สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 149 ดูหน้าร้าน
บทที่ 149 ดูหน้าร้าน
ฉินซือมีสีหน้าอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่เดินเข้าไปในบ้าน เขาก็โอบไหล่เธอไปด้วย
ลู่ฉิวเยว่กวาดตามองสิ่งของที่อยู่ในห้องนั่งเล่น โต๊ะและเก้าอี้อยู่ในสภาพดีพร้อม เป็นไปได้ว่าเขาคงสั่งให้แม่บ้านมาทำความสะอาดก่อนที่พวกเธอจะมา ภายในบ้านจึงไม่มีฝุ่นอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
“เราจะไปหาอะไรกินข้างนอกหรือเอาอะไรมาทำกินที่บ้านกันดี?” ฉินซือนั่งลงบนโซฟาและโอบแขนรอบไหล่เธอ
“กินที่บ้านกันดีกว่า” ลู่ฉิวเยว่ตอบโดยไม่ลังเล “อาหารจากข้างนอกจะมาอร่อยกว่าอาหารที่เราทำกันเองได้ยังไง” ฉินซือเป็นคนเลือกกิน ถ้าเขาออกไปกินอาหารข้างนอก เขาอาจจะกินได้ไม่อิ่มและยิ่งจะทำให้เขาหงุดหงิดมากกว่าเดิม
เมื่อได้รับคำตอบตรงใจ ฉินซือก็พยักหน้า
ตลาดสดอยู่ห่างจากบ้านหลังนี้ไปเพียงไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น พวกเขาใช้เวลาเดินไปไม่กี่นาทีก็ถึง
หวังเซวียนเซวียนกับเลขาหวังรับหน้าที่ไปซื้อวัตถุดิบทำอาหาร และแน่นอนว่าตำแหน่งแม่ครัวใหญ่ก็ต้องเป็นของลู่ฉิวเยว่โดยที่มีฉินซือเป็นลูกมือคอยช่วยเหลือ ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว หวังเซวียนเซวียนกับเลขาหวังก็รับหน้าที่จัดโต๊ะอาหารให้เรียบร้อย
หลังจากรับประทานแต่อาหารแห้งมาสองวันเต็ม ๆ ลู่ฉิวเยว่ก็รู้สึกเบื่ออาหารเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเธอจึงทำอาหารถึงเจ็ดอย่างในมื้อเดียว
“กลิ่นหอมจังเลยครับ!” หวังเซวียนเซวียนกลืนน้ำลายทันทีเมื่อหญิงสาวนำจานอาหารมาวางลงบนโต๊ะ
“งั้นก็มากินกันเถอะ” ลู่ฉิวเยว่พูด
หวังเซวียนเซวียนมีดวงตาเป็นประกาย รีบใช้ทัพพีตักข้าวใส่จานให้ทุกคน
สิ่งแรกที่เขาเลือกรับประทานก็คือหมูชุบแป้งทอด แป้งข้าวโพดที่ชุบอยู่ด้านนอกกรอบอร่อย เมื่อบวกกับเนื้อหมูหมักซอสรสจัดจ้านที่อยู่ด้านใน จึงให้รสชาติที่ลงตัวเป็นอย่างยิ่ง
“อร่อยมากเลยครับ!” เด็กหนุ่มยกนิ้วโป้งชื่นชม แอบคิดอยู่ในใจว่าการรับประทานอาหารอร่อยทำให้คนเรามีความสุขขึ้นได้จริง ๆ ความเหนื่อยล้าในการเดินทางตลอดสองวันที่ผ่านมาหายไปในทันทีที่เขาได้กินหมูชุบแป้งทอด
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะในลำคอ ใช้ตะเกียบคีบหมูชุบแป้งทอดที่ผ่านการหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้ว ตั้งใจจะนำไปใส่จานให้น้องชาย “ถ้าอร่อยก็กินเยอะ ๆ เลยนะ”
วันนี้เธอใช้น้ำจากน้ำพุวิญญาณประกอบอาหารด้วยเช่นกัน ถ้ารวมเข้ากับสมุนไพรที่ใส่ลงไปในน้ำซุป ร่างกายของทุกคนก็จะฟื้นฟูจากความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี
แต่พอเห็นสายตาของฉินซือที่จ้องมองมา แววตาของเขาทำท่าจะเกิดความขุ่นเคืองใจขึ้นมาอีกครั้ง ลู่ฉิวเยว่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากคีบให้เขาด้วย
เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินซือก็มีดวงตาเป็นประกายแวววาว ก่อนที่เขาจะใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูผัดซอสใส่จานข้าวให้เธอด้วยความภาคภูมิใจ
เมื่อเลขาหวังที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เห็นอาการหึงหวงแบบไม่มีเหตุผลของเจ้านายต่อหน้าต่อตาถึงเพียงนี้ เขาก็ได้แต่นึกสงสัยว่านี่เป็นฉินซือคนเดียวกับที่เขาเคยรู้จักจริง ๆ เหรอ?
“ผมดูร้านให้คุณแล้ว อยู่ในซอยถัดไปนี่เอง เดี๋ยววันพรุ่งนี้ผมจะพาคุณไปดูดีไหม?” ฉินซือหันหน้ามาถามลู่ฉิวเยว่
หญิงสาวพยักหน้า ถ้าร้านอยู่ไม่ไกลก็จะสะดวกสบายมากขึ้น
“แต่ว่า” เธอร้องเตือนขึ้นมา “ตอนบ่ายเราต้องออกไปข้างนอกนะ เรายังไม่ได้ซื้อกระดาษทิชชู่ไว้ใช้ในห้องน้ำเลย และฉันไปตรวจดูในตู้เสื้อผ้าแล้ว ไม่มีไม้แขวนเสื้ออยู่เลยสักอัน”
“จริงด้วยสินะ” ฉินซือตอบรับกลับมา
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ พวกเขาก็เดินออกไปพร้อมกัน ในเมื่อตลาดอยู่ไม่ไกล ฉินซือจึงไม่ได้ใช้รถยนต์ พวกเขาตั้งใจจะเดินย่อยอาหารไปด้วย
ลู่ฉิวเยว่สนใจในทิวทัศน์ของเมืองหลวงเป็นอย่างยิ่ง เธอเดินชมสองข้างทางด้วยความตื่นเต้น ถ้าฉินซือไม่ได้จับมือเธอแน่นขนาดนี้ เธอก็คงเผลอตัววิ่งไปดูนั่นดูนี่นานแล้ว
“เมืองหลวงสะดวกสบายมากเลยนะครับ” หวังเซวียนเซวียนถอนหายใจออกมา นี่เขาแค่อยู่บนถนนเส้นเดียวเท่านั้น แต่ก็หาซื้อได้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ไม่เหมือนหมู่บ้านชนบทของพวกเขา เวลาจะซื้ออะไรสักอย่างก็ต้องเดินทางไกลมากทีเดียว
และในปักกิ่งก็มีรถยนต์เยอะกว่าเมืองชนบทอีกด้วย
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าและไม่พูดอะไร ในมือของเธอกำลังถือวัตถุชิ้นเล็ก ๆ มันเป็นรูปปั้นเซรามิกที่มีขนาดเท่ากับนิ้วมือ ถ้ามองดูดี ๆ ก็จะเห็นว่ามีการตกแต่งในส่วนของใบหน้าและลงรายละเอียดอย่างชัดเจน นับเป็นผลงานศิลปะที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง
ฉินซือเดินเข้ามาดูและหยิบขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง ปรากฏว่ามันเป็นรูปปั้นที่เข้าคู่กับตัวที่อยู่ในมือของหญิงสาวพอดี “ซื้อไหม?”
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มเล็กน้อย แต่ยังไม่ได้ตอบออกไปก็ถูกขัดจังหวะเสียก่อน
“พี่ฉินซือ!” จ้าวซูซินต้องการมาเดินซื้อของแถวนี้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะได้มาพบเจอกับฉินซือ จึงรีบวิ่งเข้ามาดึงแขนเสื้อของเขาด้วยความตื่นเต้น
ฉินซือขมวดคิ้ว ใบหน้าซีดขาวขึ้นมาทันที เขาขยับแขนหนีมือของเธอ “อย่ามาแตะตัวฉัน!”
จ้าวซูซินเบะปากด้วยความไม่ชอบใจ เมื่อเธอได้ยินว่าเขากำลังจะมาที่เมืองหลวง เธอก็ไม่สนใจคำคัดค้านของพ่อแม่และหาทางที่จะพบเจอเขาให้ได้ แต่เขาก็ยังคงเมินเฉยต่อเธอจริง ๆ
ฉินซือยื่นรูปปั้นเซรามิคทั้งสองตัวนั้นให้กับคนขาย ระหว่างที่เตรียมตัวชำระเงิน เขาก็หันมาพูดกับจ้าวซูซินด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “เธอมาทำอะไรที่นี่?”
ทุกครั้งที่ผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัวขึ้นมา เธอก็จะต้องสร้างความเดือดร้อนเสมอ แค่คิดเขาก็เหนื่อยใจแล้ว
“ฉันแค่มาพักอยู่แถวนี้” จ้าวซูซินนึกว่าเขาเป็นห่วงเธอ ดวงตาจึงเป็นประกายอย่างมีความสุข
ฉินซือพยักหน้า ก่อนจะดึงแขนลู่ฉิวเยว่เตรียมตัวเดินหนีไป
ตระกูลจ้าวก็มีบ้านอยู่ในเมืองปักกิ่งเช่นกัน ดังนั้นการปรากฏตัวของจ้าวซูซินจึงไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญในสายตาของเขา
ลู่ฉิวเยว่ไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำเดียว จ้าวซูซินก็ทำเหมือนเธอไม่มีตัวตนเช่นกัน สีหน้าของคุณหนูตระกูลจ้าวมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง
“พี่ฉินซือ รอฉันด้วยสิ” จ้าวซูซินวิ่งตามมาทางด้านหลัง น้ำเสียงออดอ้อนจนฉินซือปวดหัว แม้แต่ลู่ฉิวเยว่ก็เริ่มมีสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาแล้ว เธอเองก็ปวดหัวไม่แพ้เขาเช่นกัน
ฉินซือหันกลับไปมองจ้าวซูซินด้วยสายตาเย็นชา “เธอจะตามมาทำไม!”
จ้าวซูซินจ้องมองมาที่เขาด้วยความกระตือรือร้น “พี่ฉินซือคะ ฉันอยู่ที่นี่คนเดียว ไม่มีเพื่อนเลย”
“อ้อ”
“ที่นี่มีพวกคนเลวอยู่ตั้งเยอะ ถ้าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับฉันจะทำยังไง? อีกอย่าง ที่บ้านฉันก็ไม่มีใครคอยดูแลด้วย ฉันขอไปอยู่บ้านพี่สัก 2-3 วันได้ไหมคะ?” ดูเหมือนจ้าวซูซินจะไม่เข้าใจสีหน้าของชายหนุ่มเลย เธอยังคงยื่นหน้ายื่นตาเข้ามาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานสดใส
จ้าวซูซินรู้อยู่แล้วว่าลู่ฉิวเยว่จะเข้าเมืองหลวงพร้อมกับฉินซือ ไม่งั้นเธอก็คงไม่เดินตามมาอย่างนี้หรอก จ้าวซูซินรู้ดีว่าผู้หญิงคนนั้นคงพักอยู่ที่บ้านของฉินซืออย่างแน่นอน
เมื่อนึกถึงเสียงที่เธอได้ยินผ่านประตูห้องโรงแรมเมื่อครั้งก่อน จ้าวซูซินก็รู้สึกอิจฉาริษยาจนแทบบ้าตาย เธอจะไม่ปล่อยให้นังผู้หญิงคนนี้ได้ลอยนวลอีกต่อไปแล้ว!
อย่างไรก็ตาม ฉินซือไม่ได้ชื่นชอบเธอเลยสักนิด เขาหันกลับมาหัวเราะเยาะว่า “งั้นเธอก็กลับบ้านไปสิ จะออกมาหาเรื่องใส่ตัวข้างนอกทำไม”
จ้าวซูซินถึงกับสำลักให้กับคำพูดของเขา เมื่อเห็นแผ่นหลังของคนทั้งสองเดินห่างไกลออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอก็ได้แต่ยืนกระทืบเท้าอยู่กับที่ด้วยความโมโห
ฉินซือพาลู่ฉิวเยว่ไปซื้อของใช้ในห้องน้ำ เดินเล่นกันอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะวนกลับไปยังจุดที่นัดพบคนอื่น ๆ เอาไว้
“กลับมากันแล้วเหรอครับ พวกเรารอกันตั้งนาน”
ทั้งสองคนมองเห็นหวังเซวียนเซวียนยืนโบกมือเรียกอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ก็รีบเดินเข้าไปหาด้วยความรวดเร็ว
ลู่ฉิวเยว่หันกลับมาถามฉินซือที่อยู่ด้านข้างว่า “คุณจะกลับบ้านเลยไหม?”
ฉินซือยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาแล้วตอบว่า “ตอนนี้เพิ่งบ่ายสามเอง เร็วเกินไปที่จะกลับบ้าน พวกเราเอาของไปเก็บที่บ้านก่อน แล้วออกไปดูร้านกันเลยดีไหม?”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าเห็นด้วย “ก็ดีค่ะ”
นี่คือร้านแรกของเธอในเมืองหลวง และมันยังเป็นการเริ่มต้นใหม่อีกด้วย ลู่ฉิวเยว่อยากจะไปดูร้านของเธอแทบแย่แล้ว ดังนั้นคำชวนของเขาจึงเป็นสิ่งที่เธอกำลังต้องการอยู่พอดี
พวกเขาเดินกลับไปที่บ้านอย่างรวดเร็ว แต่ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้เดินไปอีกแล้ว ชายหนุ่มคิดว่าลู่ฉิวเยว่คงเหนื่อยล้าจากการเดินตลาดที่ใช้เวลาสองชั่วโมงพอสมควร ดังนั้นเขาจึงขับรถพาเธอไปดูร้าน
เมื่อรถยนต์หยุดจอด ลู่ฉิวเยว่ก็สังเกตเห็นร้านค้าร้านเดียวที่ปิดบริการอยู่ข้างถนน เธอยกมือชี้ไปที่ร้านนั้นแล้วถามว่า “ร้านนี้ใช่ไหม?”
ฉินซือพยักหน้า
ลู่ฉิวเยว่ยื่นศีรษะออกไปนอกหน้าต่างรถยนต์ ใช้สายตาสำรวจมองถนนที่อยู่ด้านนอก มีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาค่อนข้างหนาตามากทีเดียว
“ทำเลดีจริง ๆ ด้วย ราคาแพงไหมคะ?”