สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 185 รอบสุดท้าย
บทที่ 185 รอบสุดท้าย
ชีวิตในสถานีตำรวจไม่ง่ายเลย ม่อป๋อซงเป็นคนมีการศึกษาสูง จึงรู้สึกอับอายขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง และไม่อยากคิดเลยว่าคนอื่น ๆ จะมองตนเองอย่างไรเมื่อได้รู้ข่าวว่าเขาต้องถูกคุมขังอยู่ในสถานีตำรวจเช่นนี้
ม่อป๋อซงจึงยิ่งเกลียดลู่ฉิวเยว่กับฉินซือมากขึ้นกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่ปัญหาเรื่องนี้แก้ไขได้ง่ายดายมาก แต่ทั้งสองคนนั้นก็ไม่ยอมช่วยเหลือเขา ม่อป๋อซงจึงต้องเก็บงำความแค้นเอาไว้ รอคอยให้ถึงวันที่ตนเองจะได้รับการปล่อยตัวออกไป
รับรองว่าเขาจะไม่ปล่อยทั้งสองคนนั้นไปเด็ดขาด!
ในขณะที่ม่อป๋อซงกำลังใช้ชีวิตอยู่ด้วยบรรยากาศที่หดหู่ ธุรกิจร้านอาหารของลู่ฉิวเยว่ก็เจริญเติบโตอย่างสดใส ชีวิตของเธอยิ่งมีความสุขมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนในที่สุดการแข่งขันทำอาหารรอบสุดท้ายก็กำลังจะมาถึง สถานที่จัดการแข่งขันยังคงเป็นที่เดิม
เมื่อเดินเข้าไปในหอประชุม ลู่ฉิวเยว่ก็ถูกใครบางคนเดินชนหัวไหล่จากทางด้านหลัง เธอถึงกับเซไปเล็กน้อยก่อนจะยืนตั้งหลักได้ เมื่อหันมองกลับไปก็พบว่าเป็นเหลียงซิง
“ขอโทษที ผมไม่ทันได้มอง คุณคงไม่ได้หกล้มใช่ไหม?” ถึงปากจะพูดขอโทษ แต่ในแววตาของเหลียงซิงไม่มีความสำนึกเสียใจเลยสักนิด มิหนำซ้ำ แววตาของเขายังเต็มไปด้วยความเหยียดหยามอีกด้วย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเมื่อสักครู่นี้ เขาตั้งใจเดินชนเธออย่างแน่นอน
หญิงสาวหัวเราะตอบกลับไปอย่างไม่รู้สึกโกรธเลยสักนิด “หวังว่าตอนที่คุณเหลียงแพ้ คุณจะยังทำตัวเก่งแบบนี้ได้อยู่นะคะ”
พูดจบแล้วเธอก็เดินเชิดหน้าเดินเข้าไปในสถานที่แข่งขันอย่างสวย ๆ
ตอนนี้ลู่ฉิวเยว่มีสถานะเป็นรองประธานสมาคมนักทำอาหาร เธอมีสถานะเท่าเทียมกับเหลียงซิง เขารู้สึกโมโหเป็นอย่างยิ่ง แต่คำพูดของลู่ฉิวเยว่ยิ่งเป็นการเติมเชื้อเพลิงเข้าไปในกองไฟ เหลียงซิงต้องรักษาหน้าของตัวเองเอาไว้ เขาไม่สามารถทำตัวหยาบคายออกมาได้เด็ดขาด
ในการแข่งขันรอบนี้ ผู้เข้าแข่งขันทุกคนมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะทำอะไร ลู่ฉิวเยว่ใช้ความคิดอยู่เล็กน้อยก็ตัดสินใจจะทำเมนูที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรก และเมนูนั้นก็คือปลากะพงขาวนึ่ง นับเป็นเมนูที่เรียบง่ายที่สุดเมื่อเทียบกับสิ่งที่ผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ เลือกทำ เพราะทุกคนต่างก็เลือกทำเมนูที่แปลกประหลาดพิสดารและซับซ้อน ไม่มีใครกล้าทำอะไรง่าย ๆ แบบเธอ
แต่แน่นอนว่าปลากะพงขาวนึ่งของลู่ฉิวเยว่ย่อมไม่ธรรมดา
ปลากะพงขาวสดใหม่ทาด้วยน้ำซอสสูตรพิเศษ นำไปนึ่งด้วยไฟร้อนไม่กี่นาที ก่อนจะปรับระดับไฟลงมาจนเปลี่ยนเป็นการนึ่งอย่างช้า ๆ เพียงไม่นาน ปลากะพงขาวนึ่งของเธอก็นำลงจากเตาได้แล้ว
หลังจากเปิดฝาหม้อออก กลิ่นหอมก็ลอยไปเตะจมูกทุกคน ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายดังขึ้นจากรอบทิศทาง ทุกคนต่างก็รอคอยที่จะได้รับประทาน
หลังจากอาหารของผู้เข้าแข่งขันทุกคนพร้อมชิมแล้ว ทีมงานก็ปรากฏตัวขึ้นแบ่งอาหารในจานเป็นส่วนเล็ก ๆ และนำไปให้คนดูในหอประชุมได้รับประทาน
การนับคะแนนในรอบสุดท้ายเปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีการตัดสินด้วยคณะกรรมการเพียงไม่กี่คนอีกต่อไป แต่เพื่อคงไว้ซึ่งหลักการของความยุติธรรมและความโปร่งใส คะแนนทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับผู้ชม 100 คนในหอประชุม พวกเขาจะเป็นคนลงคะแนนว่าใครสมควรเป็นผู้ชนะ
ลู่ฉิวเยว่คว้าตำแหน่งอันดับหนึ่งได้โดยไม่ต้องสงสัย โดยทำคะแนนทิ้งห่างอันดับสองนับสิบคะแนน
เมื่อมีการประกาศผลออกมา สมาชิกจากสมาคมนักทำอาหารก็รีบวิ่งเข้าไปแสดงความยินดีกับลู่ฉิวเยว่
“คุณลู่ ยินดีด้วยนะครับ!”
“ยินดีด้วยนะครับ ท่านรองประธาน!”
…
ฝั่งของรองประธานสมาคมนักทำอาหารมีบรรยากาศที่สดใส ผู้คนไปห้อมล้อมเธอมากมาย ส่วนเหลียงซิงนั้นมีคนมาร่วมแสดงความยินดีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ความแตกต่างที่เกิดขึ้นทำให้เขาอับอายมากกว่าเดิม ชายหนุ่มหน้าบึ้ง สะบัดแขนเสื้อและเดินลงจากเวทีไปหน้าตาเฉย
แม้จะมีคนเข้ามาห้อมล้อมแสดงความยินดีมากมาย แต่ลู่ฉิวเยว่ก็ยังหาช่องว่างได้สำเร็จ เธอมุดตัวออกมาจากกลุ่มฝูงชนและบอกลาพวกเขาอย่างสุภาพ
บริเวณหน้าประตู ฉินซือมารอคอยอยู่นานแล้ว
“เป็นไงบ้าง?” ฉินซือช่วยเธอเปิดประตูรถ แต่เขาก็มีคำตอบในใจอยู่แล้ว
ลู่ฉิวเยว่มีฝีมือทำอาหารดีมาก เธอชนะตำแหน่งอันดับหนึ่งมาทุกรอบ แล้วถ้าครั้งนี้ไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรขึ้น เธอก็จะต้องได้ตำแหน่งอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน
หญิงสาวพยักหน้า “ก็ไม่เลวค่ะ”
หลังจากพูดจบแล้ว เธอก็หันหน้าไปถามหวังเซวียนเซวียนที่นั่งอยู่เบาะหลังด้วยความกระตือรือร้น “เซวียนเซวียนล่ะ เป็นยังไงบ้าง?”
หวังเซวียนเซวียนยิ้มออกมาด้วยความเขินอาย ดวงตาเป็นประกายด้วยความประหลาดใจ “ผมชนะครับ”
“เซวียนเซวียนของพวกเรายอดเยี่ยมจริง ๆ ด้วย!” ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ รู้สึกมีความสุขมากกว่าที่ตัวเองชนะเสียอีก
มุมปากของฉินซือกระตุกเป็นรอยยิ้ม “พวกเราชนะกันทั้งสองคนขนาดนี้ เลี้ยงฉลองกันสักหน่อยดีไหม?”
หญิงสาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“อีกไม่นานก็จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว พ่อแม่คุณจะมาเมื่อไหร่เหรอ?” ฉินซือนึกขึ้นมาได้ว่าพ่อแม่ของลู่ฉิวเยว่ยังคงอยู่ในเมืองหัวอ้าย เขาจึงหันไปมองหน้าหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านข้างอย่างต้องการคำตอบ
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หวังเซวียนเซวียนก็พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นทันที “พ่อแม่ผมก็ยังไม่เคยมาเมืองหลวงเลยเหมือนกัน ผมน่าจะให้พวกท่านมาเที่ยวด้วยนะครับ!”
พ่อแม่ของเขาทำงานหนักมาตลอดหลายปี ตอนนี้เขาเริ่มมีเงินเก็บแล้ว หวังเซวียนเซวียนจึงอยากจะตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ด้วยการซื้อเสื้อผ้าดี ๆ ให้และซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงร่างกายให้รับประทาน
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย ตอนนี้เธอยังไม่ได้ซื้อบ้านเลย ถ้าพ่อแม่ของเธอมา พวกท่านก็ต้องอยู่ที่โรงแรมสินะ? แต่ก็คงลำบากกันไม่น้อย มีอะไรก็ไม่สู้มีบ้านของตัวเอง
และถ้าจะให้พ่อแม่ของเธออยู่ในบ้านของฉินซือก็คงดูไม่เหมาะสม ถึงแม้ว่าพ่อแม่ของชายหนุ่มจะไม่ได้ว่าอะไร แต่พวกท่านก็อาจจะรู้สึกว่าพ่อแม่ของเธอมาเอาเปรียบลูกชายของพวกเขาก็เป็นได้
“พวกเรากลับไปฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์กันที่บ้านดีไหม?” ลู่ฉิวเยว่หันกลับไปมองหน้าหวังเซวียนเซวียนอย่างขอความคิดเห็น เธอหมายถึงกลับไปที่เมืองหัวอ้าย
พวกเขาไม่ได้กลับไปที่นั่นนานแล้ว เธอเองก็อยากจะกลับไปตรวจสอบโรงงานผลิตเมล็ดแตงโมทอดและตรวจดูบัญชีด้วยเช่นกัน
เมื่อถูกลู่ฉิวเยว่ถาม หวังเซวียนเซวียนก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ดีเลยครับ ถือว่าพวกเราได้กลับไปพักผ่อนในช่วงวันหยุดด้วย ผมจะได้มีเวลาพาพ่อแม่ไปพักผ่อนสักหน่อย”
“งั้นก็เอาตามนี้นะ!” ลู่ฉิวเยว่ตัดสินใจเด็ดขาด
“คุณจะกลับเมื่อไหร่? เดี๋ยวผมไปส่ง” ฉินซือหันหน้ากลับมามองตาลู่ฉิวเยว่
ลู่ฉิวเยว่ส่ายหน้า “ตอนนี้ฉันยังไม่ได้คิดเลยค่ะ”
ลู่ฉิวเยว่ชนะการแข่งขันการทำอาหารถึงสามรอบซ้อน และนี่เป็นการแข่งขันทำอาหารที่มีชื่อเสียงมาก ร้านอาหารของเธอจึงโด่งดังมากกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว มีลูกค้าเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนไม่น่าเชื่อ เมื่อเห็นจำนวนลูกค้าที่เข้าร้านในแต่ละวัน ลู่ฉิวเยว่ก็อดรู้สึกเครียดขึ้นมาไม่ได้
เมื่อเห็นว่าพนักงานในร้านช่วงนี้ทำงานหนักมาก เธอจึงจัดเตรียมของขวัญสำหรับเทศกาลไหว้พระจันทร์เอาไว้ให้แก่พนักงานทุกคน โดยของขวัญแต่ละชนิดต่างก็แยกไปตามเพศของแต่ละคน บางคนก็ได้ผ้าพันคอราคาแพงคุณภาพดี บางคนก็ได้กล่องขนมหวานที่ดูหรูหรา
โดยเฉพาะหูอี้กับถังเยว่ที่อุทิศตัวทำงานหนักให้กับร้านของเธอ ทั้งสองคนยอมทำงานล่วงเวลาหลายครั้งโดยไม่รับเงินเพิ่ม เธอจึงสั่งทำกระเป๋าพิเศษให้พวกเธอ หูอี้ได้รับกระเป๋าหนังที่จัดทำอย่างประณีต ส่วนถังเยว่ได้รับกระเป๋าทหารที่ใช้งานได้อเนกประสงค์
เมื่อหูอี้เห็นกระเป๋าหนังใบเล็กใบนั้น ดวงตาของเธอก็เป็นประกายระยิบระยับ ใครดูก็รู้ว่าเธอชอบมันมาก หญิงสาวจ้องมองลู่ฉิวเยว่ด้วยความตื้นตันใจ “ขอบคุณมากนะคะ คุณลู่”
“ขอบคุณมากครับ/ค่ะ คุณลู่” พนักงานทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าขอบคุณออกมาจากใจจริง เมื่อเห็นกระเป๋าที่แสนสวยหรูในมือของหูอี้ พวกเขาก็เกิดความอิจฉาขึ้นมาและตั้งมั่นว่าจะต้องทำงานหนักมากกว่าเดิมให้ได้
ลู่ฉิวเยว่ไอออกมาเล็กน้อยด้วยความเขินอาย “แหม! แค่เธอชอบก็พอแล้ว”
ในตอนบ่าย ฉินซือแวะมารับเธอที่ร้านเพื่อไปรับประทานอาหารด้วยกันอีกครั้ง
“มีอะไรเหรอคะ?”
เมื่อเห็นสีหน้าของเขาไม่ค่อยสู้ดี ลู่ฉิวเยว่จึงใช้ตะเกียบคีบไข่ใส่ชามข้าวให้เขาและถามด้วยความเป็นกังวล
ฉินซือวางตะเกียบลงและถอนหายใจเล็กน้อย “ที่โรงงานเกิดปัญหาน่ะสิ ผมคงกลับไปกับคุณไม่ได้”
ฉินซือรู้สึกหงุดหงิดจริง ๆ เมื่อนึกว่าตนเองกำลังจะต้องอยู่ห่างจากลู่ฉิวเยว่เป็นเวลาหลายวัน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาได้พบเจอเธอในทุก ๆ วันจนเกิดเป็นความคุ้นชินขึ้นมา แล้ว ถ้าเขาจะไม่ได้เห็นหน้าลู่ฉิวเยว่ไปอีกหลายวัน ฉินซือก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างยิ่งยวด
“ปัญหาอะไรเหรอคะ? คุณพอจะรู้ต้นเหตุบ้างไหม?” ลู่ฉิวเยว่วางตะเกียบลงและขมวดคิ้ว
ฉินซือมีสีหน้าเข้มขรึมขึ้นมาในทันใด “ผมพอจะรู้ต้นเหตุ มันอาจจะเป็นฝีมือของม่อป๋อซงด้วยน่ะ”