยว่จึงไม่ได้หยุดยั้งเขาและปล่อยให้ลมหายใจร้อนอุ่นไหลเข้ามาในปากของตนเอง
“ฉันเข้าบ้านได้แล้วหรือยัง?” หลังจากถอนริมฝีปากออกมาอย่างยากลำบาก ลู่ฉิวเยว่ก็สูดหายใจลึก
หญิงสาวตรงหน้าในตอนนี้ดูยั่วยวนเป็นอย่างยิ่ง ลิปสติกที่มุมปากเลือนหายไป เวลาอยู่ภายใต้แสงสลัวจากแสงไฟข้างถนน ลู่ฉิวเยว่ยิ่งดูมีความดึงดูดมากกว่าเดิม ฉินซือลอบกลืนน้ำลาย อยากจะคว้าข้อมือของเธอและรั้งเอาไว้ “เดี๋ยวก่อนสิ”
ลู่ฉิวเยว่รีบเปิดประตูลงไปจากรถแล้วยิ้มอย่างยั่วยวน แต่พูดอย่างไร้ความเมตตา “เจอกันพรุ่งนี้นะคะ”
ฉินซือยิ่งรู้สึกร้อนใจมากขึ้นและมากขึ้น เมื่อเห็นว่าเธอเดินหายเข้าไปในบ้านเรียบร้อยแล้ว เขาก็สตาร์ตเครื่องยนต์อย่างช่วยไม่ได้ เดือนกรกฎาคมช่างยาวนานเหลือเกิน…
…
วันต่อมา พวกเขานัดพบกันเพื่อดูสถานที่สำหรับจัดงานแต่ง
“มีอะไรเหรอ?” เมื่อเห็นว่าลู่ฉิวเยว่เอาแต่จ้องมองไปข้างนอกตลอดเวลา ฉินซือก็โน้มตัวเข้ามาถามด้วยความสงสัย หลังจากรอคอยอยู่อึดใจใหญ่ หญิงสาวก็ไม่ได้ให้ความสนใจภายในสถานที่จัดงานเลย เธอยังคงมองออกไปข้างนอกต่อไป
ลู่ฉิวเยว่ยกมือถูคางอย่างใช้ความคิด “ฉินซือ คุณว่าย่านนี้เหมาะสมสำหรับทำธุรกิจไหม ฉันอยากเช่าร้านแถวนี้น่ะ”
ฉินซือยิ้มออกมา “ลู่ฉิวเยว่ ทำไมคุณถึงคิดเรื่องหาเงินได้ตลอดเวลาเลยเนี่ย ไม่คิดเรื่องงานแต่งของเราบ้างหรือไง?”
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะและหันมาพูดคุยกับเขา
“ถ้าคุณชอบหาเงินมากขนาดนี้ มาช่วยผมจัดการโรงงานเลยดีไหม? สามีภรรยาทำงานด้วยกัน ก็น่าจะดีอยู่นะ” เมื่อฉินซือคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
ลู่ฉิวเยว่กลอกตา “ใครจะไปแต่งงานกับคุณกัน!”
ฉินซือหัวเราะในลำคอและกอดเอวบอบบางของเธอจากข้างหลัง “ก็คุณไง ลู่ฉิวเยว่ เมื่อไหร่คุณจะให้ตำแหน่งนั้นกับผมสักที?”
เสียงแหบแห้งของเขาดังขึ้นในหูของเธอ หัวใจของเธอสั่นไหว ใบหูของลู่ฉิวเยว่ร้อนผ่าว “ก็กรกฎาคมปีหน้าไง ทำไมต้องรีบร้อนด้วย?”
“จะไม่รีบร้อนยังไงไหว?” ฉินซือพูดด้วยความไม่พอใจ “ดูเหมือนผมจะร้อนรนอยู่แค่คนเดียว คุณไม่เห็นสนใจสักนิด คุณไม่ชอบผมเหรอ?”
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะออกมา ยิ่งเห็นเธอตลกขบขันเขามากขนาดนี้ ฉินซือก็ยิ่งทำหน้าบูดมากกว่าเดิม
เมื่อกลับไปถึงบ้าน ลู่ฉิวเยว่ก็นั่งทบทวนเรื่องนี้อยู่อีกเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะไปบอกพ่อแม่ว่า “หนูว่าจะไปเช่าร้านขายของ พ่อแม่อยากขายหมูตุ๋นไหมคะ?”
ในช่วงเวลาระหว่างนี้ เธอได้ยินพ่อกับแม่บ่นว่าอยู่บ้านเบื่อไม่มีอะไรทำจนหูชาไปหมดแล้ว
แต่พิจารณากันตามความเป็นจริง ถ้าพ่อแม่ของเธอยังอยู่ในเมืองหัวอ้าย พวกท่านก็ยังมีเพื่อนบ้านให้พูดคุยแก้เหงา แต่ตอนนี้พวกท่านต้องอยู่ในเมืองหลวง ทำได้เพียงอยู่กับบ้านดูโทรทัศน์ทุก ๆ วัน แล้วเธอก็ไม่กล้าให้พ่อแม่ไปช่วยงานที่ร้านอาหารอีกด้วย
ดังนั้นลู่ฉิวเยว่จึงเกิดความคิดที่จะเปิดร้านหมูตุ๋นในย่านที่เธอสนใจวันนี้ขึ้นมาพอดี
“อยากสิ!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น พ่อแม่ของเธอก็ตอบรับด้วยความดีใจ
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะในลำคอ “งั้นเราทำอาหารเย็นขายด้วยดีกว่านะคะ เดี๋ยวหนูจะสอนวิธีทำเอง”
เมื่อเดือนก่อน เธอเพิ่งแลกสูตรทำอาหารแบบเย็น*[1]มาจากระบบ เมื่อลองรับประทานดูแล้วก็พบว่าพวกมันมีรสชาติอร่อยเป็นอย่างยิ่ง
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย” แม่ของเธอพยักหน้าตอบตกลง
หลังจากตัดสินใจกันได้เรียบร้อย ลู่ฉิวเยว่ก็ขอให้ฉินซือช่วยไปเช่าร้านในตอนบ่ายวันต่อมา
เมื่อกลับมาถึงบ้านตอนกลางคืน แม่ของลู่ฉิวเยว่ก็รอไม่ไหวแล้วที่จะได้เรียนรู้วิธีการทำอาหารเย็น ลู่ฉิวเยว่เห็นว่ายังคงเหลืออาหารอยู่อีกมากมายในห้องครัว เธอจึงพับแขนเสื้อและเดินเข้าไปในห้องครัว
อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการทำอาหารแบบเย็นนั้นดูเหมือนจะง่าย แต่ความจริงมันซับซ้อนอยู่ไม่น้อย หลังจากลองรับประทานอาหารแบบเย็นที่แม่ของเธอทำออกมาแล้วหลายจาน อาหารเหล่านั้นก็ยังไม่ผ่านมาตรฐานของลู่ฉิวเยว่อยู่ดี
แต่หลังจากเรียนรู้อยู่ประมาณหนึ่งสัปดาห์ แม่ของเธอก็ฝึกฝนอย่างหนักและทำได้สำเร็จในที่สุด
“เป็นยังไงบ้าง?” คู่สามีภรรยาวัยกลางคนจ้องมองลู่ฉิวเยว่ด้วยความกระตือรือร้น
ลู่ฉิวเยว่ลองซดน้ำซุป ก่อนจะยกนิ้วโป้ง “อร่อยมากค่ะ แบบนี้ก็เปิดร้านขายได้แล้ว”
พ่อแม่ของเธอยิ้มออกมาอย่างมีความสุขทันที
การเปิดร้านดำเนินไปอย่างราบรื่น อาจเป็นเพราะว่าร้านของพวกเขายังไม่ดัง ร้านหมูตุ๋นจึงมีลูกค้าไม่เยอะ ทำเอาพ่อแม่ของลู่ฉิวเยว่รู้สึกท้อใจมากขึ้นเรื่อย ๆ รสชาติที่พวกเขาทำเหมือนกับที่เคยขายในเมืองหัวอ้ายทุกประการ แต่ก็ยังมีลูกค้าน้อยอยู่ดี
ฝั่งตรงข้ามฟากถนนเป็นร้านขายอาหารจานด่วน ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับร้านหมูตุ๋นโดยสิ้นเชิง นั่นยิ่งทำให้พ่อแม่ของลู่ฉิวเยว่รู้สึกเศร้ามากขึ้น
ไม่ว่าการเปิดร้านผ่านไปกี่วัน ลูกค้าก็ไม่เพิ่มขึ้นเลย จึงเป็นไปได้ว่าปัญหาอาจจะเป็นที่ร้านของพวกเขาเอง
แต่พ่อแม่ของลู่ฉิวเยว่ก็คิดไม่ออกเลยว่าปัญหาอยู่ที่ตรงไหนกันแน่
[1] อาหารที่นำเนื้อสัตว์อย่างเช่นเนื้อไก่ไปปรุงให้สุกและนำไปแช่ในน้ำเย็นก่อนจะนำขึ้นมาราดน้ำซอสสำหรับรับประทาน