สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 151 ร้านหม้อไฟและเนื้อย่าง
บทที่ 151 ร้านหม้อไฟและเนื้อย่าง
“ได้ยินว่าพวกคุณช่วยพี่ผมยกถังไอศกรีมด้วยใช่ไหมครับ? ขอบคุณมากเลยนะครับ” เฉิงตงอวี้ยิ้มขอบคุณทุกคน พี่ชายของเขาสุขภาพไม่ค่อยดี ในอดีตมักจะชอบทำงานที่ใช้เรี่ยวแรงด้วยตัวเองเสมอ แต่ถ้าเขาไม่ติดงานอย่างในวันนี้ ปกติหน้าที่ยกถังใส่ไอศกรีมหรือของหนักทั้งหลายก็จะเป็นหน้าที่ของเฉิงตงอวี้เอง
“เรื่องเล็กน้อยค่ะ” ลู่ฉิวเยว่โบกไม้โบกมือปฏิเสธ ก่อนจะยิ้มออกมา “เห็นคุณลุงบอกว่าคุณเป็นช่างรับเหมาตกแต่งภายในใช่ไหมคะ?”
เฉิงตงอวี้พยักหน้า แล้วพวกเขาก็เดินทางไปที่ร้านของลู่ฉิวเยว่ด้วยรถยนต์ของฉินซือ
“ทำเลดีมากเลยนะครับ” เมื่อเห็นตำแหน่งที่ตั้งของร้านค้า เฉิงตงอวี้ก็ชื่นชมออกมาโดยไม่ได้เสแสร้ง “แถวนี้มีคนสัญจรผ่านเยอะมาก ร้านของคุณก็ไม่ได้เล็กจนเกินไป น่าจะซื้อมาในราคาไม่ต่ำกว่า 20,000 หยวนเลยสินะครับ?”
“20,000 หยวนเลยเหรอคะ?” ลู่ฉิวเยว่เบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ หันไปมองหน้าฉินซืออย่างคาดโทษ “แต่คุณบอกฉันว่าซื้อมาแค่ 12,000 หยวนเองนี่นา?”
ฉินซือหันกลับมามองค้อนเฉิงตงอวี้ด้วยแววตาเย็นชา ก่อนจะเชิดหน้าขึ้นและพูดด้วยความมั่นใจว่า “ผมไม่ได้โกหกคุณนะ!”
ในขณะนี้ เฉิงตงอวี้ก็รู้แล้วเช่นกันว่าตนเองได้เผลอไปเปิดโปงคำโกหกของแฟนหนุ่มเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงยืนหลบอยู่ข้าง ๆ ด้วยความเขินอายเท่านั้น
“เหรอ? งั้นบอกฉันทีว่าทำไมร้านนี้ถึงมีราคาแค่ 12,000 หยวนเท่านั้นล่ะ?” ลู่ฉิวเยว่ยืนเท้าเอว จ้องมองฉินซืออย่างเอาเรื่อง
ฉินซือก็ไม่ได้ยอมแพ้เลยสักนิด เขาตอบไปด้วยความหนักแน่นว่า “ก็แค่ 12,000 แล้วจะทำไม? ก็ในเมื่อทั้งซอยนี้เป็นที่ของผมทั้งนั้น ผมจะซื้อเท่าไหร่ก็ได้ คุณมีปัญหาหรือไง?”
ลู่ฉิวเยว่มองหน้าเขาด้วยความไม่อยากเชื่อ เธอไม่คิดเลยว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ ดูเหมือนว่าการตั้งคำถามของเธอจะทำให้ฉินซือโมโหขึ้นมาจริง ๆ แล้วสิ
เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของเธอ ฉินซือก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยความชอบใจ “นี่คือราคาของคนวงในน่ะ”
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะในลำคอ ก่อนจะผลักเขาออกไป แล้วหันมาพูดกับเฉิงตงอวี้ที่ยืนอยู่ทางด้านข้างว่า “คุณเฉิงคะ พวกเราเข้าไปดูข้างในกันเลยดีไหมคะ?”
เฉิงตงอวี้ยังคงตกตะลึงในคำพูดของฉินซือเมื่อสักครู่นี้ เมื่อเขาได้ยินเสียงเรียกของลู่ฉิวเยว่ก็ตื่นขึ้นจากภวังค์ทันที รีบตอบรับกลับไปอย่างรวดเร็วว่า “ได้เลยครับ!”
ตอนนี้ดูเหมือนฉินซือจะรู้สึกไม่พอใจเขาอยู่พอสมควร เฉิงตงอวี้สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองเขาด้วยความขุ่นเคืองอยู่เป็นระยะ แต่ชายหนุ่มคนนี้เป็นเจ้าของที่ดินทั้งซอย ซึ่งเป็นย่านการค้านี้ทั้งหมด ถ้าเขาตีสนิทชายหนุ่มคนนี้ได้ บางทีฉินซืออาจจะยอมลดค่าเช่าร้านของเขาบ้างก็เป็นได้!
“คุณช่วยเขียนแบบมาให้ผมก็แล้วกัน ผมจะได้เริ่มต้นทำงานได้ทันที” เฉิงตงอวี้เดินสำรวจดูภายในร้านอย่างรวดเร็วและหันมาพูดกับลู่ฉิวเยว่
หญิงสาวพยักหน้า “ได้เลยค่ะ”
เธอไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นในการเขียนแบบ ในคืนนั้นเธอนั่งเขียนแบบด้วยตัวเองอยู่ใต้โคมไฟที่โต๊ะเขียนหนังสือ
“เขียนเสร็จแล้วเหรอ?” ฉินซือเดินถือจานใส่ผลไม้เข้ามา และเห็นว่าลู่ฉิวเยว่หยุดเขียนแบบแล้ว มิหนำซ้ำ เธอยังนำกระดาษเขียนแบบเก็บใส่ซองในลิ้นชักเป็นอย่างดีอีกด้วย
เมื่อลู่ฉิวเยว่ได้ยินเสียงของเขา เธอก็หันไปมองและหยิบผลไม้ที่เขาส่งมาให้ “เสร็จแล้วค่ะ”
พูดจบ เธอก็เปิดลิ้นชักและยื่นแฟ้มใส่กระดาษเขียนแบบให้เขาดู ถามพร้อมกับยิ้มกว้าง “คุณคิดว่าเป็นไงบ้าง?”
“ก็ไม่เลว” ฉินซือรับกระดาษเขียนแบบมาดู การออกแบบของเธอค่อนข้างเรียบง่าย แต่เขาจินตนาการเห็นภาพได้อย่างชัดเจนเลยว่าร้านของเธอจะออกมาสวยงามขนาดไหน ถ้าได้รับการตกแต่งตามกระดาษแผ่นนี้จริง ๆ
เมื่อได้รับการยืนยันจากเขา ลู่ฉิวเยว่ก็รู้สึกหัวใจพองโตเล็กน้อย เมื่อเห็นว่านี่ก็เริ่มดึกแล้ว หลังจากรับประทานผลไม้อีกหลายชิ้นเธอก็ลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาและไล่ให้เขากลับไปนอนห้องตัวเอง
เช้าวันต่อมา เธอก็ไปที่ร้านของเฉิงตงอวี้ตามนัดหมาย
“คุณลู่ การออกแบบของคุณยอดเยี่ยมมากเลยครับ!” ดวงตาของเฉิงตงอวี้เป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาทันทีที่เห็นกระดาษเขียนแบบของเธอ เขาแทบไม่เคยชื่นชมลูกค้าคนไหนที่เขียนแบบมาให้ตนเองทำตามมาก่อน แต่การเขียนแบบของผู้หญิงคนนี้มีความเรียบง่ายและสวยงามอย่างที่หาได้ยากยิ่ง
วันนี้กำลังจะมีของเข้าร้านพอดี และเมื่อพูดคุยรายละเอียดกับลู่ฉิวเยว่เสร็จเรียบร้อยแล้ว เฉิงตงอวี้ก็เริ่มต้นการตกแต่งร้านของเธอโดยทันที เขาเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าแบบที่เธอเขียนมานั้นจะสวยงามขนาดไหนเมื่อกลายเป็นความจริง
“งั้นก็ฝากด้วยนะคะ” ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาเล็กน้อย หมุนตัวเดินกลับออกมา ไม่ได้ตามเขาไปที่ร้านของตัวเองอีกแล้ว
การตกแต่งร้านไม่น่าจะใช้เวลานานสักเท่าไหร่ ดังนั้นเธอยังต้องรีบไปหาซื้อโต๊ะและเก้าอี้ รวมถึงอุปกรณ์เครื่องครัวสำหรับการเปิดร้านให้เร็วที่สุด
“คุณกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?” ฉินซือเห็นว่าเธอไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำตลอดทาง เขาจึงหันไปมองหน้าเธอด้วยความสงสัย เขาไม่รู้เลยว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่
ลู่ฉิวเยว่ยกมือถูคางของตัวเองอย่างใช้ความคิด อยู่ดี ๆ เธอก็นึกถึงร้านหม้อไฟและร้านขายเนื้อย่างที่เปิดขายกันอย่างดาษดื่นในยุคสมัยหลังจากนี้ ลู่ฉิวเยว่รีบหันไปอธิบายความคิดให้ฉินซือรับฟังทันที
“ผมว่าก็เข้าท่าดีนะ” ฉินซือเบิกตาโตและพูดด้วยความประหลาดใจ “ฉิวเยว่ คุณฉลาดที่สุดเลย คุณคิดเรื่องแบบนี้ออกมาได้ยังไงกัน”
ลู่ฉิวเยว่ยกกำปั้นขึ้นมาปิดปากและไอออกมาเบา ๆ เธอไม่ได้ฉลาดหรอก แค่หยิบยืมความคิดของคนอื่นมาเท่านั้น
หญิงสาวหันไปมองหน้าร้านที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลและยกมือชี้ว่า “นั่นร้านที่คุณพูดถึงใช่ไหม?”
ฉินซือพยักหน้า เขาขับรถเข้าไปจอดอย่างช้า ๆ แล้วทั้งสองคนก็ลงมาจากรถยนต์ เดินมุ่งหน้าตรงไปยังร้านที่เธอยกมือชี้เมื่อสักครู่นี้
ภายในร้านมีชายชราอยู่คนหนึ่ง ข้างกายมีชายหนุ่มคอยรับใช้ ถ้าไม่ได้เป็นลูกหลานก็น่าจะเป็นลูกศิษย์ ชายชรากับชายหนุ่มกำลังพูดคุยอะไรกันบางอย่าง ในมือของพวกเขาถือท่อนไม้อยู่ตลอดเวลา
“อาจารย์คะ?” ลู่ฉิวเยว่ร้องทักขึ้นเสียงดัง ชายชราและชายหนุ่มในร้านหยุดชะงักและหันมามอง
ชายชราลุกขึ้น เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนและเดินออกมาต้อนรับด้วยความสุภาพ “ต้องการสั่งทำเฟอร์นิเจอร์ใช่ไหมครับ?”
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มเล็กน้อย ยืมปากกามาจากชายชรา และขอกระดาษมาเขียนแบบลงบนโต๊ะจากความทรงจำ “อาจารย์ช่วยทำตามแบบนี้ได้ไหมคะ?”
“คุณจะสั่งทำโต๊ะใช่ไหม? ว่าแต่เอาไปใช้ทำอะไรครับ?” ชายชราจ้องมองพิมพ์เขียวด้วยความพิจารณา
ลู่ฉิวเยว่อธิบายจุดประสงค์ของตนเองด้วยความอดทน ชายชราแสดงออกถึงความประหลาดใจ และเอาแต่ชื่นชมความคิดสร้างสรรค์ของเธอตลอดเวลา
“ผมไม่เคยทำโต๊ะแบบนี้มาก่อน แต่น่าจะทำได้นะครับ” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าและจ่ายเงินค่ามัดจำตามที่ชายชราร้องขอ “ฉันจะมาเอาโต๊ะได้เมื่อไหร่คะ?”
ชายชราใช้ความคิดอยู่เล็กน้อย ก่อนตอบว่า “บ่ายวันพรุ่งนี้ก็จะน่าจะเสร็จตัวนึงแล้วครับ ถ้าคุณพอใจ เราจะได้เริ่มทำตัวอื่น ๆ กัน”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าเห็นด้วย สุดท้ายก็หันมาดึงฉินซือเดินออกไปจากร้าน ตามหลังมาด้วยหวังเซวียนเซวียน
ระหว่างทางกลับบ้าน หวังเซวียนเซวียนถอนหายใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ลู่ฉิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นสูงและหันไปมอง “เป็นอะไร?”
“หลายวันที่ผ่านมา ผมเห็นพวกเราใช้เงินไปเยอะมาก ผมอยากจะหาเงินกลับคืนมาเร็ว ๆ แล้วครับ” เด็กหนุ่มพูดออกมาด้วยความเศร้า นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หวังเซวียนเซวียนได้เป็นสักขีพยานในการใช้เงินเยอะขนาดนี้ เขาจึงอดเศร้าใจขึ้นมาไม่ได้
ลู่ฉิวเยว่นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะทุกข์ใจกับเรื่องนี้ เธอหัวเราะในลำคอเล็กน้อย พลางพูดออกไปว่า “ถึงฉันจะยังไม่ได้เปิดร้านตอนนี้ แต่ฉันก็มีวิธีหาเงินแล้ว”
หวังเซวียนเซวียนถามด้วยความอยากรู้ทันที “วิธีหาเงินยังไงครับ?”
ลู่ฉิวเยว่ไม่ยอมตอบอะไร เอาแต่หัวเราะในลำคอเท่านั้น และนั่นก็ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มถามด้วยความสงสัยมากกว่าเดิม
แต่หลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน เขาก็ได้เข้าใจว่าทำไมลู่ฉิวเยว่ถึงพูดออกมาอย่างนั้น
ลู่ฉิวเยว่โทรศัพท์ติดต่อไปยังเจ้าของร้านขายยาจีนที่รู้จักกันในเมืองหลวง ตอนนี้เธอยังไม่ได้เปิดร้านและเธอก็ไม่มีงานทำ หญิงสาวจึงตั้งใจจะใช้เวลาว่างทำพลาสเตอร์ปิดแก้ปวดเพื่อหาเงินคืนมา
แต่เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าของร้านที่เคยรับแผ่นพลาสเตอร์แก้ปวดของเธอไปขายเมื่อไม่นานมานี้ และพยายามเร่งเร้าให้เธอนำมาขายอีกหลายครั้ง อยู่ดี ๆ เจ้าของร้านคนนั้นก็ปฏิเสธที่จะจ่ายเงินค่ามัดจำ