สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 148 เข้าเมืองปักกิ่ง
บทที่ 148 เข้าเมืองปักกิ่ง
แม่ของหวงฉีฉีจ้องมองเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านด้วยความสนใจ แววตาเหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง เมื่อได้ยินคำถามของลู่ฉิวเยว่ หล่อนก็หันหน้ามาตอบว่า “ฉันได้ยินเซวียนเซวียนพูดว่าคุณกำลังจะเข้าไปแข่งขันในเมืองหลวงใช่ไหมคะ?”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า เดาไม่ออกเลยว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการอะไรกันแน่
“บังเอิญจังเลย” แม่ของหวงฉีฉียิ้มออกมาทันที “ฉันกับฉีฉีก็กำลังจะไปเยี่ยมพ่อเธอที่เมืองหลวงพอดี พวกเราไปด้วยกันเถอะนะ มีอะไรจะได้คอยช่วยเหลือกันได้”
นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ช่วงหลังหวังเซวียนเซวียนก็สนิทสนมกับหวงฉีฉีมากขึ้น เขาน่าจะดีใจที่ได้ยินข่าวนี้ ลู่ฉิวเยว่ยิ้มรับและตอบตกลง “ไม่มีปัญหาค่ะ”
เมื่อแม่ของหวงฉีฉีได้รับคำตอบที่ต้องการ หล่อนก็ขอตัวอำลากลับไปเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าอย่างมีความสุขโดยทันที
ณ สถานีรถไฟในเช้าวันต่อมา ทุกคนนัดเจอกันที่นี่ บรรยากาศแตกต่างจากครั้งที่แล้ว เพราะครั้งนี้ไม่ได้มีแต่เลขาหวังเท่านั้น แต่ผู้ร่วมคณะเดินทางยังมีหวงฉีฉีและแม่ของเธอเพิ่มขึ้นมาด้วย
“ในเมื่อพวกเรามากันครบแล้ว งั้นก็ขึ้นรถไฟกันเลยค่ะ” ลู่ฉิวเยว่ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาก่อนจะยกมือชี้ไปที่รถไฟ
ทุกคนพยักหน้า หยิบกระเป๋าสัมภาระ และเดินตรงไปทางรถไฟ
ครั้งนี้ ทุกคนยังได้ห้องโดยสารที่เป็นเตียงสองชั้น ลู่ฉิวเยว่เลือกนอนเตียงชั้นบน และคนที่นอนอยู่ฝั่งตรงข้ามของเธอก็คือแม่ของหวงฉีฉี
บางทีหญิงคนนี้อาจจะเป็นคนช่างคุยอยู่แล้ว ลู่ฉิวเยว่เพิ่งจะปีนขึ้นไปนั่งบนเตียงเท่านั้น แม่ของหวงฉีฉีก็ชวนคุยโดยทันที
ลู่ฉิวเยว่ต้องการจะพูดคุยด้วยเพื่อรักษามารยาทเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่ายิ่งคุยมากเท่าไหร่ เธอก็อยากจะพูดคุยต่อไปมากเท่านั้น
และเธอก็ต้องประหลาดใจ ลู่ฉิวเยว่พบว่าหญิงวัยกลางคนที่ดูเจ้าเล่ห์และร้ายกาจผู้นี้ มีวิสัยทัศน์ในด้านการทำธุรกิจที่ไม่เหมือนใคร และความคิดเห็นหลายอย่างก็เป็นไปในทางเดียวกับเธอ
นานมากแล้วที่ลู่ฉิวเยว่ไม่เคยพบเจอใครพูดคุยได้อย่างถูกคอเช่นนี้ ดวงตาของเธอเป็นประกายแวววาว ฉินซือมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที หัวใจของเขากำลังเต็มไปด้วยความหึงหวง
หลังจากที่ขึ้นมานั่งประจำที่กันเรียบร้อย ลู่ฉิวเยว่ก็พูดคุยกับแม่ของหวงฉีฉีอยู่ตลอดเวลา เธอไม่ได้สนใจเขาเลยตลอดทั้งเช้าวันนั้น
…
“มาถึงแล้ว! พวกเรารีบลงจากรถไฟกันเถอะ” บ่ายวันต่อมา รถไฟก็หยุดลงอย่างช้า ๆ ในที่สุดลู่ฉิวเยว่ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและยืดตัวบิดขี้เกียจ
ในยุคสมัยนี้ ไม่มีโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ การใช้ชีวิตอยู่บนรถไฟเป็นเวลาสองวันจึงทำได้เพียงพูดคุยสลับกับนอนหลับเท่านั้น นับเป็นชีวิตที่น่าเบื่ออย่างยิ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็เดินแหวกฝ่าฝูงคนออกมาจากสถานีรถไฟ
หวงฉีฉีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เบิกตาโต ชี้ไม้ชี้มือด้วยความตื่นเต้น “พ่ออยู่ตรงนั้นไง!”
ลู่ฉิวเยว่หันไปมองตามมือของเด็กสาว ชายวัยกลางคนสวมชุดสูทใส่รองเท้าหนัง เมื่อเขาได้ยินเสียงลูกสาวของตัวเอง เขาก็รีบเดินยิ้มเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
“เถ้าแก่ฉิน!” เขาจ้องมองฉินซือด้วยความประหลาดใจ เดินเข้ามาเขย่ามือกับฉินซือพร้อมด้วยรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้า “ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”
ในฐานะนักธุรกิจ ฉินซือเคยพบกับชายคนนี้เป็นบางโอกาส จึงเรียกได้ว่าเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันพอสมควร ชายหนุ่มยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน “เถ้าแก่หวง ไม่คิดเลยว่าพวกเราจะได้พบกันที่นี่”
หลังจากพูดจบแล้ว เขาก็ดึงลู่ฉิวเยว่เข้ามาใกล้และแนะนำตัวว่า “นี่แฟนผมเองครับ”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสุข
“พวกคุณต่างก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์และสวยหล่อทั้งคู่ นับเป็นคู่ที่สวรรค์เสริมสร้างจริง ๆ” พ่อของหวงฉีฉีก็รู้ดีเช่นกันว่าตนเองควรจะตอบรับเช่นใด
แม่ของหวงฉีฉีก็ยิ้มออกมาอย่างเห็นด้วย
หลังจากทักทายกันพอหอมปากหอมคอ พวกเขาก็แยกย้ายสลายตัว หลังต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถไฟสองวัน ทุกคนก็อยู่ในอาการเหนื่อยล้า พวกเขาต่างอยากจะกลับบ้านไปพักผ่อน อาบน้ำ และรับประทานอาหารดี ๆ จึงไม่มีเวลาพูดคุยอีกแล้ว
มีกระเป๋าสัมภาระอยู่มากมาย บ้านของฉินซืออยู่ไกลจากสถานีรถไฟพอสมควร ดังนั้นพวกเขาจึงว่าจ้างรถสามล้อสองคันจากบริเวณประตูหน้าสถานีรถไฟ
ทิวทัศน์สองข้างทางผ่านไปอย่างช้า ๆ ลู่ฉิวเยว่มองสภาพแวดล้อมสองข้างทางด้วยความตื่นตาตื่นใจ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเสน่ห์ตามกาลเวลาของมันจริง ๆ
“เถ้าแก่หวงคนนี้เป็นคนดีไหม? ฉันได้ยินว่าเขาก็ทำธุรกิจในปักกิ่งเหมือนกัน” ทันใดนั้น ลู่ฉิวเยว่ก็นึกถึงสิ่งที่หวงฉีฉีเคยพูดเมื่อครั้งก่อน เธอจึงถามออกมาด้วยความสงสัย
ฉินซือพยักหน้าและตอบกลับไปว่า “เขาเป็นนักธุรกิจชื่อดังพอสมควร เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง ห้างที่ผมพาคุณไปเดินซื้อของเมื่อครั้งที่แล้วก็เป็นของเขาเหมือนกัน”
หลังจากพูดจบ ชายหนุ่มก็ยกมือชี้ไปยังพื้นที่ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล “ที่นั่นก็ของเขาเหมือนกัน ครั้งสุดท้ายที่ผมไปเดินดู ก็เห็นว่าเอาสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขายเยอะมาก”
เอาสินค้าจากต่างประเทศมาขายด้วย?
ลู่ฉิวเยว่หันไปมองตามนิ้วมือของฉินซือ สิ่งที่เขาชี้อยู่ก็คือห้างสรรพสินค้าที่ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมรูปแบบใหม่ มันมีความแตกต่างจากอาคารที่รายล้อมอยู่โดยรอบ บริเวณหน้าทางเข้ามีหน้าต่างที่เป็นกระจกบานใหญ่ตั้งอยู่สองบาน ทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมามองเห็นสินค้าที่อยู่ภายในได้อย่างชัดเจน
ลู่ฉิวเยว่อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “สุดยอดไปเลย!”
“คุณอาจจะได้ทำธุรกิจกับเขาในอนาคตก็ได้” ฉินซือยกมือขึ้นโอบไหล่เธอและดึงหญิงสาวเข้ามาหาตนเอง
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ฉันจะรับคำอวยพรของคุณเอาไว้ก็แล้วกัน”
“เซวียนเซวียน นายนี่เป็นดาวนำโชคของพี่จริง ๆ” เธอหันไปยิ้มให้กับหวังเซวียนเซวียน สายตาของเธอบอกถึงความชื่นชมอย่างแท้จริง
หวังเซวียนเซวียนกำลังแอบฟังสิ่งที่สองหนุ่มสาวกำลังพูดคุยกัน แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าอยู่ดี ๆ ตนเองก็จะไปเป็นประเด็นอยู่ในบทสนทนาด้วย เขาไม่ทันได้ตั้งตัว จึงทำได้เพียงยกกำปั้นขึ้นมาปิดปากและไอเล็กน้อยเท่านั้น ชายหนุ่มก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย ใบหูกลายเป็นสีแดงโดยไม่รู้ตัว
ฉินซือพูดขึ้นมาว่า “สองรอบที่ผ่านมา นายทำได้ยอดเยี่ยมมาก ถ้าครั้งนี้นายยังทำได้ดีอีก ฉันจะบอกให้โรงงานเลื่อนตำแหน่งให้นาย แล้วฉันก็จะมอบโควต้าพนักงานที่ได้รับสิทธิ์เรียนพิเศษให้นายด้วย”
สิทธิ์ในการเรียนพิเศษ?
หวังเซวียนเซวียนเงยหน้าขึ้นมาในทันใด เขาตอบรับด้วยความดีใจ “ขอบคุณมากนะครับ ผมจะตั้งใจให้เต็มที่เลย!”
“นายสมควรได้รับสิ่งนี้อยู่แล้ว” ฉินซือส่ายหน้าเล็กน้อย
หลังจากนั้น เขาก็หันไปมองสภาพแวดล้อมรอบข้าง ก่อนจะกระตุกแขนเสื้อลู่ฉิวเยว่และพูดว่า “พวกเรามาถึงแล้ว รีบลงจากรถกันเถอะ”
มาถึงแล้วเหรอ?
ลู่ฉิวเยว่กวาดตามองตึกรอบข้างด้วยความพิศวง เธอเดินเข้าไปในซอย แต่ก็ต้องขมวดคิ้วและถามว่า “ฉันบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันจะไปพักที่โรงแรม?”
ฉินซือทำหน้ายุ่งอย่างไม่เห็นด้วย ก่อนจะโอบไหล่เธออย่างแนบแน่นมากขึ้น “ผมมีบ้านอยู่ที่นี่นะ ผมจะปล่อยให้คุณไปนอนโรงแรมได้ยังไง”
หลังจากพูดจบแล้ว เขาก็จูงมือเธอตรงไปที่ประตูบ้าน รถยนต์ของเลขาหวังแล่นอย่างรวดเร็วมากกว่ารถสามล้อปั่น ในรถบรรจุกระเป๋าสัมภาระมาครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ เลขาหวังยืนรอต้อนรับพวกเขาอยู่ที่ประตูมาได้พักใหญ่แล้ว
“ก็ได้ค่ะ ฉันจะเชื่อคุณ” ลู่ฉิวเยว่ถอนหายใจออกมา เธอมองบ้านที่เขาพามาให้เข้าพัก บ้านหลังนี้มีขนาดไม่ใหญ่โตอะไร แต่เธอก็พอใจกับพื้นที่ลานหน้าบ้าน และยังมีห้องครัวขนาดใหญ่อยู่ทางด้านข้างอีกด้วย
ลู่ฉิวเยว่พูดยิ้ม ๆ ว่า “งั้นฉันจะจ่ายค่าเช่านะคะ”
“ลู่ฉิวเยว่ คุณคิดว่าผมเป็นใครกัน?” ฉินซือยิ่งมีสีหน้าไม่ชอบใจมากกว่าเดิม ใบหน้าของเขาบึ้งตึงเป็นอย่างยิ่ง
“ก็เป็นแฟนฉันไง” ลู่ฉิวเยว่เบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย
ฉินซือแค่นเสียงพูดออกมาอย่างเย็นชา “มาอยู่บ้านแฟน คุณไม่ต้องจ่ายเงินหรอก”
“แต่ว่า…” ลู่ฉิวเยว่อยากจะโต้แย้งอะไรบางอย่างออกไป
หวังเซวียนเซวียนที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นสีหน้าของว่าที่พี่เขยไม่ค่อยสู้ดี ก็เลยกลัวว่าทั้งสองคนจะทะเลาะกันจริง ๆ เขาจึงรีบกระตุกแขนเสื้อของลู่ฉิวเยว่ “พวกเราก็เหมือนครอบครัวเดียวกันแล้วนะครับพี่ อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย” ไม่งั้นฉินซืออาจจะพูดออกมาได้ว่าเธอไม่ไว้ใจแฟนของตัวเองหรือไง
“ผมเหนื่อยแล้ว ขอเข้าไปพักก่อนนะ” ฉินซือคว้ากระเป๋าสัมภาระของตัวเองและเดินนำเข้าไปในบ้าน
ลู่ฉิวเยว่ยืนใช้ความคิดอยู่เล็กน้อย สุดท้ายก็ทำได้เพียงแต่พยักหน้าตอบรับกลับไป