สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 191 คุณนายหลี่รู้ความจริง
บทที่ 191 คุณนายหลี่รู้ความจริง
“คุณคิดว่ายังไง?” ชายผู้นั้นเอียงศีรษะถามภรรยา
“สภาพบ้านใช้ได้เลยค่ะ” ภรรยาพยักหน้า คิดอะไรบางอย่างเล็กน้อย ก่อนจะหันมาถามลู่ฉิวเยว่ “คุณจะย้ายออกเมื่อไหร่คะ?”
“อีกสองวันเราก็จะย้ายไปอยู่เมืองหลวงแล้วค่ะ คุณคงเห็นได้ว่าเราเตรียมกระเป๋าสัมภาระเอาไว้แล้ว”
หญิงผู้นั้นพยักหน้าด้วยความพอใจ “ตราบใดที่คุณย้ายออกในอาทิตย์นี้ก็ไม่มีปัญหาค่ะ”
ลู่ฉิวเยว่พูดด้วยความกระตือรือร้นว่า “งั้นพวกเราทำเรื่องโอนบ้านกันเลยไหมคะ?”
เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงเห็นพ้อง ขั้นตอนทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยความรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันนี้ ตระกูลหลี่กำลังวุ่นวายเป็นอย่างยิ่ง
คุณนายหลี่รอคอยถึงสองวันแต่ก็ไม่ได้รับโทรศัพท์จากลู่ฉิวเยว่ จึงโทรไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่หญิงสาวทิ้งเอาไว้ให้ด้วยความร้อนใจ แต่หลังจากโทรไปหลายครั้งก็ไม่มีคนรับสาย สุดท้ายพอมีคนรับสายคุณนายหลี่ก็ได้รู้ว่านี่เป็นเบอร์โทรศัพท์ของตู้โทรศัพท์สาธารณะ!
ตอนนั้นเองที่คนตระกูลหลี่รู้แล้วว่าตนเองโดนหลอก
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นนักต้มตุ๋น!” คุณนายหลี่คำรามด้วยความโกรธแค้น
หลี่เฉียงมีสีหน้าเคร่งเครียด “พวกเราไปแจ้งตำรวจกันเถอะ!” คนหลอกลวงแบบนี้ต้องสั่งสอนบทเรียนให้เข็ด!
“แต่ว่า…” หลี่ห่าวขมวดคิ้ว “เธอไม่ได้หลอกเงินเรานะครับ แจ้งตำรวจไปก็ไม่มีประโยชน์”
หลี่เฉียงถึงกับยกมือตบหน้าผากตนเองด้วยความเจ็บใจ ผู้หญิงคนนั้นโกหกพวกเขา แต่พวกเขาไม่ได้เสียอะไรไปเลย สรุปว่าเธอต้องการอะไรกันแน่?
ไม่ว่าพยายามคิดหาคำตอบมากเพียงใด พ่อแม่ลูกตระกูลหลี่ก็คิดไม่ออก
…
ณ บ้านตระกูลลู่
ลู่ฉิวเยว่จัดการรวบรวมเฟอร์นิเจอร์ไม้จันทน์ที่เก็บสะสมไว้ตลอดสองปีที่ผ่านมาและว่าจ้างบุคคลที่เชื่อใจได้ให้ช่วยขนย้ายพวกมันไปที่เมืองหลวง
ส่วนของใช้ในครัวเรือนอื่น ๆ เช่นหม้อและกระทะ เธอก็นำออกไปปูพื้นขายเลหลังราคาถูก ซึ่งได้รับความสนใจจากบรรดาคนแถวนั้นเป็นอย่างยิ่ง
“ทำไมไม่เอาให้เพื่อนบ้านไปล่ะลูก?” แม่ของเธอให้คำแนะนำเมื่อเห็นว่าในคืนนั้นยังเหลือจานชามที่ขายไม่ออกอยู่อีกเยอะ
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า “ที่บ้านเรายังเหลือโต๊ะเก้าอี้อีกหลายตัว เดี๋ยวเอาไปให้เพื่อนบ้านทั้งหมดเลยก็ได้ค่ะ”
ในระหว่างที่ตระกูลลู่อยู่ในอำเภอ เพื่อนบ้านดูแลพวกเธอเป็นอย่างดี แถมยังเคยมาช่วยเหลือพ่อของเธอไปส่งโรงพยาบาลอีกด้วย ลู่ฉิวเยว่จึงยินดีมอบข้าวของเหล่านี้ให้แก่เพื่อนบ้านเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อหญิงสาวเดินไปบอกเรื่องนี้กับป้าข้างบ้าน
“ให้ฉันเนี่ยนะ?” ป้าข้างบ้านรับกล่องใส่จานชามไปด้วยความเขินอาย เธอยิ่งตกตะลึงมากขึ้นเมื่อได้ยินว่าลู่ฉิวเยว่จะให้พวกเธอไปช่วยยกโต๊ะเข้ามา “ฉันเอาเงินให้เธอดีไหม?”
แม่ของลู่ฉิวเยว่โบกไม้โบกมือปฏิเสธ “เงินอะไรกันคะ? พวกเราเป็นเพื่อนบ้านกันนะ อีกอย่าง พวกเราไม่ได้ใช้โต๊ะพวกนี้อยู่แล้ว ถ้าคุณไม่รังเกียจก็รับมันไว้เถอะค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวพวกเราไปยกเข้ามาเองค่ะ” ป้าข้างบ้านยิ้มอย่างขอบคุณและกวักมือเรียกสามีให้ไปยกโต๊ะเข้ามาในบ้าน
แม่ของลู่ฉิวเยว่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
หลังจากนั้น ลู่ฉิวเยว่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าคุณตำรวจสวีซงซิงเคยบอกว่ากำลังจะมาตามหาน้องชาย วันต่อมาเธอจึงเดินทางไปที่สถานีตำรวจ
“ลู่ฉิวเยว่ กลับมาจากเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!” สวีชางโจวดีใจมากที่ได้พบหน้าเธอ
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าและหัวเราะในลำคอ วางถุงใส่ขนมลงบนโต๊ะให้ทุกคนได้รับประทาน
“รอบนี้ฉันกลับมาฉลองเทศกาลวันไหว้พระจันทร์น่ะ แต่ก็จะพาพ่อแม่เข้าไปอยู่ที่เมืองหลวงด้วยกันแล้วค่ะ”
สวีชางโจวหยิบขนมหวานยัดใส่ปากแล้วกลืนลงคอก่อนจะพูดยิ้ม ๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ยินดีด้วยนะครับ!”
“อ้อ จริงด้วยสิ ครั้งที่แล้วฉันเจอนายตำรวจแซ่สวีในเมืองหลวง เขาบอกว่าคุณเป็นน้องชายของเขา ฉันก็เลยให้ที่อยู่สำหรับติดต่อคุณไป ไม่ทราบว่าฉันสร้างปัญหาให้กับคุณหรือเปล่า?” ลู่ฉิวเยว่ถามออกมาด้วยความไม่สบายใจ
สวีชางโจวมีสีหน้าแปลกประหลาดเล็กน้อย ก่อนจะโบกมือ “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวผมก็จัดการได้”
ลู่ฉิวเยว่เห็นว่าสีหน้าของเขาไม่ค่อยสู้ดี จึงคิดว่าพวกเขาคงพูดคุยกันได้ไม่ดีสักเท่าไหร่ และเธอเองก็ไม่รู้เรื่องราวภายใน ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนเรื่องพูด ไม่ได้สอบถามถึงเรื่องนี้อีก
หลังจากร่ำลาสวีชางโจวเรียบร้อยแล้ว รุ่งเช้าวันต่อมา ทุกคนก็โดยสารรถสามล้อปั่นสองคันเดินทางไปที่สถานีรถไฟ
เมื่อไปถึงที่สถานี ลู่ฉิวเยว่ก็เข้าไปซื้อตั๋วพร้อมกับแม่ของเธอ
“พี่สาวจ๊ะ ขอซื้อตั๋วตู้นอนไปเมืองหลวงหกใบจ้ะ” เธอโน้มตัวไปข้างหน้าและยิ้มให้ป้าผู้ขายตั๋ว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม่ของเธอก็รีบยื่นมือมากระตุกแขนเสื้อ “ตู้นอนทั้งหมดหกใบเลยเหรอ? แพงจะตาย ซื้อตั๋วธรรมดาก็พอแล้ว”
ลู่ฉิวเยว่ตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ “ที่นั่งบนรถไฟแข็งจะตายค่ะแม่ แล้วก็ใช่ว่าหนูจะไม่มีเงินจ่ายสักหน่อย”
“เราก็ซื้อตั๋วตู้นอนแค่ใบเดียวไง ใครเมื่อยก็สลับกันไปนอนได้” แม่ของเธอส่ายศีรษะ เธอคุ้นเคยกับความยากจน เมื่อเห็นลูกสาวใช้เงินจำนวนมากในครั้งเดียวขนาดนี้จึงอดรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาไม่ได้
ลู่ฉิวเยว่ช่วยไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องประนีประนอมโดยการซื้อตั๋วตู้นอนมาสามใบ และตั๋วที่นั่งเบาะปกติอีกสามใบ
หลังจากซื้อตั๋วเสร็จแล้ว สองแม่ลูกก็เดินไปยังจุดที่นัดพบกับทุกคนเอาไว้
นี่ก็ผ่านช่วงเทศกาลวันไหว้พระจันทร์มาได้หลายวันแล้ว สถานีรถไฟในตอนนี้จึงมีคนไม่เยอะมากสักเท่าไหร่ แต่เมื่อพวกเธอเดินกลับไปก็พบว่ามีผู้คนหนาตามากขึ้นแล้ว
…
บริเวณหน้าประตูสถานีรถไฟ
คุณนายหลี่ก้าวลงจากรถสามล้อปั่นพร้อมกับบุตรชาย
“ให้ส่งแค่ตรงนี้เหรอครับ?” คนถีบรถสามล้อปั่นถาม
“ส่งแค่ตรงนี้ก็พอครับ พวกเราเดินเข้าไปเองได้ อีกอย่างพวกเรามีของเยอะด้วย” หลี่ห่าวยิ้มและช่วยยกกระเป๋าสัมภาระลงมาจากรถสามล้อ ก่อนจะเดินเข้าสู่สถานีรถไฟหลังจากพูดจบ
สองแม่ลูกเพิ่งจะเดินไปถึงชานชลาเท่านั้น พวกเขาก็ได้พบเห็นว่าลู่ฉิวเยว่กำลังมานั่งรอคอยรถไฟ คุณนายหลี่ชักสีหน้าด้วยความโมโหและรีบเดินเข้าไปหาทันที
หวังเซวียนเซวียนเพิ่งกลับมาจากห้องน้ำ เขายืนอยู่ข้างกายลู่ฉิวเยว่ หลี่ห่าวกัดฟันกรอด ยกมือชี้หน้าหวังเซวียนเซวียนบอกต่อแม่ของตนเองว่า “ไอ้หมอนั่นเป็นคู่แข่งของผมที่ชิงตำแหน่งกันในโรงงานนี่แหละ!”
คุณนายหลี่เข้าใจโดยทันที ตอนแรกเธอก็ไม่เข้าใจเลยว่าลู่ฉิวเยว่จะมาโกหกตนเองเพื่ออะไร ที่แท้ก็เพราะเรื่องตำแหน่งงานของน้องชายนั่นเอง!
คุณนายหลี่โกรธแค้นจนอกแทบระเบิด “เธอมันคนหลอกลวง!”
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นหู ลู่ฉิวเยว่ก็หันหน้ามามองและพบว่าเป็นคุณนายหลี่จึงได้แต่อุทานออกมาว่า “อุ๊ย!”
หลี่ห่าวอิจฉาริษยาต่อหวังเซวียนเซวียนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้อีกฝ่ายยังมาแย่งตำแหน่งงานไปจากเขาอีก จึงรีบพุ่งเข้ามาชกต่อยกับหวังเซวียนเซวียนด้วยความโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง
ลู่ฉิวเยว่กลัวว่าพ่อแม่และคุณลุงคุณป้าจะถูกลูกหลงไปด้วย เธอจึงใช้กระเป๋าเสื้อผ้าในมือฟาดคุณนายหลี่ไปหลายครั้ง
อย่างไรก็ตาม เสียงตะโกนสาปแช่งด้วยความโกรธแค้นของคุณนายหลี่ได้ดึงดูดความสนใจจากผู้คนรอบข้างให้หันมามอง
เจ้าหน้าที่ประจำสถานีรถไฟรีบวิ่งเข้ามาระงับเหตุ ลู่ฉิวเยว่จึงขึ้นรถไฟได้อย่างราบรื่น
ส่วนสองแม่ลูกตระกูลหลี่ยังคงยืนจ้องมองแผ่นหลังของลู่ฉิวเยว่กับหวังเซวียนเซวียนด้วยความอาฆาตแค้นต่อไป
ในที่สุด เมื่อได้ขึ้นไปนั่งบนรถไฟ ลู่ฉิวเยว่ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เธอวางกระเป๋าสัมภาระไว้บนเตียงและนั่งลงพักเหนื่อย
ป้าสะใภ้รีบเดินเข้ามาดูว่าหวังเซวียนเซวียนได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่
“เป็นไงบ้างคะ?” ลู่ฉิวเยว่ถามด้วยความเป็นกังวล
“ไม่เป็นไร แค่มีรอยขีดข่วนเล็กน้อยน่ะ” ป้าสะใภ้โบกมือก่อนจะนำยาออกมาทาให้ลูกชาย
ลู่ฉิวเยว่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก โชคดีที่ก่อนหน้านี้เธอได้โทรศัพท์ติดต่อฉินซือไว้เรียบร้อยแล้ว เธอแจ้งเขาว่าตนเองกำลังจะเดินทางไปที่ปักกิ่งพร้อมด้วยกระเป๋าสัมภาระมากมาย จึงอยากรบกวนให้เขามารับเธอสักหน่อย
ฉินซือรับปากด้วยความประหลาดใจและมีความสุข เขาบอกว่าจะมารับเธอที่สถานีรถไฟด้วยตัวเอง
…
เมื่อใกล้ถึงเวลาที่รถไฟของลู่ฉิวเยว่จะมาถึงเมืองหลวง ฉินซือก็ปรับเปลี่ยนตารางงานให้เลขาหวังจัดการเรื่องราวทั้งหมดแทน ชายหนุ่มจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าและไปรอรับผู้คนที่สถานีรถไฟ
ฉินซือเป็นคนตัวสูงและโดดเด่น เขาเลือกจุดยืนรอที่สะดุดตามากที่สุด ลู่ฉิวเยว่จึงมองเห็นได้โดยทันทีเมื่อเธอก้าวลงมาจากรถไฟ