สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 194 ตัดสินใจหมั้น
บทที่ 194 ตัดสินใจหมั้น
สีหน้าของม่อป๋อซงไม่ค่อยสู้ดี ถ้าลู่ฉิวเยว่กับฉินซือมาเห็นภาพของเขาในตอนนี้ เขาก็คงต้องถูกหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน
“พี่เฉิง วันนี้ผมมีเรื่องทางบ้านต้องกลับไปจัดการ ผมขอลางานก่อนนะครับ” เขายิ้มออกมาด้วยความเกรงใจก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปทันที
พี่เฉิงผู้เป็นหัวหน้าตะโกนไล่หลังมาด้วยความโมโห “ถ้าไม่ว่างทำไมไม่บอกกันตั้งแต่แรก แล้วฉันจะหาคนงานมาแทนจากที่ไหน? วันพรุ่งนี้แกไม่ต้องกลับมาแล้วนะ!”
ม่อป๋อซงหันกลับไปชักสีหน้าใส่ด้วยความโกรธแค้นทันที “ไม่มาก็ได้วะ แกคิดว่างานของแกสำคัญกับฉันมากนักหรือไง?”
พูดจบแล้วเขาก็เดินจากมาโดยทิ้งให้ผู้เป็นหัวหน้ายืนโมโหอยู่อย่างนั้นตามลำพัง
ระหว่างทางกลับที่พัก ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ม่อป๋อซงก็ยิ่งโมโหมากเท่านั้น เขาเคยเป็นถึงข้าราชการรับใช้ประชาชน เคยมีครอบครัวที่มีความสุข แต่ตอนนี้ชีวิตของเขาต้องพังทลายไปเพราะนางมารร้ายอย่างลู่ฉิวเยว่ แล้วทำไมเธอถึงได้มีชีวิตที่มีความสุขอยู่ฝ่ายเดียว!
ดวงตาของม่อป๋อซงเป็นประกายด้วยความเคียดแค้น ถ้านางมารร้ายนั่นกลายเป็นเมียเขา ทรัพย์สมบัติของเธอก็จะกลายเป็นของเขาด้วยใช่ไหม?
แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงมือสอง แต่เพื่อเงิน เขายอมรับได้อยู่แล้ว
หลังจากคิดได้ดังนี้ ม่อป๋อซงก็กลับมามุ่งมั่นมากกว่าเดิม เริ่มต้นวางแผนการในการเข้าหาลู่ฉิวเยว่และมั่นใจว่าจะทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงของเขาได้สำเร็จ
ลู่ฉิวเยว่ไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังถูกหมายหัว ในขณะที่เธอดูแลร้านอาหารและร้านขายยาจีน เธอก็ยังต้องวุ่นวายกับการตกแต่งบ้านอีกด้วย
ในที่สุดการตกแต่งบ้านใหม่ก็เสร็จเรียบร้อยในสัปดาห์ต่อมา
วันแรกในการย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหม่ คุณแม่ลู่เดินมาเคาะประตูห้องของเธอทันที
“แม่คะ มีอะไรจะพูดก็พูดออกมาเถอะ” ลู่ฉิวเยว่เก็บสมุดบัญชีใส่ลิ้นชักและพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
คนเป็นแม่โบกไม้โบกมือ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แม่แค่มาบอกว่าเราจะจัดงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่วันพรุ่งนี้น่ะ”
ลู่ฉิวเยว่นั่งหลังตรง ปกติเวลาคนเราย้ายเข้าบ้านใหม่ก็จะต้องจัดงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่เสมอ แต่พวกเขาไม่ได้มีญาติอยู่ในเมืองหลวง จึงไม่มีเหตุผลที่ต้องจัดงานเลี้ยงเลย
แม่ของเธอพยายามจะบอกอะไรกันแน่?
ลู่ฉิวเยว่กะพริบตาด้วยความสงสัย
เมื่อเห็นเธอเป็นเช่นนี้ คุณแม่ลู่ก็รู้แล้วว่าลูกสาวคงไม่เข้าใจ “ลูกกับฉินซือคบกันมาได้นานแล้ว ตอนนี้พ่อแม่ของเขาก็อยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน ทำไมไม่เชิญพวกเขามางานเลี้ยงด้วยกันเลยล่ะ?”
ลู่ฉิวเยว่ยกมือตบหน้าผากตัวเอง “หนูจะบอกฉินซือให้นะคะ” เธอเองก็นึกอยู่เหมือนกันว่าลืมอะไรไปบางอย่าง ตอนนี้พ่อแม่ของฉินซือก็กำลังอยู่ในเมืองหลวงเช่นกัน
ลู่ฉิวเยว่จึงก้าวลงจากเตียง สวมรองเท้าแตะ เดินไปที่ห้องนั่งเล่น และโทรศัพท์ไปหาฉินซือ
“ได้เลย เดี๋ยวผมจะบอกพ่อแม่ให้นะ” ฉินซือได้รับโทรศัพท์จากลู่ฉิวเยว่ทันทีที่กลับถึงบ้านจึงค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อย
พวกเขาพูดคุยกันอยู่อีกครู่หนึ่ง ลู่ฉิวเยว่ก็ขอตัววางสาย
วันต่อมา เธอตื่นไปดูแลร้านอาหารและร้านขายยาตามปกติตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อตรวจสอบก็พบว่าทุกอย่างเป็นปกติดี หลังจากนั้นเธอก็พาแม่และป้าสะใภ้ไปที่ตลาดสด
เมื่อในบ้านมีคนอยู่มากมาย การทำอาหารมื้อใหญ่จึงไม่ใช่ปัญหา ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็เสร็จสิ้น แล้วพ่อแม่ของฉินซือก็มาถึงพอดีพร้อมกับของขวัญ
“สวัสดีค่ะ คุณลุงคุณป้า” ลู่ฉิวเยว่เพิ่งเดินออกมาจากห้องครัว เธอรีบเช็ดมือทำความสะอาดกับผ้ากันเปื้อนก่อนจะออกไปรับแขก
คุณแม่ฉินส่งยิ้มให้ด้วยความใจดีขณะจับมือหญิงสาวแน่นไม่ยอมปล่อย ยิ่งเธอมองว่าที่ลูกสะใภ้อย่างลู่ฉิวเยว่มากเพียงใด ในดวงตาก็ยิ่งมีความพึงพอใจมากเท่านั้น
ระหว่างรับประทานอาหาร คุณแม่ฉินก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “ตอนนี้ฉินซือกับลู่ฉิวเยว่ก็คบกันมาได้นานแล้ว การงานของลู่ฉิวเยว่ในเมืองหลวงก็มั่นคง เมื่อไหร่ทั้งสองคนจะหมั้นหมายกันสักทีล่ะ?”
ใบหน้าของลู่ฉิวเยว่แดงระเรื่อ เธอจ้องมองไปที่ฉินซือโดยไม่รู้ตัวและพบว่าเขากำลังมองเธออยู่นานแล้ว สายตาอันร้อนแรงของเขาจ้องมองเธอเหมือนกับจะเผาเธอไปทั้งตัว
ลู่ฉิวเยว่หัวใจสั่นไหวและรีบหลบสายตาอย่างรวดเร็ว
ใต้โต๊ะอาหาร มือของฉินซือจับมือลู่ฉิวเยว่แน่น เขาพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง “เรื่องนี้แล้วแต่ฉิวเยว่ของเราเลยครับ”
เมื่อแม่ของเขาเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของลูกชาย เธอก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ก่อนจะหันไปหาพ่อแม่ของฝ่ายหญิง “พวกคุณคิดว่ายังไงบ้างคะ?”
“ก็ดีเหมือนกันนะ พวกเราเองก็อยากให้เด็กทั้งสองคนหมั้นหมายกันโดยเร็วที่สุด แต่ก็ตามใจฉิวเยว่เขานั่นแหละ” คุณแม่ลู่หันมามองลูกสาวก่อนจะตอบคำถามแม่ของฉินซือ
เธอย่อมรู้ดีว่าฉินซือดีต่อลูกสาวของเธอมานานแล้ว และเธอในฐานะแม่ก็จะรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ส่งมอบลูกสาวให้ชายหนุ่มผู้นี้ดูแลต่อไป
ในตอนนี้ สายตาทุกคู่บนโต๊ะอาหารกำลังจ้องมองมาที่ลู่ฉิวเยว่ เธอไอออกมาเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองหน้าฉินซือ
สีหน้าของชายหนุ่มแจ่มใสมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจับมือเธอแน่นมากกว่าเคย ลู่ฉิวเยว่คิดไม่ถึงเลยว่าชายหนุ่มผู้เย็นชาที่สามารถแก้ปัญหาน้อยใหญ่ได้โดยไม่เคยเกิดความหวั่นไหวใด ๆ นั้นจะต้องมาเกิดความประหม่าเพราะเรื่องแค่นี้ หญิงสาวพบว่านี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่งนัก
เธอหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะเลิกหยอกล้อเขาแล้วพยักหน้าและพูดว่า “งั้นหมั้นเลยก็ได้ค่ะ”
งั้นหมั้นเลยก็ได้ค่ะ…
หัวสมองของฉินซือว่างเปล่า เขาประหลาดใจและตกตะลึงจนคิดไม่ถึง เมื่อตั้งสติได้ หัวใจก็พองโตอย่างมีความสุข
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยจ้ะ” คุณแม่ฉินยิ้มกว้างจนปากแทบฉีกถึงรูหู กล่าวกับคู่รักหนุ่มสาวว่า “เดี๋ยวเราค่อยมาคุยเรื่องเรือนหอกันนะ ถือว่าเป็นของขวัญจากพ่อแม่ แต่พวกลูกอยากได้เรือนหอแบบไหนก็เลือกกันเอาเอง อีกอย่าง พวกลูกต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ก็เลือกเอาบ้านที่พอใจมากที่สุดดีกว่า”
ฉินซือยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยความสดใส เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาของลู่ฉิวเยว่ แต่ปากพูดกับพ่อแม่ตัวเองว่า “ได้เลยครับ”
ทุกคนรับประทานอาหารมื้อนี้อย่างมีความสุข ยกเว้นก็แต่คุณพ่อลู่เท่านั้น
เมื่อแขกกลับกันไปหมดแล้ว รอยยิ้มของชายวัยกลางคนก็หายวับไปทันที ผู้เป็นภรรยาต้องใช้ข้อศอกสะกิดเอวเล็กน้อย “ทำไม คุณไม่ดีใจหรือไงที่ลูกจะได้หมั้นแล้ว?”
คุณพ่อลู่ถอนหายใจ ไม่ได้พูดอะไรออกมา เมื่อเขานึกถึงคำพูดที่ฉินซือเรียกลูกสาวของเขาว่า ‘ฉิวเยว่ของเรา’ เขาก็อดรู้สึกขุ่นเคืองใจขึ้นมาไม่ได้
ลู่ฉิวเยว่ไม่รู้เลยว่าพ่อของตนเองไม่พอใจ เธอนั่งรถยนต์ของฉินซือไปเลือกบ้านหลังใหม่ในวันต่อมา
เมื่อคิดว่าสิ่งที่พวกเขาจะได้เลือกต่อไปก็คือเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน หัวใจของเธอก็รู้สึกอบอุ่น
ถึงแม้ว่าเธอกับฉินซือต้องอาศัยอยู่ด้วยกันในบ้านหลังใหม่ แต่สิทธิ์ในการเลือกบ้านก็ตกอยู่ที่ลู่ฉิวเยว่เพียงผู้เดียว
ฉินซือเป็นพวกเลือกกินแต่ไม่ค่อยเรื่องมากเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยและการขนส่ง เขาคิดว่าแค่เธอพอใจก็พอแล้ว
“ฉันว่าหลังนี้โอเคมากเลยล่ะ” หลังจากสำรวจดูบ้านอยู่หลายหลัง ลู่ฉิวเยว่ก็คัดเลือกมาได้หลังหนึ่ง
ฉินซือพยักหน้า “งั้นผมก็เลือกหลังนี้เหมือนกัน”
“ไม่ได้ ฉันชอบบ้านหลังนี้!” ในระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังพูดคุยกับตัวแทนขายบ้าน เสียงแหลมสูงของหญิงสาวก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังเขา
ฉินซือหยุดชะงัก หันไปมองชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนอยู่ทางด้านหลังแล้วก็ต้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “จางเฉียนซิน?”
จางเฉียนซินก็หยุดชะงักไปเช่นกันก่อนจะยิ้มกว้าง “ฉินซือ ไม่เจอกันนานเลยนะ”