สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 170 มาเพื่อเกลี้ยกล่อมฉินซือ
บทที่ 170 มาเพื่อเกลี้ยกล่อมฉินซือ
ลู่ฉิวเยว่โบกมือปฏิเสธ “วันนี้ฉันไปติดต่อที่บริษัทโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว วันพรุ่งนี้เขาจะส่งคนมาติดตั้งแล้วน่ะ”
ในที่สุด หัวใจที่เริ่มกลับมาสงบของฉินซือก็เย็นเฉียบปานน้ำแข็ง ใบหน้าของเขากลายเป็นเข้มขรึมขึ้นมาอีกครั้ง
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป จึงไอออกมาแห้ง ๆ และรีบเปลี่ยนเรื่องพูดว่า “ฉันซื้อเบอร์โทรศัพท์มาจากพนักงานหญิงคนหนึ่ง เป็นเลขที่สวยดี ฉันจะเขียนเบอร์ให้คุณนะ ในอนาคตคุณจะได้ติดต่อฉันได้สะดวก”
ก่อนที่ฉินซือจะทันได้ตอบรับคำใด เธอก็หมุนตัวไปหยิบกระดาษกับปากกาที่อยู่ใกล้ ๆ โต๊ะมาเขียนเบอร์โทรศัพท์
เมื่อเห็นว่าเธอรู้สึกผิด ฉินซือก็หัวเราะในลำคออย่างเย็นชาและตัดสินใจปล่อยเธอไป เขารับกระดาษจดเบอร์โทรศัพท์ของเธอมาพับเก็บใส่กระเป๋าสตางค์อย่างดี ราวกับว่ามันเป็นเอกสารที่สำคัญอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อดูนาฬิกา ตอนนี้ก็เป็นเวลา 22:00 น. แล้ว ลู่ฉิวเยว่เดินเข้าไปในห้องครัวและดูตามตู้เก็บของ ยังคงมีวัตถุดิบสำหรับทำอาหารอยู่อีกเยอะ เธอพับแขนเสื้อและตัดสินใจทำอาหารอร่อย ๆ เพื่อเอาใจฉินซือ อีกอย่าง พวกเขาทั้งสองคนรับประทานอาหารค่ำยังไม่อิ่มเลย และเธอเองก็รู้สึกหิวเช่นกัน
ฉินซือเดินตามเข้ามาช่วยเป็นลูกมือ ลู่ฉิวเยว่หยิบพริกหยวกสองชิ้นมาหั่นและยื่นส่งให้เขา
“ผมว่าคุณน่าจะหาคนทำงานกะกลางคืนไว้เฝ้าร้านบ้างนะ” ชายหนุ่มรับพริกที่หั่นแล้วมาถือและจัดวางลงบนจานอาหาร “ร้านของคุณกำลังดัง อาจมีเจ้าของร้านอาหารแถวนั้นอิจฉาก็ได้ ถ้าไม่มีคนอยู่เฝ้าร้านตอนกลางคืน เรื่องแบบนี้คงได้เกิดขึ้นอีกแน่ ๆ”
ลู่ฉิวเยว่นำฝาหม้อมาปิดลงไปบนหม้อซี่โครงหมูตุ๋น หลังจากหยุดใช้ความคิดเล็กน้อย เธอก็พูดว่า “เดี๋ยวฉันจะลองปรึกษากับเซวียนเซวียนดูก็แล้วกัน”
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ซี่โครงหมูตุ๋นแสนอร่อยและผัดกะหล่ำก็ออกมาจากกระทะ เช่นเดียวกับข้าวผัดไก่ทรงเครื่องที่ทำขึ้นเพื่อให้ฉินซือรับประทานเป็นพิเศษ
หวังเซวียนเซวียนรับประทานอาหารค่ำอิ่มไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่เมื่อเขาได้กลิ่นหอมของอาหารชุดใหม่ลอยในอากาศ ท้องของเขาก็ร้องด้วยความหิวโหยอีกครั้ง เด็กหนุ่มไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ เขารีบเปิดประตูห้องนอนและยื่นศีรษะออกมา “พี่ครับ พี่ทำอะไรกินเนี่ย?”
“นายนี่จมูกดีเหลือเกินนะ” ฉินซือกำลังถือชามและตะเกียบออกมาจากห้องครัวพอดี “ออกมากินด้วยกันสิ”
หวังเซวียนเซวียนหัวเราะในลำคอ ก่อนจะรีบเข้าไปล้างมือในห้องครัวและกลับออกมาร่วมวง
“เซวียนเซวียน ดูจากเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ พี่ว่าร้านของเราน่าจะต้องหาคนมาเฝ้าตอนกลางคืนแล้วล่ะ พวกเรามาสลับเวรกันนอนเฝ้าร้านดีไหม? พี่จะให้เงินค่าจ้างพิเศษเพิ่มให้นาย ถือว่าเป็นการทำงานล่วงเวลาแล้วกัน” ลู่ฉิวเยว่ตักซี่โครงหมูตุ๋นราดไปบนจานข้าวหวังเซวียนเซวียน เมื่อเห็นฉินซือกำลังจ้องมองมาด้วยสายตากระตือรือร้น เธอก็ตักอีกชิ้นหนึ่งให้เขา
“นอนเฝ้าร้านเหรอครับ?” หวังเซวียนเซวียนหยุดชะงัก ก่อนจะพูดอย่างเห็นด้วย “ได้เลยครับ ผมว่าไม่ต้องสลับเวรกันก็ได้ เดี๋ยวนับจากนี้ไป ผมจะไปนอนที่ร้านเอง ให้พี่ไปอยู่ร้านคนเดียวมันไม่ปลอดภัยด้วย”
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าเขาอยู่ได้ทุกที่อยู่แล้ว
ฉินซือรีบพูดสนับสนุนอย่างรวดเร็ว “ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ลู่ฉิวเยว่ คุณกลับมานอนที่บ้านนี่แหละ ถ้าคุณนอนค้างที่ร้าน ผมกับน้องคุณคงไม่สบายใจแน่”
ลู่ฉิวเยว่ลังเลเล็กน้อย ก่อนพยักหน้า “ได้สิ เดี๋ยววันพรุ่งนี้พี่ทำความสะอาดห้องเล็ก ๆ ในร้านให้ นายไปอยู่ในห้องนั้นก็แล้วกัน” บริเวณหลังร้านมีห้องเล็ก ๆ อยู่ห้องหนึ่ง ความจริงมันก็เป็นห้องพักสำหรับอยู่อาศัย แค่นำเตียงและโต๊ะเข้าไปตั้งก็เข้าอยู่ได้แล้ว วันพรุ่งนี้หลังจากทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย เธอก็แค่ต้องจ้างคนมาติดวอลเปเปอร์สักหน่อย แล้วหวังเซวียนเซวียนก็จะเข้าพักได้อย่างไม่มีปัญหา
“วันพรุ่งนี้พี่จะซื้อโต๊ะเขียนหนังสือตัวใหม่ให้นะ จะได้สะดวกเวลานายอ่านหนังสือ แล้วถ้านายพักกลางวันก็เข้าไปพักอยู่ในนั้นได้ด้วย” หญิงสาวนึกขึ้นมาได้ว่าในห้องนั้นยังขาดเฟอร์นิเจอร์ เธอจึงกล่าวเสริม
หวังเซวียนเซวียนมีดวงตาเป็นประกายด้วยความประหลาดใจ “ขอบคุณมากครับ!”
“ไม่เป็นไร รีบกินเถอะ” ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาเล็กน้อย เธอวางแผนว่าวันพรุ่งนี้จะไปซื้อเฟอร์นิเจอร์ ในเมื่อหวังเซวียนเซวียนจะต้องไปนอนค้างที่ร้านอาหาร เธอก็อยากให้เขามีของใช้ดี ๆ อยู่ในห้อง
ดังนั้น เช้าวันต่อมาหลังจากเปิดร้านเรียบร้อยแล้ว พ่อครัวและเด็กเสิร์ฟเข้ามาทำงานตามเวลา ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะพาหวังเซวียนเซวียนไปที่ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ด้วยความมั่นใจ
“ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้ครับ!” เมื่อเห็นพี่สาวเลือกเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง หวังเซวียนเซวียนก็รู้สึกปวดหัวใจขึ้นมาในทันใด ทำไมเธอต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์แพง ๆ ด้วย? เขาเห็นว่ามันไม่จำเป็นเลย
อีกอย่าง หวังเซวียนเซวียนรู้ดีว่าลู่ฉิวเยว่หาเงินได้ยากขนาดไหน เขาจึงไม่อยากให้เธอเสียเงินโดยใช่เหตุ
ลู่ฉิวเยว่ไม่ได้ฟังคำทัดทานของเด็กหนุ่มเลย เธอจ่ายเงินซื้อเฟอร์นิเจอร์เหล่านั้นและบอกให้ทางร้านช่วยส่งไปตามที่อยู่ที่กำหนดให้
“โต๊ะที่ทาสีแล้วสวยงามมากกว่าตัวนี้อีกครับ ถ้าคุณซื้อบ้านอยู่ในเมืองหลวง คุณก็ใช้มันเป็นของตกแต่งบ้านได้เช่นกัน”
หวังเซวียนเซวียนอ้าปากค้างเมื่อฟังสรรพคุณจากเจ้าของร้าน
ลู่ฉิวเยว่เห็นหน้าน้องชายก็รู้สึกตลกเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้น เธอก็พาหวังเซวียนเซวียนไปเลือกซื้อฟูก ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงก็จริง แต่ขนาดใส่เสื้อคลุมก็ยังรู้สึกหนาว อีกไม่นานก็จะถึงฤดูหนาวแล้ว เธออยากจะให้เขามีที่นอนอุ่น ๆ
“พอแล้วครับ!” หวังเซวียนเซวียนมีท่าทางเป็นกังวล เขาไม่ได้ต้องการของฟุ่มเฟือยพวกนี้เลย พวกมันมีราคาแพงและไร้ประโยชน์มากเกินไป
ความจริง ลู่ฉิวเยว่อยากจะซื้อเตาผิงให้เขาใช้สำหรับฤดูหนาวด้วย แต่เมื่อเห็นสีหน้าของหวังเซวียนเซวียน เธอก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจและวางแผนว่าถ้าถึงฤดูหนาวเมื่อไหร่ เธอค่อยซื้อให้เขาก็แล้วกัน เพราะเมื่อถึงตอนนั้น หวังเซวียนเซวียนก็คงปฏิเสธไม่ได้อีกแล้ว
“ก็ได้ ๆ งั้นเรากลับไปดูเตียงกันเถอะ” ลู่ฉิวเยว่ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ หวังเซวียนเซวียนเป็นพวกที่เบื่อการซื้อของและชอบร้องกลับบ้านอยู่เสมอ
หวังเซวียนเซวียนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะเดินตามหญิงสาวไปอย่างใกล้ชิด
เด็กหนุ่มอดรู้สึกตื้นตันใจไม่ได้ ลู่ฉิวเยว่ดีกับเขามาก เธอให้งานเขาทำและพาเขามาอยู่ในเมืองหลวง เธอเป็นห่วงเขามากกว่าในอดีตเสียอีก
ลู่ฉิวเยว่หันกลับมาและเห็นเด็กหนุ่มตาแดง เธอจึงอดประหลาดใจไม่ได้ ก็แค่ข้าวของเครื่องใช้ในห้องนอน เขาจะซาบซึ้งใจอะไรขนาดนั้น? เจ้าเด็กคนนี้ช่างอ่อนไหวจริง ๆ
เธอตบไหล่ของหวังเซวียนเซวียนพร้อมกับพูดว่า “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน นี่ก็ควรเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือไง?” พ่อแม่ของเขาเคยทำดีกับเธอเอาไว้ไม่น้อย เธอเองก็ต้องดูแลเขาให้ดี นี่คือเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้ว
“ในอนาคตนายก็ตั้งใจทำงานและทำให้พวกเราภูมิใจให้ได้ล่ะ!” ลู่ฉิวเยว่ให้กำลังใจ
หวังเซวียนเซวียนพยักหน้าด้วยความหนักแน่น “พี่ไม่ต้องเป็นห่วงเลยครับ ผมจะตั้งใจทำงานและทำให้ทุกคนภูมิใจให้ได้!” เขาจะไม่ปล่อยให้พี่สาวและพี่เขยผิดหวังในตัวของเขาเด็ดขาด
ลู่ฉิวเยว่ส่ายหน้าและหัวเราะในลำคอ โบกมือเรียกรถสามล้อปั่น หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับไปที่ร้านอาหารของตัวเอง
…
เมื่อฉินซือเข้าไปในสำนักงาน เขาก็ได้ยินเลขาหวังมาเคาะประตูอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย “มีอะไรเหรอ?”
“เถ้าแก่จ้าวมานั่งรออยู่สองชั่วโมงแล้วน่ะครับ จะให้เขาเข้าพบเลยไหมครับ?”
“เถ้าแก่จ้าว?”
“ใช่แล้วครับ”
“เดี๋ยวฉันไปหาเขาเอง” ฉินซือวางปากกาในมือลงและลุกขึ้นยืน ถึงแม้เขาจะรู้ดีอยู่เต็มอกว่าพ่อของจ้าวซูซินมาหาตนเองทำไม แต่อีกฝ่ายมีความอาวุโสมากกว่า เขาจึงยังคงต้องรักษาหน้าพ่อของเธอเอาไว้บ้าง
ห้องนั่งเล่นของสำนักงานอยู่ใกล้กับห้องทำงานของฉินซือ เมื่อชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไป เขาก็เห็นเถ้าแก่จ้าวลุกขึ้นยืนส่งยิ้มมาให้อย่างใจดี ซึ่งฉินซือก็พยักหน้าตอบรับกลับไปด้วยความสุภาพเช่นกัน