สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 182 จ้างพนักงานเก็บเงิน
บทที่ 182 จ้างพนักงานเก็บเงิน
ฉินซือขับไล่ม่อป๋อซงออกไปในที่สุด
ในที่สุดพ่อแม่ของฉินซือก็ได้รับเชิญให้เข้าไปรับประทานอาหารภายในร้าน
ตลอดสองวันที่ผ่านมา พวกท่านได้รับประทานเพียงอาหารแห้งและติ่มซำบนรถไฟ เมื่อได้รับคำเชิญจากลู่ฉิวเยว่ ทั้งสองท่านจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่ไม่ได้เข้าครัวทำอาหารมาสองวัน ลู่ฉิวเยว่ก็ถือโอกาสนี้เข้าครัวไปทำอาหารด้วยตนเอง โดยบอกว่าอยากจะให้พ่อแม่ของฉินซือได้รับประทานฝีมือของเธอมากที่สุด
เมื่อได้รับทราบจากฉินซือว่าพ่อแม่ของเขาชอบรับประทานซุปหัวสิงโต ลู่ฉิวเยว่ก็ได้จัดการทำเมนูซุปหัวสิงโตที่ระบบเพิ่งทำการพัฒนาสูตรเมื่อไม่กี่วันก่อน
เมนูซุปหัวสิงโตก็คือการนำเนื้อหมูมาปั้นเป็นก้อนกลมแล้วนำไปทอด จากนั้นใส่ในน้ำซุป
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ชามใส่ซุปหัวสิงโตก็มาตั้งอยู่กลางโต๊ะอาหารแล้ว
ก้อนเนื้อหมูทอดอุดมไปด้วยรสชาติและชุ่มฉ่ำด้วยน้ำซุป เพียงสูดดมกลิ่นก็ทำให้ผู้คนน้ำลายสอแล้ว
“ซุปหัวสิงโตชามนี้อร่อยมาก ฝีมือการทำอาหารของลู่ฉิวเยว่พัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ!” คุณแม่ฉินลองซดน้ำซุปและอดชื่นชมออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้
เมื่อเห็นว่าคุณแม่ฉินชอบรับประทาน ลู่ฉิวเยว่ก็ยิ่งมีความสุขมากกว่าเดิม ในดวงตาเป็นประกายด้วยรอยยิ้ม
ฉินซือกลายเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุด เขาจ้องมองบรรยากาศที่อบอุ่นระหว่างพ่อแม่ของตนเองและลู่ฉิวเยว่ รอยยิ้มอันอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ปกติจะมีแต่ความเรียบเฉยเย็นชาของเขา
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ พวกเขาก็นั่งคุยกันอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน
วันต่อมา มีผู้เข้ามาสมัครทำงานตำแหน่งพนักงานเก็บเงินประมาณ 7 – 8 คน
ลู่ฉิวเยว่เป็นคนสอบสัมภาษณ์ผู้เข้าสมัครทุกคนด้วยตนเอง และเธอจะแจกข้อสอบขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับการทำงานด้านบัญชีให้ผู้สมัครทุกคนได้ลองทำ
“ครั้งนี้ร้านของเราจะรับพนักงานเก็บเงินแค่สามคนเท่านั้น ใครก็ตามที่ทำข้อสอบได้ถูกต้องและเร็วที่สุดเป็นสามอันดับแรก ก็จะได้งานตำแหน่งนี้ไปทำ เรามีเวลาให้ทำข้อสอบสิบนาทีค่ะ”
สิ้นเสียงคำพูดของลู่ฉิวเยว่ กลุ่มคนก็สูดหายใจลึก จ้องมองกระดาษข้อสอบที่อยู่ในมือและเดินไปหาที่นั่งเริ่มต้นทำข้อสอบ
ในที่สุด ลู่ฉิวเยว่ก็ได้พนักงานเก็บเงินมาสามคน เป็นชายวัยกลางคนผู้มีนามว่าเฉินเสิ้งกวงและหญิงสาวอีกสองคนที่ชื่อว่าหูอี้กับไฉหลิงหลิง
“พวกคุณเริ่มงานได้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เลยนะคะ ในช่วงฝึกงานจะทำงานแค่ครึ่งวันเท่านั้น คุณจะได้รับเงินเดือนวันละ 1 หยวน 50 เหมา แต่ถ้าผ่านช่วงการฝึกงานได้สำเร็จ พวกคุณก็จะได้บรรจุเป็นพนักงานประจำและได้รับเงินเดือน เดือนละ 90 หยวนค่ะ” ลู่ฉิวเยว่อธิบายกับทุกคน
เมื่อทุกคนเข้าใจดีแล้ว พวกเขาก็แยกย้ายกลับบ้าน
…
วันต่อมา ในร้านอาหาร
หวังเซวียนเซวียนเดินเข้ามาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ หันมองรอบกาย เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ เขาจึงถามด้วยความสงสัย “พนักงานเก็บเงินพวกนั้นเป็นไงบ้างครับ?”
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ “เดี๋ยวบ่ายวันพรุ่งนี้นายก็รู้”
หวังเซวียนเซวียนไม่มีทางเลือก นอกจากสะกดความสงสัยในใจเอาไว้
บ่ายวันต่อมา ทั้งสามคนที่ผ่านการสอบในรอบแรกก็ถูกเรียกตัวมาที่ร้านอาหารอีกครั้ง ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าทักทายพวกเขาพอเป็นพิธี ก่อนจะประกาศออกมาว่า “คนเดียวที่ผ่านการทดสอบในรอบนี้ก็คือหูอี้”
“หา?” ไฉหลิงหลิงขมวดคิ้วและถามว่า “ทำไมถึงเป็นหูอี้คะ? ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าเธอทำได้ไม่ดีเท่าฉันหรือคุณเฉินเลย”
เธอถามด้วยความรำคาญใจ เห็นได้ชัดว่าเจ้าของร้านไม่ชอบหน้าเธอ เพราะในวันนั้นเธอเป็นคนส่งกระดาษข้อสอบเป็นคนแรก หรือต่อให้เฉินเสิ้งกวงเป็นคนที่ถูกเลือก เธอก็จะไม่พูดอะไรเลยสักคำ เพราะถึงยังไงเขาก็มีประสบการณ์มากกว่าเธอ แต่ทำไมถึงต้องเป็นหูอี้ด้วย?
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะหยิบเงิน 100 หยวนออกมาจากกระเป๋า “หูอี้เป็นคนเอาเงินก้อนนี้มาให้ฉันค่ะ”
คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจความหมายของลู่ฉิวเยว่ แต่พนักงานเก็บเงินทั้งสามคนจะไม่เข้าใจได้อย่างไร
ในช่วงระหว่างการฝึกงานเมื่อวานนี้ พวกเขาพบเงิน 100 หยวนตกอยู่ในซอกลิ้นชักเก็บเงิน เฉินเสิ้งกวงกับไฉหลิงหลิงคิดว่าลู่ฉิวเยว่คงลืมทิ้งเอาไว้โดยไม่รู้ตัว พวกเขาก็เลยแอบเอากลับบ้านโดยไม่บอกใคร
แต่คิดไม่ถึงเลยว่านี่คืออีกหนึ่งบททดสอบจากลู่ฉิวเยว่!
เฉินเสิ้งกวงกับไฉหลิงหลิงรู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง ไม่กล้าเงยหน้ามองตาใครอีกแล้ว สุดท้ายก็ต้องคืนเงินทั้งหมดให้แก่ลู่ฉิวเยว่และเดินออกไปด้วยความหมดหวัง
หวังเซวียนเซวียนยืนตกตะลึง ที่แท้วิธีการทดสอบของพี่สาวเขาก็เป็นแบบนี้เอง ทำไมเขาถึงคิดไม่ถึงเลยนะ?
“เธอเคยทำงานที่ไหนมาบ้าง เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ” ลู่ฉิวเยว่ยิ้มและจ้องมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า
หูอี้ตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อย เธอตอบคำถามโดยไม่รู้ตัวว่า “ฉันเคยทำงานอยู่ในร้านขายยาเล็ก ๆ มาก่อนค่ะ นี่คืองานแรกหลังจากฉันเรียนจบ ฉันมาสมัครงานร้านของคุณก็เพราะว่าร้านขายยาที่ฉันทำงานอยู่ปิดตัวไปเมื่อเดือนที่แล้วน่ะค่ะ”
“ระยะการฝึกงานของเธอคือหนึ่งเดือน เธอจะได้เงินเดือน 80 หยวน แต่ไม่มีอาหารและที่พักให้นะ เธอยอมรับได้ไหม?” ลู่ฉิวเยว่ถามพร้อมกับตบไหล่หูอี้และส่งยิ้มให้
หูอี้พยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “รับได้ค่ะ รับได้!”
“งั้นก็แสดงความยินดีด้วยนะ เธอได้กลายเป็นสมาชิกใหม่ของร้านเราแล้ว!”
คำพูดของลู่ฉิวเยว่ทำให้หูอี้ตื่นเต้นและประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เธอแทบไม่อยากเชื่อหูของตนเอง
ในจำนวนผู้สมัครทั้งสามคน เธอเป็นคนที่มีประสบการณ์น้อยที่สุด เธอคิดเงินได้ไม่เร็วเท่าอีกสองคน แต่เธอไม่คิดเลยว่าตัวเองจะกลายเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด!
แถมนี่ยังเป็นงานที่มีเงินเดือน 90 หยวน! เธอจะไปหางานที่มีเงินเดือนสูงเท่านี้ได้จากที่ไหนอีก?
“ขอบคุณมากเลยค่ะ คุณลู่ ฉันจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอนค่ะ!” หูอี้ก้มศีรษะลงทำความเคารพเธอ
ลู่ฉิวเยว่สะดุ้งโหยง รีบยื่นมือออกไปบอกให้เธอเงยหน้าขึ้น “ไม่ต้องหรอก ถ้าเธออยากขอบคุณฉัน ขอแค่เธอตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดก็พอแล้ว”
ในไม่ช้า หูอี้ก็ได้มาทำงานในร้านอาหาร เธอทำงานด้วยความมุ่งมั่น ทำบัญชีอย่างละเอียดรอบคอบ
เมื่อมีคนคอยตรวจสอบบัญชีให้ ลู่ฉิวเยว่ก็ทำงานได้สะดวกมากขึ้น เธอได้มีเวลาคอยเข้าไปให้คำแนะนำพ่อครัวในห้องครัว เพื่อพัฒนาฝีมือการทำอาหารของพวกเขาต่อไป
“ยังทำบัญชีไม่เสร็จอีกเหรอ อี้อี้?” พนักงานในห้องครัวทุกคนกลับบ้านกันไปหมดแล้ว หูอี้ยังคงถือปากกานั่งทำบัญชีอยู่ที่เคาน์เตอร์ ลู่ฉิวเยว่เดินมาเห็นพอดีจึงเข้าไปตบไหล่ถาม
หูอี้ส่ายหน้าตอบว่า “เดี๋ยวทำหน้านี้เสร็จก็กลับแล้วค่ะ”
ทำงานหนักจริง ๆ เลยนะ
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ขอบคุณที่ทำงานหนักนะ” หลังจากนั้น เธอก็เดินกลับเข้าไปทำอาหารในห้องครัว เธอไม่ได้ฝึกทำอาหารพัฒนาฝีมือตัวเองมาพักใหญ่แล้ว อาจจะมีอาการสนิมเกาะก็เป็นได้ ในช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมา ลู่ฉิวเยว่จึงมักจะหาโอกาสเข้าครัวทำอาหารอยู่เสมอ
ตอนที่เธอทำอาหารเสร็จและเดินออกมาจากห้องครัว หูอี้ก็กำลังเตรียมตัวกลับบ้านพอดี เธอกวักมือเรียกหูอี้ “อี้อี้ ฉันทำอาหารมาให้ เธอกินก่อนแล้วค่อยไปแล้วกัน”
หูอี้หันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงเรียกและโบกมือปฏิเสธด้วยความเกรงใจ
ลู่ฉิวเยว่ดูออกว่าเด็กคนนี้เป็นคนขี้เกรงใจ ดังนั้นเธอจึงยิ้มออกไปอย่างช่วยไม่ได้ “ฉันแค่เลี้ยงอาหารเธอที่เธอทำงานล่วงเวลาเท่านั้นเอง ไม่ต้องคิดมากหรอก”
หลังจากนั้น หูอี้จึงยอมกลับมานั่งลงแต่โดยดี เมื่อเห็นว่าลู่ฉิวเยว่กำลังจะไปหยิบจานและตะเกียบมาให้ หญิงสาวก็รีบลุกขึ้นและพูดว่า “ฉันหยิบเองค่ะ”
พอได้ยินแบบนั้น ลู่ฉิวเยว่ก็ปล่อยให้หญิงสาวไปหยิบเอง
ถึงแม้หูอี้ว่าจะคิดเงินได้ค่อนข้างช้า แต่เธอก็คิดได้อย่างแม่นยำ ลู่ฉิวเยว่พอใจในการทำงานของหญิงสาวคนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อเห็นว่าเธอมุ่งมั่นทำงานจนถึงมืดค่ำ หลังจากนั้นลู่ฉิวเยว่ก็ยินดีที่จะเลี้ยงอาหารเธอเสมอ
หูอี้ไม่สามารถปฏิเสธได้เลย เธอต้องยอมรับจริง ๆ ว่าฝีมือการทำอาหารของลู่ฉิวเยว่นั้นไม่เป็นสองรองใคร ไม่ว่าเจ้านายของเธอทำเมนูอะไรมาให้รับประทาน ทุกอย่างก็จะมีรสชาติแตกต่างกันไป แต่สิ่งเดียวที่เหมือนกันก็คือความอร่อยอันเป็นเอกลักษณ์
หูอี้จึงอยากจะทำงานหนักเพื่อลู่ฉิวเยว่มากขึ้นเรื่อย ๆ เธอจะไปหาเจ้านายดี ๆ แบบนี้จากไหน
…
ในวันนี้ ลู่ฉิวเยว่นึกขึ้นมาได้ว่าเธอไม่ได้โทรกลับไปที่บ้านนานแล้ว เธอยกมือตบหน้าผากตัวเอง ก่อนจะรีบหาเวลาโทรกลับไปหาที่บ้าน
[ฉิวเยว่?] แม่ของเธอเป็นคนรับสาย เมื่อได้ยินเสียงของลูกสาว หญิงวัยกลางคนก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ ก่อนหน้านี้ลู่ฉิวเยว่บอกว่าตัวเองยุ่งมาก เธอจึงไม่อยากโทรไปรบกวนเวลาพักผ่อนของลูกสาว วันนี้เธอคิดไม่ถึงเลยว่าลูกสาวจะเป็นคนโทรมาหาเอง
เมื่อคุณพ่อลู่ได้ยิน เขาก็หยุดรับประทานอาหารและโน้มตัวเข้ามาฟังเสียงของลูกสาวผ่านทางหูโทรศัพท์ทันที
ลู่ฉิวเยว่สัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงในน้ำเสียงของพ่อแม่ เธอรู้สึกอบอุ่นหัวใจเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่ยอมเปิดปากพูดเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับฉินเซียว เธอบอกเพียงแต่ว่าทุกอย่างยังเป็นปกติดีและพวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงเธอเลย