สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 19 การตรวจสอบตลาด (รีไรท์)
บทที่ 19 การตรวจสอบตลาด (รีไรท์)
บทที่ 19 การตรวจสอบตลาด (รีไรท์)
หลังจากซื้อเตียงแกะสลักไม้จันทน์ที่สวยงามมาได้ในราคาต่ำ ลู่ฉิวเยว่ก็มีความสุขอย่างเห็นได้ชัด
เธอทำอาหารมื้อพิเศษหลายอย่างในตอนกลางคืน
หญิงสาวนึ่งแป้งชั้นนอกของขนมจีบกุ้งจนเกือบใส ใสชนิดที่มองเห็นกุ้งสีแดงส้มด้านในได้โดยตรง กุ้งแต่ละตัววางไว้อย่างสวยงามมาก
จากนั้นเธอก็ทำไก่ผัดถั่วลิสงพริกแห้งเคลือบด้วยซอสบาง ๆ โรยหน้าด้วยถั่วลิสงทอด
แต่เมนูเด็ดในมื้อนี้คือผัดเปรี้ยวหวานปลากระรอกราดด้วยน้ำมะเขือเทศ นอกจากรสชาติจะเปรี้ยวหวานแล้ว กลิ่นหอมฟุ้งก็ยังคงตลบอบอวลอยู่ในบ้าน ทำให้กลุ่มคนในห้องนั่งเล่นตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ
แม้แต่เด็กข้างบ้านก็ยังโผล่หัวแอบดู พ่อแม่ของพวกเขาต้องมาพาตัวกลับไปด้วยความเขินอาย
กลิ่นช่างหอมน่าสนใจจริง ๆ
“อาหารเย็นพร้อมแล้ว!” แม่ของหญิงสาวนำอาหารจานสุดท้ายมาวางที่โต๊ะอย่างระมัดระวัง
ในที่สุดก็ถึงเวลาอาหารค่ำ!
เลขาหวังลุกขึ้นยืนอย่างเร่งรีบพร้อมดวงตาที่เป็นประกาย
ฉินซือเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่วินาที ทุกคนก็นั่งอย่างเรียบร้อยที่โต๊ะอาหาร
หลังอาหารเย็น แม่ของลู่ฉิวเยว่และป้าสะใภ้ก็ไปล้างจาน ส่วนคนอีกกลุ่มหนึ่งนั่งคุยกันในห้องนั่งเล่น
ฉินซือพูดกับลู่ชิวเยว่ทันที “พรุ่งนี้ผมกับเลขาหวังจะไปตรวจสอบที่ตลาดสักหน่อย เชฟลู่ คุณช่วยพาผมเข้าเมืองหน่อยสิ จะได้ไปตรวจสอบการขายสาลี่กระป๋องที่ผลิตจากโรงงานของพวกเราด้วย”
“ไม่มีปัญหา ฉันจะได้ไปเดินที่ห้างด้วย” ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า
เธออยู่ในโลกนี้มากว่าสองเดือนแล้ว เธอยุ่งทั้งวันตลอดเวลา จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าให้ตัวเองสักชิ้น
ลู่ฉิวเยว่มองลงไปที่กางเกงผ้าฝ้ายมีรอยปะของเธอพลางขมวดคิ้วด้วยความขยะแขยง
ในชีวิตที่แล้ว หญิงสาวมักจะออกไปตรวจสอบภัตตาคารเหลียนเซิงภายใต้ชื่อของตนเอง ในบางครั้งเธอต้องหารือความร่วมมือกับผู้อื่น ภาพลักษณ์ของเธอจึงดูดีเสมอ ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเธอจะแต่งตัวแบบนี้เลย ให้ตายเถอะ
เรียกว่าจนได้เต็มปากเลยล่ะ
เช้าวันต่อมา ลู่ฉิวเยว่นั่งรถของฉินซือไปยังที่ว่าการอำเภอ
เลขาหวังไม่ได้มาด้วยจึงเป็นฉินซือที่ขับรถเอง
ทันทีที่เธอก้าวเข้าไปในห้างสรรพสินค้า เธอก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจแห่งประวัติศาสตร์ที่ปะทะเข้ามาที่ใบหน้า
ที่นี่แตกต่างจากห้างสรรพสินค้าในยุคต่อมาที่เต็มไปด้วยแสงไฟและหน้าต่าง ห้างสรรพสินค้าในทศวรรษที่ 1980 เต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัด
แต่ยังปูด้วยพื้นไม้หยาบกระด้าง บางจุดส่งเสียงลั่น ‘เอี๊ยดอ๊าด’ เมื่อเหยียบลงไป
มีคนจำนวนมากอยู่ข้างใน เสียงพูดคุยดังขึ้นปะปนอยู่ในบรรยากาศ แต่เนื่องจากห้างสรรพสินค้ามีพื้นที่ขนาดใหญ่จึงไม่แออัด
ห้างสรรพสินค้าในยุคต่อมามีป้ายราคา แต่ไม่มีในยุคนี้ เสียงของการต่อรองดังขึ้นทุกที่
“เกิดอะไรขึ้น?” เมื่อตระหนักว่าหญิงสาวที่เดินอยู่ด้วยกันหยุดชะงัก ฉินซือก็หันมามองเธออย่างสงสัย
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะแห้ง ๆ “ไม่มีอะไร เราควรไปที่ไหนก่อนดี?”
ทั้งสองไปที่ห้องทำงานของผู้จัดการก่อน
ชายผู้นี้เป็นชายชราในวัย 50 เศษ เขามีความสุขมากที่เห็นแขกทั้งสองคนมาหา
“หัวหน้าฉิน มาแล้วเหรอครับ” เขายิ้มและเชิญทั้งสองคนเข้ามา
ฉินซือพยักหน้า เขาผายมือไปที่ลู่ฉิวเยว่ที่อยู่ข้าง ๆ พลางแนะนำให้รู้จัก “นี่คือเชฟลู่ฉิวเยว่ ผู้จัดเตรียมสูตรของสาลี่ตุ๋นยาจีน เป็นผู้ถือหุ้นโรงงานของเราด้วยครับ”
“อ้อ!” ดวงตาของผู้จัดการหวงเต็มไปด้วยความชื่นชม เขายกนิ้วโป้งชื่นชมลู่ฉิวเยว่จากใจจริง “ไม่คาดคิดว่าคุณผู้หญิงจะมีความสามารถขนาดนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย!”
เมื่อสาวน้อยแสนสวยคนนี้เข้ามาครั้งแรก เขาคิดว่าเป็นแฟนหรือน้องสาวของฉินซือ แต่เขาไม่คิดว่าจะเป็นผู้ที่มีสถานะสำคัญเช่นนี้
“ชมเกินไปแล้วค่ะ” ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าอย่างสุภาพแล้วนั่งเงียบ ๆ บนโซฟาเพื่อฟังการสนทนาของพวกเขา
ฉินซือถามเสียงต่ำ “ผู้จัดการหวง ยอดขายผลิตภัณฑ์และปฏิกิริยาของลูกค้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ดีครับ! ดีมาก!” ผู้จัดการหวงยิ้มกว้าง “ผลไม้กระป๋องที่คุณส่งมาครั้งล่าสุดขายหมดภายในไม่กี่วัน ผมติดต่อไปที่เลขาหวัง แต่เขาบอกว่าไม่มีของอยู่ในคลังแล้ว ผมรู้สึกไม่สบายใจเลยครับ หัวหน้าฉิน มาตกลงกันว่าคุณจะส่งมาให้เราได้อีกเมื่อไหร่ดีกว่า ส่วนเรื่องราคา สามารถต่อรองได้เสมอครับ”
ฉินซือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเบา ๆ “เดี๋ยวผมจะแจ้งอีกทีนะครับ”
“เยี่ยมมากครับ!”
ลู่ฉิวเยว่รู้ว่าสาลี่กระป๋องในโรงงานขายดี แต่เธอก็ยังรู้สึกประหลาดใจ ไม่คาดคิดว่ามันจะขายดีถึงขนาดนี้
ต่อมา ชายต่างวัยทั้งสองคนก็เริ่มคุยกันเรื่องนาฬิกาปลุกและจักรยาน หญิงสาวรับฟังด้วยความตั้งใจ สิ่งของเหล่านั้นอาจเป็นผลิตภัณฑ์อื่นที่ฉินซือลงทุน
สิ่งที่ทำให้ลู่ฉิวเยว่ตกใจที่สุดคือบริษัทนาฬิกาที่ฉินซือเป็นเจ้าของ มันเป็นแบรนด์นาฬิกาที่เธอชื่นชอบ นี่หมายความว่าแบรนด์นาฬิกานั้นก่อตั้งโดยฉินซือคนนี้จริง ๆ!
ปรากฎว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังบริษัทผู้ผลิตนาฬิการายใหญ่ก็คือเขาเอง!
ให้ตายเถอะ… ตอนนี้กำลังมีนักธุรกิจหมื่นล้านนั่งอยู่เคียงข้างเธอจริงเหรอ?
ลู่ฉิวเยว่ได้แต่ตกตะลึง
“คุณบอกว่าจะไปเดินซื้อของไม่ใช่เหรอ” ฉินซือดีดนิ้วเรียกสติของลู่ฉิวเยว่ที่ลอยไปที่ไหนสักแห่งกลับมา
“อ้อ… จริงด้วยสินะ!” ลู่ฉิวเยว่ได้สติ เดินตามเขาออกจากสำนักงานไปทีละก้าว
นักธุรกิจหมื่นล้านในอนาคตกำลังเดินห้างอยู่กับฉันเนี่ยนะ?
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกว่าโลกนี้ช่างกลมเสียจริง ๆ…
“ฉันจะไปซื้อเสื้อผ้า ถ้าหัวหน้าฉินมีธุระ ก็ไปทำก่อนได้เลยนะคะ”
นับตั้งแต่ที่เธอรู้ว่าฉินซือเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต หญิงสาวก็รู้สึกว่ามันเป็นอาชญากรรมที่จะทำให้เขาเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
นี่คือเทพเจ้าแห่งความร่ำรวยที่สามารถทำเงินหมื่นล้านในเวลาเพียงไม่กี่นาทีเลยนะ!
“ผมว่าง” ฉินซือขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ เธอจึงกลายเป็นคนทำตัวห่างเหินเช่นนี้
“งั้นก็… ไม่เป็นไรค่ะ!” ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า
อารมณ์ของเธอแปรปรวนมากเกินไป เธอจึงไม่มีอารมณ์ที่จะไปเดินซื้อของอีกแล้ว สุดท้ายหญิงสาวก็เลือกเสื้อผ้าและกระโปรงสองสามชุดที่ดูดีมากที่สุดให้แก่ตนเอง
ลู่ฉิวเยว่กำลังซื้อของในห้างสรรพสินค้าโดยไม่รู้ตัวว่าลู่เจี๋ยหรงที่หลบมุมอยู่ในความมืดกำลังจ้องมองเธอด้วยความเกลียดชัง ดวงตาของหล่อนน่ากลัวพอ ๆ กับงูพิษเลยทีเดียว
ลู่เจี๋ยหรงกลับไปที่หมู่บ้านลู่เจี๋ยในตอนบ่าย
“แม่คะ นังลู่ฉิวเยว่นั่นไม่เห็นจะติดคุกเลย!” เธอรีบพูดด้วยความโกรธ
หญิงชราและป้าลู่ผงะทันที “เป็นไปได้ยังไง! มันไม่ได้มาขายของหน้าโรงงานแล้วไม่ใช่เหรอ แกไปได้ยินใครพูดมา”
หญิงสาวรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยว “หนูพูดจริง ๆ! หนูแอบไปถามมาจากคนในหมู่บ้านเยว่เหลียง ไม่ใช่แค่มันไม่ติดคุก แต่ตอนนี้มันกำลังจะเปิดร้านในตัวเมืองด้วย!”
ชื่อเสียงของเธอเน่าเฟะ แล้วเธอจะปล่อยให้ลู่ฉิวเยว่มีชีวิตที่ดีได้อย่างไร!
“ว่าไงนะ!” หญิงชราหน้าซีดด้วยความตกใจ
คุณย่าเดินออกไปข้างนอกด้วยใบหน้าที่โกรธเกรี้ยว “ฉันจะไปหามันเดี๋ยวนี้!”
เมื่อลู่ฉิวเยว่กลับมาบ้าน หญิงชราก็ยืนโต้เถียงอยู่ที่หน้าประตูบ้านคุณลุงของเธออยู่ก่อนแล้ว
แม่ของลู่ฉิวเยว่ยืนใกล้ ๆ ด้วยใบหน้าที่โกรธแค้น ส่วนพ่อของเธอก็กำลังทำอะไรไม่ถูก
“…ทุกคนมาดูนี่สิ ลูกประเสริฐของฉัน! เขาทิ้งแม่ชราผู้น่าสงสารทั้ง ๆ ที่ตัวเองกำลังร่ำรวย ฉันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าลูกชายตัวเองจะโตมากลายเป็นคนแบบนี้…”
เสียงโหยหวนลอยมาถึงหูของลู่ฉิวเยว่ผ่านฝูงชน แต่เธอคิดว่ามันตลกดี หญิงชราคนนี้ไร้ยางอายจริง ๆ
“ไม่มีทาง พี่ลู่กับพี่สะใภ้ไม่ใช่คนแบบนี้แน่นอน”
“อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ”
“เฮ้อ… คุณย่าแกก็น่าสงสารเหมือนกันนะเนี่ย”
เมื่อเผชิญกับข้อกล่าวหาจากทุกคน แม่ของลู่ฉิวเยว่ก็โกรธมากจนต้องกัดฟัน แต่เธอไม่สามารถทะเลาะกับหญิงชราคนนี้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“เอ้า นี่คุณย่าของฉันเองหรอเนี่ย!” ลู่ชิวเยว่เบียดเข้าไปในกลุ่มฝูงชนพลางเยาะเย้ยออกมาว่า “ทุกคน อย่าเชื่อที่หญิงชราคนนี้พูด ทุกคนอยากรู้ไหมว่าเพราะอะไรพวกฉันถึงต้องย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านเยว่เหลียง? นั่นเป็นเพราะว่าฉันกับพ่อแม่ถูกหญิงชราคนนี้บังคับให้ย้ายออกมาไง… ”
เมื่อลู่ฉิวเยว่ประกาศความร้ายกาจของหญิงชรา ทุกคนก็พูดไม่ออก
คนที่เคยรู้สึกเห็นอกเห็นใจหญิงชราก่อนหน้านี้ยิ่งรู้สึกละอายใจกว่าเดิม ทำได้เพียงพยักหน้าขอโทษพ่อแม่ของลู่ฉิวเยว่ แล้วเดินหนีไปโดยทันที
“แก!” หญิงชราไม่คาดคิดว่าลู่ฉิวเยว่จะกลับมากะทันหัน เธอหงุดหงิดขึ้นมาทันทีที่ถูกฉีกหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ออกไปซะ!”
“ออกไปจากหมู่บ้านของพวกเรา! พวกเราไม่ต้อนรับยายเฒ่าสารพัดพิษอย่างแก!”
“ไหนว่าตัดความสัมพันธ์กันหมดแล้วไงล่ะ พี่ลู่ไม่ใช่ลูกของย่าอีกต่อไปแล้ว ย่ายังจะมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไรอีก!”
“ถ้าแกกล้ามาที่หมู่บ้านของเราอีก แล้วฉันเจอแกเมื่อไหร่ รับรองว่าโดนตบแน่!”
เมื่อถูกชาวบ้านขับไล่ หญิงชราจึงต้องจากไป
…
“คุณย่า เป็นยังไงบ้างคะ” ลู่เจี๋ยหรงทักทายหญิงชราทันทีที่อีกฝ่ายเปิดประตูเข้ามา
หญิงชราส่ายหัวอย่างหงุดหงิด
เมื่อรู้ว่าหญิงชราไม่ได้เงินตามที่ต้องการ ลู่เจี๋ยหรงก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญ แต่เธอกลับแสดงรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมาแทน
จากนั้นเธอก็บอกแผนที่ตนเองวางเอาไว้ให้คุณย่าได้รู้
“เอาแบบที่แกว่า!” หลังจากได้ยินคำพูดของหลานสาว หญิงชราก็พูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ฉันจะทำให้พวกมันได้รู้จักความร้ายกาจของฉันซะบ้าง!”