สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 141 นักบัญชีอยากตาย
บทที่ 141 นักบัญชีอยากตาย
หญิงชราเห็นว่าลู่ฉิวเยว่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ จึงหวาดกลัวว่าบุตรชายของตนเองอาจจะต้องติดคุกจริง ๆ เธอกัดฟันและพูดว่า “งั้นเราขอคืนเป็นเมล็ดแตงโมแทนได้ไหม?”
“ทำไมไม่ทำก่อนหน้านี้ล่ะคะ?” ลู่ฉิวเยว่ชำเลืองมองทั้งสองคนเบา ๆ ก่อนจะปิดประตูโดยทันที
วันต่อมา ลู่ฉิวเยว่กำลังเดินตรวจโรงงานทำเมล็ดแตงโมทอด พ่อของเธอก็เดินเข้ามาพร้อมกับไม้เท้าในมือและพูดว่า “นักบัญชีกำลังรออยู่หน้าประตูโรงงาน”
ลู่ฉิวเยว่เบิกตาโตและเดินออกไปดู คู่แม่ลูกที่ไปหาเธอถึงที่บ้านเมื่อวานนี้ได้มาปรากฏตัวขึ้นที่นี่พร้อมกับกระสอบใบหนึ่ง
“แค่นี้คงพอใช่ไหม?” สวีซูโยนกระสอบบรรจุเมล็ดแตงโมลงบนพื้นด้วยความเกรี้ยวกราด ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มมุมปากและพูดเสียงดังว่า “อย่าเพิ่งไปค่ะ”
หลังจากพูดจบแล้ว เธอก็เดินเข้าไปแก้มัดปากกระสอบและหยิบเมล็ดแตงโมขึ้นมาดูกำมือหนึ่ง
เมื่อเห็นเมล็ดแตงโมที่มีขนาดเล็กจิ๋ว พ่อของลู่ฉิวเยว่ก็ชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ “นายจะบ้าหรือไง? เมล็ดแตงโมแบบนี้จะเอามาใช้ได้ยังไง?”
หญิงชรายืนเท้าเอวตอบกลับมาว่า “ทำไมจะใช้ไม่ได้ เมล็ดแตงโมมันก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ!”
ลู่ฉิวเยว่ก้าวเดินออกมาข้างหน้า “แต่เมล็ดแตงโมที่โรงงานของเราใช้ต้องผ่านมาตรฐานเท่านั้นค่ะ ไม่ใช่ว่าจะเอาเมล็ดแตงโมมาจากที่ไหนก็ได้ คุณต้องเอาเมล็ดแตงโมคุณภาพเดียวกันมาคืนเราด้วยสิ!”
“ลู่ฉิวเยว่ เธอกำลังจะบังคับให้ครอบครัวของฉันไปตายหรือไง!” หญิงชราทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นดินหน้าตาเฉย “ครอบครัวของเราไม่ว่าจะเป็นเด็กน้อยหรือคนแก่ ล้วนแต่มีสวีซูหาเลี้ยงเพียงคนเดียวเท่านั้น เธอเป็นญาติของพวกเรา ไม่ช่วยเหลือกันไม่ว่าหรอก แต่ทำไมต้องไปแจ้งความด้วย เธอมันเลือดเย็นเกินไปแล้ว!”
ตอนนี้เป็นเวลาพักกินอาหารกลางวัน คนงานกำลังเริ่มเดินออกมาหาของกิน เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงโวยวายของหญิงชรา บรรดาคนงานก็รีบมารวมตัวกันด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ในกลุ่มคนงานเหล่านั้นย่อมมีคนที่รู้เรื่องราวการยักยอกเมล็ดแตงโม พวกเขาจึงคอยอธิบายให้คนอื่น ๆ เข้าใจ แล้วไม่นานหลังจากนั้น กลุ่มคนงานก็จ้องมองไปที่หญิงชราด้วยสายตาเหยียดหยาม
“นี่! ผมขอแนะนำนะ คุณหนูลู่ ทำไมคุณต้องไปพูดคุยกับพวกเขาด้วย? เรียกตำรวจมาลากตัวไปเลยดีกว่า!” ใครคนหนึ่งให้คำแนะนำขึ้นมาเสียงดัง
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะในลำคอ กำลังจะหันไปพูดคุยกับเด็กสาวในโรงงาน
หญิงชราตื่นตกใจ รีบคว้าข้อมือของลูกชายวิ่งหนีไปทันที
ถ้าเธอต้องถูกจับตัวไปสถานีตำรวจจริง ๆ เธอก็จะอับอายชาวบ้าน แล้วครอบครัวของเธอก็จะกลายเป็นตัวตลกในหมู่บ้าน แล้วหญิงชราคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านก็จะต้องหัวเราะเยาะเธออย่างแน่นอน
“เอาล่ะ ตอนนี้ตัวป่วนกลับไปแล้ว พวกเราไปหาอะไรกินกันเถอะ” พ่อของลู่ฉิวเยว่ยิ้มพร้อมกับตบไหล่ลูกสาวเบา ๆ
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าและจ้องมองไปยังประตูทางเข้าโรงงานอย่างใช้ความคิด เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติอยู่เสมอ
“พ่อไปกินก่อนเถอะ เดี๋ยวหนูขอเดินตรวจรอบ ๆ ก่อน” เธอปฏิเสธคำเชิญของผู้เป็นพ่อแล้วหันหน้ากลับมาเดินออกไปนอกโรงงาน
ในคืนนั้น ทั้งครอบครัวรับประทานอาหารค่ำกันอย่างมีความสุข ลู่ฉิวเยว่เป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่นั่งใจลอย
แม่ของเธอถามด้วยความเป็นห่วง “อาหารไม่อร่อยเหรอ ฉิวเยว่? ให้แม่ทำอย่างอื่นให้กินดีไหม?”
ลู่ฉิวเยว่ถอนหายใจและบอกเล่ารายละเอียดที่เธอค้นพบในวันนี้ “หนูให้คนไปตรวจสอบดูแล้วค่ะ ปรากฏว่าบัญชีพวกนั้นคนที่ทำก็คือลู่เจี๋ยหรง”
“เด็กร้ายกาจคนนี้อีกแล้วเหรอ!” แม่ของลู่ฉิวเยว่ไม่คิดเลยว่าสถานการณ์จะออกมาเป็นเช่นนี้ เธอโมโหเป็นอย่างยิ่ง อยากจะจับเด็กคนนั้นมาสั่งสอนเหลือเกิน
คนเป็นพ่อมีสีหน้าย่ำแย่ ส่ายศีรษะด้วยความผิดหวัง ลู่เจี๋ยหรงคนนี้หาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่ตอนเป็นเด็กก็ดูจะเป็นคนดี แล้วทำไมถึงได้โตมาเป็นคนแบบนี้ได้นะ?
“แล้วพวกเราจะทำยังไงดี?” คนเป็นแม่สูดหายใจลึก ขมวดคิ้วทำหน้ายุ่ง
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะในลำคอเบา ๆ สีหน้าเย็นชาขึ้นมาในทันใด “หนูก็ต้องสั่งสอนให้แม่นั่นเป็นคนที่ดีมากขึ้นไงคะ!”
สำหรับกับคนอย่างลู่เจี๋ยหรง ถ้าไม่สั่งสอนให้รู้จักบทเรียน ก็คงไม่มีวันรู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ลู่เจี๋ยหรงคิดว่าตัวเองฉลาดมาจากไหนกัน
“อย่าเลย!” พ่อของเธอไม่สนับสนุนแผนการที่ใช้ความรุนแรง “หากฝ่ายนั้นเอาเรื่องนี้ไปป่าวประกาศต่อคนอื่น ภาพลักษณ์ของลูกอาจจะเสียได้นะ”
ลู่ฉิวเยว่ใจเย็นลงขึ้นมาในทันใด เธอเองก็รู้สึกว่าวิธีใช้ความรุนแรงไม่ใช่วิธีการที่ดีเช่นกัน แต่เธอก็หันไปมองหน้าพ่อพลางพูดว่า “แต่หนูกลัวว่าเรื่องมันคงไม่ง่ายขนาดนั้นสิคะ”
แม่ของเธอจ้องมองด้วยความประหลาดใจ กำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
ลู่ฉิวเยว่ส่ายศีรษะ เธอพูดโดยไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติมว่า “ตอนนี้พวกเราต้องรอคอยด้วยความอดทนค่ะ หนูเชื่อว่าเดี๋ยวแม่ลูกคู่นั้นก็ต้องมาหาเราเอง แล้วหางจิ้งจอกของพวกนั้นก็จะโผล่ออกมา”
พ่อแม่ของลู่ฉิวเยว่พยักหน้าด้วยความมึนงง
เช้าวันต่อมา เสียงเคาะประตูดังขึ้น แม่ของลู่ฉิวเยว่แอบดูผ่านทางตาแมว แล้วดวงตาก็ต้องเบิกโต เพราะว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูในเวลานี้ ก็คือสองแม่ลูกที่ลูกสาวของเธอเพิ่งจะพูดถึงเมื่อคืนนั่นเอง!
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าให้ แม่ของเธอจึงรีบเปิดประตูให้คนทั้งสองเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“พี่สะใภ้ มาทำอะไรที่นี่เหรอ?” แม่ของลู่ฉิวเยว่แกล้งทำเป็นถามออกไปเหมือนไม่รู้จุดประสงค์ของอีกฝ่าย
แม่ของลู่เจี๋ยหรงเดินตามเข้ามาในบ้านพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย “จะมาทำอะไรได้อีกล่ะ ฉันก็มีเรื่องสำคัญจะมาบอกเธอนี่ไง”
“หืม?” แม่ของลู่ฉิวเยว่แกล้งทำเป็นประหลาดใจ
“ได้ข่าวว่าเธอไล่นักบัญชีคนเก่าออกไปแล้วใช่ไหม?” ป้าลู่หยิบขนมที่วางอยู่บนโต๊ะยัดใส่มือลู่เจี๋ยหรง จากนั้นตนเองจึงหยิบเข้าปากอีกชิ้นหนึ่ง “ฉันได้ยินว่าเขาอยากจะฆ่าตัวตายด้วยล่ะ!”
“เกิดอะไรขึ้นคะ?” ลู่ฉิวเยว่รีบลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
พ่อของเธอยังคงนั่งดื่มน้ำชาต่อไปด้วยความเยือกเย็นไม่เปลี่ยนแปลง “งั้นก็ปล่อยให้ตายไปเถอะ คนชั่วช้าแบบนั้นอยู่ไปก็ไร้ประโยชน์!”
ป้าลู่หยุดชะงัก ไม่คิดเลยว่าพ่อของลู่ฉิวเยว่จะพูดออกมาด้วยความเมินเฉยขนาดนี้
ลู่เจี๋ยหรงก็รู้สึกตื่นกลัวความเฉยชาของพ่อลู่ฉิวเยว่ขึ้นมาแล้ว เธอไม่กล้าหยิบขนมใส่ปากเลยด้วยซ้ำ
ป้าลู่รีบพูดออกมาด้วยความเป็นกังวลทันที “นี่มันเรื่องความเป็นความตายเชียวนะ ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้น ภาพลักษณ์โรงงานของพวกเธอได้เสื่อมเสียกันหมดพอดี และก็อาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจร้านอาหารอีกด้วย”
“ก็เรื่องนี้มีพวกเรารู้กันอยู่แค่นี้ ถ้าไม่มีคนปากหมาเอาไปบอกชาวบ้าน แล้วคนอื่นจะรู้ได้ยังไง?” พ่อของลู่ฉิวเยว่พูดขึ้นมาด้วยความไม่เข้าใจ
ป้าลู่ยิ่งมีสีหน้าไม่สู้ดีมากกว่าเดิม ฝ่ามือของเธอเปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
เมื่อเห็นแม่ของเธอตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก ลู่เจี๋ยหรงก็ได้แต่แอบบ่นอยู่ในใจและพูดขึ้นมาด้วยความเศร้าโศกว่า “หนูว่าพวกลุงให้เงินชดเชยเขาไปสักก้อนก็พอแล้วค่ะ นอกจากจะช่วยยับยั้งเรื่องเลวร้ายได้แล้ว ยังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่โรงงานแล้วก็ร้านอาหารอีกด้วยนะคะ ไม่งั้นถ้ามีคนรู้ว่านักบัญชีไปฆ่าตัวตายเพราะโดนพวกคุณกดดัน ยังจะมีใครกล้ามาทำงานกับพวกคุณอีกเหรอ?”
“ฉันจะไม่จ่ายเงินอะไรทั้งนั้น!” พ่อของลู่ฉิวเยว่เบิกตาโตด้วยความโกรธแค้น เขาวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะอย่างแรงจนเกิดเสียงดังเคล้ง “คนตายพูดไม่ได้ มันอยากตายก็ให้ตายไป ทำไมฉันต้องจ่ายเงินด้วย!”
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาด้วยความชั่วร้าย “ฉันเองก็ไม่อยากเสียเงินเพิ่มเหมือนกัน”
ลู่เจี๋ยหรงได้แต่จ้องมองไปที่แม่ของลู่ฉิวเยว่ คิดว่าหญิงผู้นี้น่าจะเป็นคนที่ใจอ่อนมากที่สุด แต่แล้วแม่ของลู่ฉิวเยว่ก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของลูกสาวพร้อมทั้งกำชับว่า “ครอบครัวของฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนักบัญชีคนนั้นอีกแล้ว”
“คุณน้าจะใจดำขนาดนี้ได้ยังไงกันคะ เขาเป็นญาติของคุณน้าไม่ใช่เหรอคะ!” ลู่เจี๋ยหรงยังคงพยายามโน้มน้าวให้อีกฝ่ายใจอ่อนลง “ถ้าเขาต้องตายเพราะครอบครัวของคุณน้าขึ้นมา ภาพลักษณ์ของคุณน้าก็จะเสื่อมเสีย! แล้วคุณน้าจะกลับไปที่หมู่บ้านเยว่เหลียงอีกได้ยังไง?”