สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 183 ลู่ฉิวเยว่อยากซื้อบ้าน
บทที่ 183 ลู่ฉิวเยว่อยากซื้อบ้าน
หลังจากวางสายโทรศัพท์ ลู่ฉิวเยว่ก็รู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง เธอรู้สึกหนาวเย็นจนอดขนลุกไม่ได้ จึงต้องรีบเดินไปปิดหน้าต่าง
ตอนนี้เป็นเดือนพฤศจิกายนแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงวันปีใหม่ ลู่ฉิวเยว่รู้สึกอยากซื้อบ้านขึ้นมาในทันใด เธออยากพาพ่อแม่มาเฉลิมฉลองวันปีใหม่ด้วยกัน
เธอกำลังมีหน้าที่การงานที่มั่นคง จึงคิดถึงเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง สุดท้ายลู่ฉิวเยว่ก็เริ่มส่งคนออกไปสืบราคาบ้าน
บ้านหลังเล็ก ๆ ในเมืองหลวงมีราคาอยู่ที่ 60,000 – 70,000 หยวน ซึ่งเป็นราคาที่พอเพียงต่อเงินเก็บในบัญชีของลู่ฉิวเยว่พอดี
อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้อยากได้บ้านหลังเล็ก ๆ เหล่านั้น ลู่ฉิวเยว่อยากได้บ้านที่มีขนาดใหญ่โตสักหน่อย เพราะถึงแม้มันจะมีราคาแพงมากกว่า แต่ก็อยู่อาศัยได้อย่างสะดวกสบายมากกว่าเช่นกัน
ในฐานะคนที่ได้กลับมาเกิดใหม่ ลู่ฉิวเยว่ย่อมรู้ดีว่าราคาบ้านในอนาคตจะพุ่งสูงขนาดไหน สิ่งที่เธออยากได้คือบ้านที่มีอาณาเขตกว้างขวาง ยิ่งมีพื้นที่ใช้สอยมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น
แต่ราคาก็แพงมากขึ้นเช่นกัน เธอลองสืบดูราคาบ้านหลังใหญ่ในเมืองหลวงดูแล้ว พบว่าพวกมันมีราคาไม่ต่ำกว่า 300,000 – 400,000 หยวนต่อหนึ่งหลัง
ลู่ฉิวเยว่มีเงินอยู่ในบัญชีประมาณ 100,000 หยวนเท่านั้น แล้วจะพอได้อย่างไร
หรือว่าจะลองกู้ธนาคาร?
ลู่ฉิวเยว่เอาแต่คิดถึงเรื่องนี้ แม้แต่ตอนรับประทานอาหารในเที่ยงวันต่อมา ฉินซือเห็นแฟนของตนเองนั่งอ้าปากค้างอยู่นานสองนาน เขาจึงเรียกเธอเบา ๆ แต่ไม่มีการตอบรับกลับมาเลย
สุดท้ายหลังจากสอบถามและคาดคั้นอยู่พักใหญ่ ฉินซือก็ได้ทราบว่าเธอกำลังคิดเกี่ยวกับการกู้เงิน
“คุณจะกู้เงินมาทำอะไร?” ฉินซือถามด้วยความประหลาดใจ
ลู่ฉิวเยว่กลับมาได้สติอีกครั้ง เธอผลักใบหน้าของเขาออกไปและถอนหายใจ “นี่ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว ฉันอยากซื้อบ้านสักหลังเอาไว้อยู่กับพ่อแม่ที่นี่ แต่ฉันมีเงินเก็บไม่พอ ก็เลยว่าจะกู้ธนาคารดู ฉันกำลังคิดอยู่ว่าธนาคารไหนให้ข้อเสนอดีที่สุดน่ะ”
“ผมมีบ้านตั้งหลายหลัง ผมให้คุณสักหลังก็ได้” ฉินซือพูดออกมาดื้อ ๆ เมื่อเห็นว่าลู่ฉิวเยว่กำลังจะส่ายศีรษะ เขาก็รีบเปลี่ยนคำพูด “งั้นผมจะให้คุณเช่า คุณจ่ายค่าเช่ามาก็ได้ อีกอย่าง บ้านผมปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ ก็ไม่มีประโยชน์”
ลู่ฉิวเยว่หยุดชะงักใช้ความคิดเล็กน้อย ก่อนจะส่ายศีรษะ “ฉันขอคิดดูก่อนก็แล้วกัน”
ถึงปีนี้เธอจะไม่ได้ซื้อบ้าน แต่ปีหน้าเธอก็ยังซื้อบ้านได้อยู่ดี แต่เธอจะมาฉลองปีใหม่พร้อมกับครอบครัวที่บ้านของเขาได้จริง ๆ เหรอ?
ถ้าพ่อแม่ของเธอต้องมาอยู่ในบ้านของฉินซือ พ่อแม่ของเธออาจจะรู้สึกว่าเธอต้องพึ่งพาเขามากเกินไปและพวกท่านอาจจะลำบากใจขึ้นมาก็เป็นได้ มีบ้านเป็นของตัวเองดีที่สุดอยู่แล้ว
หรือว่าเธอจะซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ก่อนดีนะ?
ลู่ฉิวเยว่ขมวดคิ้ว ก่อนจะสลัดความคิดทั้งหมดออกจากสมอง การซื้อบ้านหลังเล็กอาจจะไม่มีปัญหาในตอนแรกก็จริง แต่มันจะมีปัญหาในตอนขายนี่สิ เพราะบ้านหลังเล็กเป็นบ้านที่ขายได้ยากมาก
“ของของผมก็เหมือนของของคุณ บ้านของผมทุกหลังก็เหมือนบ้านของคุณนั่นแหละ” ฉินซือเลื่อนมือมาจับมือเธอใต้โต๊ะ “ผมคิดอยู่ว่าการซื้อบ้านใหม่มันมีปัญหามากเกินไป ถ้ากลัวว่าพ่อแม่ของคุณจะเกรงใจผม งั้นเมื่อพวกเราแต่งงานกันแล้ว คุณกับผมก็ย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ ส่วนพ่อแม่ของคุณก็ให้พวกท่านอยู่บ้านหลังเดิมต่อไป”
ทำไมถึงมาพูดเรื่องการแต่งงานอีกแล้วเนี่ย?
ลู่ฉิวเยว่พูดอะไรไม่ออก เธอยอมรับว่าตนเองชอบฉินซือ ไม่งั้นเธอคงอยู่กับเขาไม่ได้นานขนาดนี้ แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องการแต่งงาน นั่นคือเรื่องในอนาคตอีกยาวไกล เธอยังไม่อยากคิดถึงมันในตอนนี้
“ฉินซือ ฉันไม่อยากรบกวนคุณ และฉันก็ไม่อยากเอาเปรียบคุณ ฉันอยากให้เรามีความเท่าเทียมกัน” ลู่ฉิวเยว่จ้องมองเขาด้วยแววตาเคร่งขรึมราวกับต้องการคำสัญญาอะไรบางอย่างจากเขา
หัวใจของฉินซือสั่นไหว หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่นและอ่อนหวาน
เขาจับมือเธอแน่นมากกว่าเดิม “ได้สิ ผมจะเชื่อฟังคุณ”
ลู่ฉิวเยว่แข็งแกร่งและรักอิสระ เธอไม่อยากได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใด พูดตามตรง ฉินซือรู้สึกหงุดหงิดกับนิสัยนี้ของเธออยู่ไม่น้อย แต่เธอก็คือความสดใสของชีวิตเขา เธอไม่ต่างไปจากดอกไม้งามในคืนฤดูหนาว ซึ่งเป็นสิ่งที่เขารักมากที่สุด
ในเวลาเดียวกันนี้ ขณะที่ชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุข ชีวิตของม่อป๋อซงก็กำลังดำดิ่งลงเหว
ไม่ว่าเขาจะไปขอร้องใครให้ช่วยเหลือ ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยวด้วยเลย บางคนถึงกับไล่เขาออกมาอย่างไม่ไว้หน้าเลยสักนิด
เมื่อมองภาพถ่ายวันแต่งงานของคู่ชีวิตที่อยู่ในห้องนั่งเล่น ม่อป๋อซงก็ยิ่งมีสีหน้าโกรธแค้นมากกว่าเดิม เขาตรงไปที่สำนักงานกฎหมายเพื่อเขียนเอกสารยื่นเรื่องหย่า จากนั้นเดินทางไปที่บ้านพักของฉินซือ
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ฉินซือเพิ่งจะกลับมาถึงบ้าน ยังไม่ทันได้ถอดเสื้อคลุม เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ชายหนุ่มเดินไปหมุนลูกบิดเปิดประตู ก่อนจะพบม่อป๋อซงยืนอยู่ข้างนอก สีหน้าของเขาเย็นชาขึ้นมาในทันใด “คุณมาทำอะไรที่นี่?”
ม่อป๋อซงชูเอกสารหย่าให้ดูและข่มขู่เขาว่า “ฉินซือ ไปบอกให้ลู่ฉิวเยว่ยอมรับผิดเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะหย่ากับฉินเซียว!”
“แล้วถ้าลู่ฉิวเยว่ไม่เห็นด้วยล่ะ?” ฉินซือจ้องมองกลับมาด้วยสายตาเย็นชา
ม่อป๋อซงกลืนน้ำลายและพูดเสียงแห้ง “ถ้าเธอไม่เห็นด้วย ถ้างั้น…ถ้างั้นนายก็ต้องรับผิดชอบ ผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟนนาย เธอคงไม่ยอมปล่อยให้นายโดนตำรวจจับหรอกมั้ง?”
ฉินซือหัวเราะในลำคออย่างเหยียดหยาม ใบหน้าเคร่งเครียดจนน่ากลัว “ม่อป๋อซง คุณนี่มันเป็นพวกขี้ขลาดตาขาวจริง ๆ!”
หลังจากพูดจบแล้ว เขาก็ปิดประตูเสียงดัง ทำให้ม่อป๋อซงรู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง
…
“บ้าเอ๊ย!” ม่อป๋อซงเดินมาเตะประตูรั้วบ้านของตนเองด้วยความโมโห
คนอื่นบังคับให้เขาต้องทำแบบนี้เองนะ!
ม่อป๋อซงคิดหย่าร้างกับฉินเซียว แต่ในไม่ช้า เขาก็ได้รับทราบข่าวที่ทำให้แผนการทั้งหมดต้องพังทลายลงไป
ฉินเซียวกำลังตั้งท้อง
เมื่อตำรวจมาแจ้งข่าวนี้ ชายหนุ่มก็ยืนตะลึง กฎหมายการสมรสระบุเอาไว้ว่าสามีภรรยาไม่สามารถทำเรื่องหย่าขาดกันได้ในระหว่างที่ฝ่ายหญิงตั้งครรภ์ แล้วงานของเขาจะทำอย่างไรดี?
คุณตำรวจมีสีหน้าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง นี่คือครั้งแรกที่เขามาแจ้งข่าวว่าภรรยาท้องและคนที่เป็นสามีแสดงสีหน้าเศร้าโศกเสียใจออกมาถึงขนาดนี้
“รับทราบครับ ถือว่าผมรับรู้แล้วเถอะ” ม่อป๋อซงโบกไม้โบกมือโดยไม่ได้คิดอะไรอีก
ม่อป๋อซงปิดประตูบ้าน เขานึกถึงพ่อแม่ของภรรยาขึ้นมาได้ในทันใด พวกเขาคงไม่ใจจืดใจดำปล่อยให้ลูกสาวต้องถูกขังอยู่ในสถานีตำรวจตลอดไปหรอกใช่ไหม?
ชายหนุ่มกัดฟัน นำเอกสารยืนยันการตั้งครรภ์ที่อยู่ในมือเดินทางไปยังบ้านพักของพ่อแม่ฉินเซียว
“ป๋อซงมาที่นี่ทำไมอีก?” คุณแม่ฉินมีสีหน้าเย็นชาเป็นอย่างยิ่งเมื่อเห็นลูกเขยมายืนอยู่หน้าประตู รอยยิ้มอบอุ่นที่เคยมีให้ก่อนหน้านี้สลายหายไปหมดสิ้นแล้ว
ม่อป๋อซงสังเกตเห็นอย่างชัดเจน แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและเดินเข้าไปในบ้านหน้าตาเฉย
“แม่ครับ ฉินเซียวกำลังท้อง”
“ว่าไงนะ?!” คุณแม่ฉินตกตะลึงกับข่าวที่คาดไม่ถึง จึงไม่รู้เลยว่าควรจะตอบรับอย่างไรดี
ถ้าเป็นในอดีต หากเธอได้รู้ข่าวนี้ เธอคงจะมีความสุขอย่างยิ่ง แต่ในตอนนี้ เมื่อนึกถึงพฤติกรรมของม่อป๋อซงเมื่อไม่กี่วันก่อน คุณแม่ฉินก็รู้ว่าเรื่องนี้มีปัญหาแล้ว เธอหันไปมองหน้าคุณพ่อฉินผู้เป็นสามีโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเขาเองก็มีสีหน้าที่ไม่สู้ดีเช่นกัน
ม่อป๋อซงวางเอกสารยืนยันการตั้งครรภ์ลงบนโต๊ะก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเป็นกังวล “พ่อครับ แม่ครับ เซียวเซียวยังเด็กและหลงผิดไปบ้าง ห้องขังในสถานีตำรวจมีสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีอะไรเลย พวกเราต้องหาทางช่วยเธอออกมานะครับ”
คุณแม่ฉินยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ “ถ้าเธอเป็นห่วงลูกสาวฉันขนาดนั้น ทำไมไม่ยอมรับผิดแทนไปเลยล่ะ พวกเธอรวมหัวกันเองนี่ เด็กในท้องก็เป็นลูกของเธอ เธอไม่อยากรับผิดชอบอะไรบ้างเลยหรือไง?”
ม่อป๋อซงถึงกับตกตะลึงพูดอะไรไม่ออก เขาหันกลับไปมองหน้าคุณพ่อฉินโดยไม่รู้ตัว หวังว่าชายวัยกลางคนจะช่วยเหลือเขาเพื่อเห็นแก่หน้าหลานในอนาคต แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคุณพ่อฉินจะมองตอบกลับมาด้วยความเย็นชา ในแววตาถึงกับมีความเหยียดหยามอยู่หลายส่วน
เมื่อพบเจอกับทางตันครั้งแล้วครั้งเล่า ม่อป๋อซงก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้อีกต่อไป เขาระเบิดเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้นว่า “พวกคุณใจดำกันเกินไปแล้ว! ฉินเซียวเป็นลูกสาวของพวกคุณนะ! ผมนี่มันดวงซวยจริง ๆ ที่ต้องมาอยู่ในครอบครัวห่วย ๆ แบบนี้!”
เจ้านายของเขายื่นคำขาดออกมาแล้วว่าถ้ายังจัดการปัญหานี้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องกลับไปทำงานอีกในอนาคต