สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 147 การปรากฏตัวของแม่หวงฉีฉี
บทที่ 147 การปรากฏตัวของแม่หวงฉีฉี
ลู่ฉิวเยว่เป็นคนช่างพูดช่างเจรจา จึงสนิทสนมกับคุณตำรวจ ดังนั้นพวกเขาเลยคล้ายกับเป็นมิตรสหายกัน
“วันนี้ฉันแวะมาเยี่ยมน่ะค่ะ” ลู่ฉิวเยว่เดินยิ้มพร้อมกับถือถุงของฝากเข้าไปถุงใหญ่ “ฉันเอาขนมมาฝากด้วย”
“โอ๊ย เกรงใจจังเลยครับ!” กลุ่มนายตำรวจโบกไม้โบกมือ
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มและวางถุงขนมลงบนโต๊ะ “พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอคะ? ไม่เห็นต้องเกรงใจอะไรกันเลย ฉันมาขอบคุณที่พวกคุณคอยช่วยเหลือฉัน อีกอย่าง ของพวกนี้ก็แค่ขนมของกินเล่น ไม่ใช่สิ่งของราคาแพงอะไร”
สวีชางโจวยิ้มก่อนจะพูดขึ้นเป็นคนแรก “งั้นพวกเราก็คงต้องรับไว้ด้วยความเคารพเป็นอย่างยิ่ง ขอบคุณมากนะ ฉิวเยว่”
หลังจากพูดจบแล้ว เขาก็สังเกตเห็นวัตถุที่คล้ายกับแผ่นกระดาษที่วางอยู่ข้างถุงใส่ตลับขี้ผึ้งและถุงใส่ขนม “แผ่นพวกนี้คืออะไรกันครับ? กินได้หรือเปล่า?”
ทำไมเขาถึงไม่เคยเห็นมาก่อนเลยนะ?
“กินไม่ได้หรอกค่ะ” ลู่ฉิวเยว่หัวเราะออกมาในทันใด “นี่เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ในร้านขายยาของฉัน มันคือแผ่นพลาสเตอร์ที่ใช้แปะลดอาการปวดหลัง รวมไปถึงอาการปวดเท้า ร้านของเราวางขายมาได้พักใหญ่แล้ว ฉันก็เลยเอามาให้พวกคุณลองใช้ดูน่ะค่ะ”
แผ่นพลาสเตอร์?
กลุ่มนายตำรวจประหลาดใจเล็กน้อย พวกเขาเคยได้ยินมาแล้วว่าร้านขายยาจีนของลู่ฉิวเยว่มีขี้ผึ้งทาแก้ปวดขาย และในช่วงหลังก็มีแผ่นพลาสเตอร์แก้ปวดขายเช่นกัน นายตำรวจบนโรงพักเคยซื้อมาใช้งานและพบว่าพวกมันให้ผลลัพธ์ที่ดีมาก
แต่น่าเสียดายที่สินค้าเหล่านี้จะเก็บเอาไว้ขายให้แก่ลูกค้าประจำเท่านั้น ต่อให้พวกเขาอยากจะซื้อเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถซื้อหาได้อีกแล้ว
นายตำรวจจำนวนไม่น้อยเริ่มมีอายุมากขึ้น ร่างกายก็เริ่มปวดเมื่อยและมีอาการเคล็ดขัดยอก เมื่อเห็นว่าหญิงสาวนำขี้ผึ้งทาแก้ปวดและแผ่นพลาสเตอร์มามอบให้ พวกเขาจึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง
“ขอบคุณมากนะ ฉิวเยว่! คุณช่วยพวกเราได้มากเลยล่ะ!”
ลู่ฉิวเยว่โบกไม้โบกมือปฏิเสธอีกครั้ง “ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ ถ้าพวกคุณอยากได้มากกว่านี้ ก็ไปติดต่อบอกคุณลุงในร้านขายยาได้เลยนะคะ ฉันจะแจ้งเขาเอาไว้ให้ เขาต้องขายให้พวกคุณอย่างแน่นอน”
หลังจากนั้น กลุ่มนายตำรวจก็ได้พบกับเรื่องที่น่าประหลาดใจมากกว่าเดิม
“หา? เกิดอะไรขึ้นเหรอ ลู่ฉิวเยว่? ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงคิดอยากจะขายร้านอาหารขึ้นมาล่ะ?” สวีชางโจวถามด้วยความสงสัย เขาชอบรสชาติอาหารในร้านของลู่ฉิวเยว่จึงมักไปรับประทานเป็นประจำ เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาก็เห็นเช่นกันว่ามีป้ายประกาศขายแขวนอยู่หน้าร้านอาหารของเธอ
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มเล็กน้อย แล้วตอบว่า “ฉันอยากจะลองไปเปิดร้านในเมืองหลวงดูน่ะค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ยินดีด้วยนะ เชฟลู่!” สวีชางโจวเบิกตาโตและยิ้มกว้าง สีหน้าของเขาไม่ได้แสดงความประหลาดใจอีกแล้ว เขาก็พอจะเดาได้เช่นกันว่าอีกไม่นาน ลู่ฉิวเยว่คงจะต้องหาโอกาสไปเปิดร้านอาหารที่เมืองหลวงแน่นอน เธอเป็นคนมีความสามารถถึงขนาดนี้ ร้านเล็ก ๆ แบบนี้ไม่เหมาะกับเธอเลย
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มขอบคุณ หลังจากพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ เธอก็พูดออกมาด้วยความลังเลใจเล็กน้อยว่า “พ่อแม่ฉันเปิดร้านขายหมูตุ๋นอยู่ที่นี่ พวกท่านไม่ได้เข้าเมืองหลวงไปกับฉันด้วย เมืองหลวงกับที่นี่อยู่ห่างไกลกันมาก ฉันคงไม่มีเวลากลับมาดูแลพวกท่านสักเท่าไหร่…”
สวีชางโจวเข้าใจความหมายของเธอโดยทันที รีบตบหน้าอกตนเอง รับคำด้วยความหนักแน่นว่า “ไม่ต้องห่วงเลยนะ ฉิวเยว่มีพวกเราอยู่ที่นี่กันทั้งโรงพัก ยังจะกลัวเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่คุณอีกได้ยังไง?”
“ถูกต้องแล้ว เชฟลู่ ไม่ต้องห่วงนะ พวกเราจะช่วยดูแลพ่อแม่คุณเอง” นายตำรวจคนอื่น ๆ ก็ยิ้มยืนยันเป็นคำเดียวกัน ในเมื่อเธอช่วยเหลือพวกเขา พวกเขาก็ควรช่วยเหลือเธอเหมือนกัน
อีกอย่าง การดูแลประชาชนก็เป็นหน้าที่ของตำรวจอยู่แล้ว
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาอีกเล็กน้อย ก่อนจะโค้งตัวคำนับด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณมากเลยนะคะ”
เมื่อได้รับคำยืนยันว่านายตำรวจเหล่านี้จะคอยดูแลพ่อแม่แทนเธอแล้ว หญิงสาวก็รู้สึกเบาใจมากขึ้น
บ่ายวันนั้น ตอนที่ลู่ฉิวเยว่กลับบ้าน เธอก็พบว่าแม่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ ป้าลู่ก็นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเช่นกัน สีหน้าเต็มไปด้วยความร้อนรน
“เกิดอะไรขึ้นอีกคะเนี่ย?”
ลู่ฉิวเยว่กระพริบตาด้วยความสงสัย เดินตรงเข้าไปหาแม่แล้วนั่งลง
แต่แม่ของเธอยังไม่ทันได้พูด ป้าลู่ก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อนว่า “ฉิวเยว่ ช่วยพูดกับแม่เธอหน่อยสิ หรงหรงของฉันกำลังจะคลอดแล้ว จะช่วยเหลือกันหน่อยไม่ได้หรือไง?”
“หุบปากซะ!” แม่ของลู่ฉิวเยว่พูดด้วยความโกรธจัดทันที
ป้าลู่กับลูกสาวเพิ่งจะวางแผนจับตัวลู่ฉิวเยว่เมื่อไม่กี่วันก่อน แม่ของเธอจึงยังโกรธไม่หาย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเตรียมตัวเอาไว้ก่อน เธอก็ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลู่ฉิวเยว่บ้าง!
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะเยาะใส่แขกผู้มาเยือน “ไม่มีทาง! ทำไมพวกเราต้องช่วยป้าด้วย”
แม่ของเธอไม่อยากพูดกับป้าลู่อีกต่อไป จึงไล่ป้าลู่ออกไปจากบ้าน
ป้าลู่โกรธจนควันออกหู ยกมือชี้หน้าแม่ของลู่ฉิวเยว่พลางกัดฟันกรอด “พวกเราเป็นญาติกันนะ! ทำไมต้องใจดำขนาดนี้ด้วย?”
แม่ของลู่ฉิวเยว่หัวเราะเยาะตอบกลับไป “เป็นญาติกันแน่นะ? ฉันไม่อยากนับญาติกับคนที่พยายามใส่ร้ายลูกสาวฉัน! ฉันไม่อยากมีญาติแบบเธอ!”
พูดมาถึงตรงนี้ หญิงวัยกลางคนก็กระแทกประตูปิดดังปัง ทำเอาป้าลู่ต้องผงะถอยหลังไปทันที
ลู่ฉิวเยว่ส่ายหน้าและถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนจะเดินเข้าครัวไปทำอาหาร
แต่แล้วเธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปถามแม่ว่า “วันนี้พ่อจะกลับมากินข้าวไหมคะ?”
ในเมื่อพ่อแม่ของเธอตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป เธอจึงเปิดโรงงานผลิตเมล็ดแตงโมทอดต่อไป พ่อกับคุณลุงจะช่วยกันดูแล วันไหนถ้างานไม่ยุ่ง พ่อกับคุณลุงก็จะกลับมารับประทานอาหารกลางวันที่บ้านเสมอ
คนเป็นแม่ส่ายหน้า “วันนี้ไม่กลับมาหรอก ทำกินกันแค่สองคนก็พอจ้ะ”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เธอก็กลับเข้าห้องไปเก็บของ
อีกไม่กี่วัน การแข่งขันทำอาหารรอบต่อไปก็จะมาถึงแล้ว เธอต้องรีบเดินทางไปเตรียมตัวในเมืองปักกิ่ง เธอไม่สามารถล่าช้าได้อีกแล้ว
ในคืนนั้น หลังทานอาหารค่ำเสร็จ ลู่ฉิวเยว่ก็เดินออกมาส่งฉินซืออย่างที่หาได้ยากยิ่ง เขาถึงกับเลิกคิ้วสูง เปิดประตูรถ และบอกให้เธอเข้ามานั่งในรถด้วยกัน “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า “มีสิ! ฉันอยากให้คุณช่วยหาทำเลเปิดร้านดี ๆ ในเมืองหลวงให้หน่อย” หญิงสาวลองคำนวณดูแล้ว ยิ่งเธอรีบจับจองพื้นที่ได้รวดเร็วมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งได้ทำเลดีมากเท่านั้น
ฉินซือคุ้นเคยกับปักกิ่งมากกว่าเธอ ถ้าเขาช่วยเธอ เธอก็คงเบาแรงได้อีกเยอะ
ฉินซือจับมือของเธอแน่น เล็บขาวสะอาดและนิ้วเรียวยาว อีกทั้งยังฝ่ามือนุ่มนิ่ม แตกต่างจากมือของเขาโดยสิ้นเชิง
“ได้สิ” ชายหนุ่มยิ้ม ยกมือของหญิงสาวขึ้นมาแนบข้างแก้มของตัวเองและจ้องมองเธอตาไม่กระพริบด้วยสายตาลึกล้ำ
อาจเป็นเพราะว่าบรรยากาศในคืนนี้มันช่างงดงาม ลู่ฉิวเยว่ในสายตาของเขาจึงสวยงามมากกว่าเดิมและทำให้เขาอดกลืนน้ำลายไม่ได้
ริมฝีปากร้อนอุ่นประกบลงไปบนเรียวปากบางเฉียบ อากาศในรถดูจะร้อนระอุขึ้นมาในทันใด
“พอแล้ว!” หลังจากนั้นพักหนึ่ง เสียงแมวน้อยข้างถนนก็ดังขึ้นนอกหน้าต่างรถยนต์ ลู่ฉิวเยว่กลับมาได้สติ รีบจับข้อมือของเขาและดึงมือของเขาออกไปจากชายเสื้อของเธอ “ฉันจะกลับแล้ว”
ฉินซือมีดวงตาแดงก่ำ หายใจหอบ เขายังคงจับมือของเธอแน่นไม่ยอมปล่อย
เมื่อรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ใบหน้าของลู่ฉิวเยว่ก็กลายเป็นสีแดงระเรื่อ เธอพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะสะบัดเขาและเปิดประตูรถหลบหนีไปด้วยความตื่นตระหนก พร้อมกับหันมาดุเขาว่า “คนลามก!”
ฉินซือหัวเราะในลำคอ มองเธอเดินขึ้นบันไดบ้านไป เขาเปิดหน้าต่างรับลมยามค่ำคืนอยู่พักใหญ่ เมื่อสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว เขาจึงค่อย ๆ ขับรถจากไป
“ฉิวเยว่” เช้าวันต่อมา ลู่ฉิวเยว่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่เธอพบว่าแม่ของหวงฉีฉีได้มาหาตนเองถึงที่บ้าน
เธอยิ้มรับและเปิดประตูออกกว้าง “คุณน้ามาได้ยังไงคะเนี่ย เชิญเข้ามานั่งก่อนสิคะ”
แม่ของหวงฉีฉีก็ไม่ได้เกรงใจเลยสักนิด หลังจากทักทายแล้ว หล่อนก็เดินเข้ามานั่งในห้องนั่งเล่นทันที
“คุณน้ามีอะไรจะพูดกับฉันเหรอคะ?” ลู่ฉิวเยว่ถามพร้อมกับเทน้ำอุ่นใส่แก้วแล้วไปวางลงบนโต๊ะเบื้องหน้าแขกผู้มาเยือน