สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 188 ผู้จัดการฝ่ายบุคคลมีปัญหา
บทที่ 188 ผู้จัดการฝ่ายบุคคลมีปัญหา
สูตรการทำเมล็ดแตงโมทอดหนึ่งรสจะมีราคา 2,000 หยวน เมล็ดแตงโมทอดของเธอมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดหกรสชาติ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 12,000 หยวน ถือเป็นราคาที่ยุติธรรมและจริงใจ เขาจึงเซ็นสัญญาโดยทันที
“งั้นในอนาคตเราก็มาร่วมธุรกิจกันอีกเถอะครับ”
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ได้เลยค่ะ ถ้ามีโอกาส ในอนาคตเราคงได้ร่วมธุรกิจกันอีกนะคะ”
ซงเสิ่งพยักหน้าด้วยความพอใจ เขาและลู่ฉิวเยว่ร่วมธุรกิจกันมายาวนาน ถือเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และเขาก็ดีใจมากที่เธอนึกถึงเขาเป็นคนแรกในการขายสูตรเมล็ดแตงโมทอด
“ผมเชื่อว่าด้วยความสามารถของคุณลู่ ชีวิตของคุณในเมืองหลวงจะยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนครับ เช่นเดียวกับธุรกิจของคุณ” เขาหัวเราะออกมา
ลู่ฉิวเยว่เก็บสัญญาเข้าใส่กระเป๋า และยิ้มกว้าง “คุณซงเสิ่งชมกันเกินไปแล้วค่ะ”
แล้วทั้งสองคนก็ทำการนัดวันจ่ายเงินและส่งมอบสูตรกัน
“ผมจะให้คนขับรถพาคุณไปส่งนะครับ” ซงเสิ่งอาสา เพราะจำได้ว่าร้านกาแฟแห่งนี้อยู่ไกลจากบ้านของเธอมาก
ลู่ฉิวเยว่หยุดคิดเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เธอจึงนั่งรถยนต์ไปพร้อมกับเขาและเข้าไปถึงในตัวเมืองในอีกสิบนาทีต่อมา
เธออำลาซงเสิ่งด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหมุนตัวเดินขึ้นบันไดบ้าน ยังไม่ทันเปิดประตูเข้าไป ก็ได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยดังออกมา ลู่ฉิวเยว่เลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ ตอนที่เธอออกไปก่อนหน้านี้ พ่อกับแม่ของเธอยังเศร้าอยู่เลย แล้วทำไมถึงหัวเราะออกมาได้แล้วล่ะ?
เมื่อเธอเปิดประตูเข้าไป ทุกคนในห้องนั่งเล่นก็หันมามอง รอยยิ้มยังคงไม่หายไปจากใบหน้าของพวกเขา
“มีข่าวดีอะไรกันเหรอคะ?” เธอถามยิ้ม ๆ
“มีข่าวจากโรงงานน่ะสิ หวังเซวียนเซวียนกำลังจะได้ย้ายเข้าไปอยู่เมืองหลวงแล้ว” แม่ของเธอยิ้มกว้างจนปากแทบฉีกถึงรูหู
ลู่ฉิวเยว่อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “เป็นข่าวดีจริง ๆ ค่ะ แบบนี้ต้องฉลองกันสักหน่อยแล้ว”
ทุกคนตอบรับอย่างเห็นด้วย
หลังจากไม่ได้ทำอาหารมาหลายวัน ในที่สุดลู่ฉิวเยว่ก็มีแรงบันดาลใจในการกลับเข้าครัวอีกครั้ง
หลังจากใช้น้ำพุวิญญาณผสมอาหารกินมาเป็นเวลานาน สุขภาพของบรรดาผู้อาวุโสในครอบครัวของลู่ฉิวเยว่ก็ดีขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ปีนี้แม่ของเธอยังไม่ป่วยเลย
เมื่อคิดได้ว่าพวกท่านดื่มน้ำพุวิญญาณมานานแล้ว ลู่ฉิวเยว่จึงจัดการต้มซุปข้าวโพดกระดูกหมูและแลกเปลี่ยนเห็ดหลินจือด้วยค่าความสุขจากระบบแล้วใส่ลงในซุป
ในไม่ช้า กลิ่นหอมของตัวน้ำแกงก็ลอยตลบอบอวลไปทั่วห้องนั่งเล่น หวังเซวียนเซวียนมองไปทางห้องครัวด้วยความกระตือรือร้น และเข้าไปช่วยจัดจานเป็นการเร่งด่วน
นับตั้งแต่ที่เขาต้องย้ายไปอยู่ในร้านอาหาร หวังเซวียนเซวียนก็ไม่ค่อยได้ทานอาหารฝีมือของลู่ฉิวเยว่สักเท่าไหร่ ตอนนี้เขาจึงรู้สึกอยากทานมันจริง ๆ
พ่อแม่ของลู่ฉิวเยว่ก็เข้ามาช่วยเป็นลูกมือ เพียงไม่นานอาหารก็พร้อมสำหรับทุกคนแล้ว ภายในห้องนั่งเล่นตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมหวน ทุกคนทานอาหารกันอย่างมีความสุข
…
วันต่อมา หวังเซวียนเซวียนเดินทางไปที่แผนกบุคคลประจำโรงงานเพื่อทำเรื่องย้ายโรงงาน
“ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!”
“เข้ามาได้” หลี่เฉียงตะโกน พอเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปทันทีเมื่อเห็นหน้าหวังเซวียนเซวียน
หวังเซวียนเซวียนเดินนำเอกสารไปวางไว้บนโต๊ะทำงานของอีกฝ่าย “ผู้จัดการครับ ผมมาทำเรื่องย้ายโรงงานครับ”
หลี่เฉียงหยิบเอกสารไปดู เงยหน้าขึ้นมามองหวังเซวียนเซวียนเล็กน้อย พลิกดูเอกสารพอเป็นพิธี ก่อนจะโยนกลับลงไปบนโต๊ะ “นายไม่เคยอ่านกฎการย้ายโรงงานหรือไง? นายต้องบรรจุเข้าทำงานไม่ต่ำกว่าสามปีก่อนถึงจะมีสิทธิ์ย้ายโรงงานได้ ตอนนี้นายยังย้ายไม่ได้ รออีกสองปีค่อยมาทำเรื่องใหม่เถอะ”
หวังเซวียนเซวียนขมวดคิ้ว “แต่เจ้านายบอกผมเองเลยนะครับ ผมได้รับคำยืนยันจากเลขาหวังแล้วด้วย”
หรือว่าทางโรงงานจะไม่ได้รับการแจ้งเตือน? ไม่น่าเป็นไปได้ หวังเซวียนเซวียนได้ยินเพื่อน ๆ ในโรงงานพูดเรื่องนี้เมื่อวานนี้แล้วด้วยซ้ำ
“นายก็แค่ใช้เส้นสายที่มีพี่สาวเป็นแฟนของเจ้านายไม่ใช่หรือไง? ภูมิใจนักใช่ไหม? แต่ยังไงกฎก็ต้องเป็นกฎ และกฎของเราระบุว่านายจะย้ายโรงงานได้ก็ต่อเมื่อทำงานครบสามปีเท่านั้น เรื่องนี้ฉันช่วยไม่ได้” หลี่เฉียงหัวเราะเยาะเย้ย
หวังเซวียนเซวียนมีใบหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาในทันใดตอนที่พูดว่า “ผมมีสิทธิ์ย้ายได้ครับ เพราะว่าผมสร้างชื่อเสียงให้กับโรงงาน นี่คือเรื่องที่มีเหตุผลแล้ว หรือว่าผู้จัดการอิจฉาผมครับ?” คน ๆ นี้ถือดียังไงมาพูดจาเหน็บแนมพี่สาวของเขา?
หลังจากพูดจบแล้ว เด็กหนุ่มก็หยิบเอกสารจากโต๊ะและเดินกลับออกมา
เมื่อเปิดประตูออกมาจากห้องทำงาน หวังเซวียนเซวียนก็ชนเข้ากับใครบางคนโดยไม่ได้ตั้งใจ
คนที่ถูกชนเซถอยหลังไปสองก้าว แต่เมื่อเห็นว่าคนที่ชนตนเองเป็นหวังเซวียนเซวียน เขาก็ยิ้มออกมาด้วยความสดใส “เซวียนเซวียนนี่เอง มาทำเรื่องย้ายโรงงานใช่ไหม?”
หวังเซวียนเซวียนพยักหน้า สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่ก็พยายามปั้นยิ้มตอบกลับไปเมื่อพบเห็นคนรู้จัก
ชายหนุ่มที่ถูกชนรู้ว่าอะไรเป็นอะไรทันทีเมื่อเห็นเอกสารในมือของหวังเซวียนเซวียน เขาเอื้อมมือมาตบไหล่เด็กหนุ่มด้วยความสงสาร
หลังจากมองรอบตัวพบว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ เขาก็กระซิบว่า “นายนี่มันดวงซวยจริง ๆ ตำแหน่งคนงานที่จะถูกย้ายเข้าไปประจำการอยู่ในเมืองหลวงน่ะ ผู้จัดการเขาตั้งใจจะให้ลูกชายตัวเองไป เพียงแต่ว่าลูกชายของเขาไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไร ทางโรงงานในเมืองหลวงก็เลยไม่รับตัว แต่พอตำแหน่งนี้ตกมาเป็นของนาย เขาก็คงเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมานั่นแหละ”
หวังเซวียนเซวียนขมวดคิ้ว ที่แท้ก็เป็นเหตุผลนี้นี่เอง
ผู้ชายคนนั้นตบไหล่หวังเซวียนเซวียน “ฟังฉันให้ดีนะ ถ้าปีนี้นายยังย้ายไม่ได้ ปีหน้านายก็ยังมีโอกาส นายมีฝีมือดีขนาดนี้ ยังไงโรงงานใหญ่ก็ต้องอยากได้ตัวอยู่แล้ว”
หวังเซวียนเซวียนพยักหน้าและยิ้มด้วยความตื้นตันใจ “ขอบคุณครับพี่ซู”
“พวกเราเป็นเพื่อนกันทั้งนั้น มาขอบคุณอะไรกัน” ชายหนุ่มโบกไม้โบกมือ พูดคุยกันอีกไม่กี่คำก็ขอตัวเดินจากไป
และด้วยเรื่องราวนี้เอง หวังเซวียนเซวียนจึงโกรธแค้นจนควันออกหู เขารีบกลับบ้านไปอย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้น?” เมื่อเห็นสีหน้าของบุตรชาย ป้าสะใภ้ก็ถามออกมาด้วยความเป็นห่วง ไม่มีอารมณ์รับประทานผลไม้ที่อยู่ในมืออีกแล้ว เธอวางมันกลับคืนลงไปบนจานที่อยู่บนโต๊ะ
หวังเซวียนเซวียนกัดฟันพูดว่า “ผู้จัดการแผนกบุคคลในโรงงานบอกว่าผมต้องทำงานให้ครบสามปีก่อนถึงจะมีสิทธิ์ย้ายโรงงานได้ เพราะว่าเขาอยากจะให้ตำแหน่งนี้ตกเป็นของลูกชายของเขาครับ”
“ทำแบบนั้นได้ยังไงกัน!” ป้าสะใภ้ก็โมโหเช่นกัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย
คุณลุงถึงกับพูดอะไรไม่ออก นี่เป็นโอกาสดีที่พวกเขาจะได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง ถ้าพลาดโอกาสนี้ไปก็อาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้วก็เป็นได้
ลู่ฉิวเยว่เดินเข้ามาในบ้านพอดี ป้าสะใภ้มีดวงตาเป็นประกาย รีบลุกขึ้นเดินเข้าไปหา
“มีอะไรกันเหรอคะ?” ลู่ฉิวเยว่จ้องมองทุกคนด้วยแววตาสงสัย ทำไมถึงได้หน้าเศร้ากันแบบนี้นะ?
หวังเซวียนเซวียนถอนหายใจและอธิบายต้นสายปลายเหตุออกมาอย่างชัดเจน
ป้าสะใภ้ถามด้วยความลำบากใจ “ฉิวเยว่ เรื่องนี้ขอให้ฉินซือช่วยหน่อยได้ไหม?” นี่คือเรื่องที่เกี่ยวพันกับอนาคตของลูกชายเธอ เธอไม่อยากจะยอมแพ้ง่าย ๆ
ลู่ฉิวเยว่ส่ายหน้า “เราอย่าไปรบกวนเขาเพราะเรื่องนี้เลยค่ะ”
ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูฉินซือ เขาอาจจะแก้ปัญหาได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน แต่เธอไม่อยากทำแบบนั้น เพราะถ้ามีคนอื่นรู้เรื่องนี้เข้า หวังเซวียนเซวียนอาจจะถูกผู้คนในโรงงานใหม่มองว่าเขาเป็นเด็กเส้นของฉินซือก็เป็นได้
เมื่ออธิบายความจริงให้คุณลุงและป้าสะใภ้รับทราบ พวกท่านต่างก็เข้าใจเป็นอย่างดี
“งั้นเราจะทำยังไงกันดี?” ป้าสะใภ้ถามด้วยความเป็นกังวล
ลู่ฉิวเยว่ยกมือนวดหว่างคิ้วตัวเอง “ตอนนี้หนูก็ยังไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น…” เธอหันไปหาหวังเซวียนเซวียน “ก่อนอื่น นายไปหาข้อมูลจากโรงงานมาซะ เราต้องรู้ข้อมูลเกี่ยวกับลูกชายของผู้จัดการ ไปสืบมาว่าเขาเป็นยังไง ตอนนี้ทำอะไร ทางครอบครัวเป็นยังไงบ้าง มันต้องมีหนทางบ้างแหละ”
“ได้เลยครับ” หวังเซวียนเซวียนพยักหน้าและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ตัวเขาค่อนข้างเป็นคนดังในโรงงาน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากในการสอบถามข้อมูลที่ต้องการ
เป็นเวลา 21:00 น. หวังเซวียนเซวียนก็เดินทางกลับมาถึงบ้านแล้ว