สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 139 ใส่ร้ายป้ายสี
บทที่ 139 ใส่ร้ายป้ายสี
“ในเมื่อตอนนี้ทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว เราก็มาจัดการเรื่องราวให้จบกันไปเลยดีกว่า” นายตำรวจส่งเสียงไอออกมาเล็กน้อย ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะออกมาเบา ๆ “น้องชายฉันเพิ่งกลับมาจากเมืองหลวงได้ไม่กี่วัน ไม่เคยพบผู้หญิงคนนี้มาก่อนเลยค่ะ แต่คนพวกนั้นมาหาว่าสองคนนี้กำลังพลอดรักกัน ก็ชัดเจนแล้วนะคะว่าพวกเขาต้องการจะใส่ร้ายหวังเซวียนเซวียน!”
พ่อของเสี่ยวหวงเหมามองเธอด้วยความรังเกียจทันที “เธอรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร? เธอกล้าดียังไงมาใส่ความลูกชายฉัน ใครให้ความกล้าหาญกับเธอแบบนี้?”
“คุณเป็นคนของกรมอุตสาหกรรมและการค้าใช่ไหมคะ?” ลู่ฉิวเยว่มองป้ายเล็กๆ ที่ติดอยู่บนหน้าอกของฝ่ายตรงข้ามและหัวเราะเยาะต่อไป “ทำไมคะ? แค่คุณทำงานอยู่ในกรมอุตสาหกรรมและการค้า ก็มีสิทธิพิเศษปล่อยให้ลูกชายไปลวนลามผู้หญิงคนไหนก็ได้งั้นเหรอ?”
พ่อของเสี่ยวหวงเหมานึกว่าผู้หญิงคนนี้จะกลัวเมื่อรู้ว่าเขาทำงานที่ไหน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะตอบกลับมาอย่างนี้ ดังนั้นเขาจึงตบโต๊ะด้วยความไม่พอใจ ตั้งใจจะทำให้เธอหวาดกลัวมากขึ้น
“เงียบกันได้แล้ว!” นายตำรวจชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ ชี้นิ้วออกคำสั่งให้กับกลุ่มคนที่กำลังโวยวาย ก่อนที่จะสั่งลูกน้องว่า “จับคนพวกนี้แยกห้องก่อน ให้แต่ละฝ่ายได้สงบสติอารมณ์”
เมื่อได้ยินนายตำรวจพูดเช่นนั้น ลู่ฉิวเยว่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางขัดขืนใด ๆ เธอพาหวังเซวียนเซวียนเข้าไปนั่งในอีกห้องหนึ่งด้วยความเชื่อฟังเป็นอย่างดี
ส่วนในอีกห้อง เมื่อประตูปิดลงเรียบร้อย พ่อของเสี่ยวหวงเหมาก็กระซิบถามลูกชายด้วยความไม่พอใจว่า “ไอ้ลูกเวร แกทำจริง ๆ หรือเปล่า?”
เสี่ยวหวงเหมาทำปากยื่น “ทำจริงครับพ่อ”
“แกนี่มัน!” คนเป็นพ่อตบหัวลูกชายอย่างแรง ทำเอาลูกชายหัวสั่น ก่อนถามว่า “แล้วแกจะไปใส่ความเขาทำไม?”
เสี่ยวหวงเหมาตอบกลับมาด้วยความขุ่นเคืองใจว่า “ก็ใครใช้ให้มันมาขัดขวางผมล่ะ อีกอย่าง ถ้ามันไม่เข้ามายุ่ง ผมก็คงได้มีความสุขกับผู้หญิงคนนั้นไปนานแล้ว นี่ไม่ใช่ความผิดผมสักหน่อย!”
เมื่อเห็นสีหน้าของพ่อที่กำลังเคร่งเครียดมากขึ้น เสี่ยวหวงเหมาก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย ต้องรีบยิ้มประจบประแจงอย่างรวดเร็ว “พ่อสอนผมเองไม่ใช่เหรอครับว่ามีปัญหาเราต้องพุ่งชน ผมก็เลยพุ่งชนตัวปัญหาของผมนี่ไง ผมทำตามที่พ่อสอนทุกอย่างเลยนะ”
“เออ แกมันทำได้ดีเหลือเกิน!” ชายวัยกลางคนถอนหายใจ ก่อนจะยิ้มด้วยความอ่อนโยนมากขึ้นเล็กน้อย กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่พ่ออยู่ทั้งคน รับรองว่าแกไม่มีปัญหาเด็ดขาด!”
เสี่ยวหวงเหมายิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ
แต่โชคร้ายที่คำพูดระหว่างสองพ่อลูก มีนายตำรวจได้ยินเข้าพอดี
เมื่อได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากลำโพงที่ตั้งอยู่ตรงหน้า นายตำรวจอาวุโสที่เป็นคนพาสองพ่อลูกเข้าไปอยู่ในห้องนั้นก็ยิ้มออกมาทันที เขารีบสั่งให้ลูกน้องปล่อยตัวทุกคนออกมาอย่างรวดเร็ว
“มีอะไรจะเถียงอีกไหม?” นายตำรวจเล่นเทปบันทึกเสียงให้ทุกคนฟัง บทสนทนาที่ถูกบันทึกอยู่ในเทปคือหลักฐานมัดตัวสองพ่อลูกได้เป็นอย่างดี
พ่อของเสี่ยวหวงเหมาคิดไม่ถึงเลยว่าในห้องจะมีเครื่องดักฟังติดอยู่ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเดือดดาล แต่เขาก็รีบสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็ว
เขาหัวเราะในลำคอ หันไปพูดกับพ่อแม่ฝ่ายหญิงว่า “พวกคุณอยากได้เงินรึเปล่า? ผมจะจ่ายค่าทำขวัญให้ 200 หยวน น่าจะพอนะ?”
เมื่อได้ยินดังนี้ ลู่ฉิวเยว่กับหวังเซวียนเซวียนก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องของพวกเธอ จึงไม่มีใครพูดอะไรออกมา
ใบหน้าของเด็กสาวซีดขาวขึ้นมาอีกครั้ง เธอเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
“พอค่ะ พอมาก ๆ เลย” กลับกัน เมื่อแม่ของหวงฉีฉีได้ยินคำว่า 200 หยวน เธอก็ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข ตอบตกลงโดยไม่ลังเล เงิน 200 หยวนเทียบเท่ากับรายได้ครึ่งปีของพวกเขาทั้งครอบครัวเลยทีเดียว
หวงฉีฉีมองหน้าแม่ด้วยความเหลือเชื่อ
“ถ้าอย่างนั้น เรื่องนี้พวกเราก็เลิกแล้วต่อกัน” พ่อของเด็กสาวก็พูดขึ้นมาเช่นกัน ถ้อยคำเหล่านั้นทำให้น้ำตาของเธอไหลออกมาจริง ๆ
เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของลูกสาว คนเป็นพ่อก็ขมวดคิ้วและถามด้วยความไม่พอใจว่า “อะไร? แกไม่อยากได้เงินหรือไง?”
หวงฉีฉีสะดุ้งเฮือก ก้มหน้าก้มตาและไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว
พ่อของเธอหัวเราะด้วยความเย็นชา หันหน้ามองไปทางอื่น
ส่วนเสี่ยวหวงเหมาส่งยิ้มให้เธออย่างชั่วร้าย
พ่อของเขาควักเงินออกมาโยนทิ้งไว้บนโต๊ะด้วยความรังเกียจ ก่อนจะหันหลังเดินกลับออกไป
“เดี๋ยวก่อนค่ะ!” ลู่ฉิวเยว่ส่งเสียงหัวเราะเยาะขึ้นมาทันที “คุณยังไม่ได้ขอโทษพวกเราเลย คิดจะกลับแล้วเหรอคะ?”
“ให้ขอโทษพวกเธอเนี่ยนะ? เธออายุเท่าไหร่?” พ่อของเสี่ยวหวงเหมาหันกลับมามองหญิงสาวด้วยสายตาเหยียดหยาม ไม่ต่างจากกำลังมองวัตถุสิ่งของชั้นต่ำ “หรือว่าลูกชายของฉันไปทำอะไรเธอเอาไว้ด้วยเหมือนกัน?”
ก่อนที่ลู่ฉิวเยว่จะทันได้พูดคำใด นายตำรวจที่อยู่ทางด้านหลังก็คำรามด้วยความโกรธว่า “พูดจาแบบนี้หมายความว่ายังไง? ให้ความเคารพกันหน่อย! ลูกชายคุณใส่ร้ายผู้อื่น ถ้าวันนี้พวกคุณไม่ขอโทษ ก็อย่าคิดได้กลับออกไปจากโรงพักอีกเลย!”
พ่อของเสี่ยวหวงเหมากัดฟันกรอด ผลักลูกชายออกมาข้างหน้าอย่างแรง พูดด้วยความไม่พอใจว่า “ขอโทษซะ”
เสี่ยวหวงเหมาไม่อยากขอโทษ เขายืนเม้มริมฝีปากแน่น จ้องมองหวังเซวียนเซวียนด้วยแววตาอาฆาต
ลู่ฉิวเยว่ยกมือกอดอก เชิดหน้าจ้องมองเสี่ยวหวงเหมาไม่ต่างจากกำลังมองตัวตลก สายตาของเธอยิ่งทำให้เสี่ยวหวงเหมารู้สึกโกรธแค้นมากกว่าเดิม
“อะไร? ไม่อยากขอโทษใช่ไหม?” นายตำรวจอาวุโสตบโต๊ะด้วยความเกรี้ยวกราด ทำเอาเสี่ยวหวงเหมาสะดุ้งเฮือก ต้องรีบก้มหัวลงโดยทันที
“ขอโทษ” เขากระซิบออกมาเบา ๆ
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะเยาะ “นี่เสียงคนหรือเสียงยุงเนี่ย? ทำไมเสียงไม่ดังเหมือนตอนข่มขู่คนอื่นเลยล่ะ”
เสี่ยวหวงเหมาเงยหน้าขึ้นมาด้วยความโกรธแค้น กำลังจะพูดถ้อยคำที่หยาบคายออกมา แต่ก็พบว่านายตำรวจอาวุโสกำลังจ้องมองมาด้วยความสนใจ
เขาจึงต้องกัดฟันและตะโกนใส่หวังเซวียนเซวียนว่า “ฉันขอโทษ พอใจแล้วหรือยัง?”
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะอย่างเย็นชาเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยผ่านไป
“ก็ได้ พวกเรากลับกันเถอะ” เธอหันกลับมามองหน้าหวังเซวียนเซวียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยช้ำ ไม่ทราบเลยว่าเขาบาดเจ็บตรงอื่นอยู่อีกหรือเปล่า เธออาจจะต้องส่งเขาไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล
หวังเซวียนเซวียนพยักหน้าและกำลังจะเดินกลับออกจากโรงพัก
“นี่! เดี๋ยวก่อนสิ!” เมื่อเห็นเช่นนั้น แม่ของหวงฉีฉีก็รีบวิ่งมาเรียกอย่างรวดเร็ว
หญิงวัยกลางคนเดินมาส่งยิ้มให้แก่ลู่ฉิวเยว่ “ขอบคุณสำหรับวันนี้มากนะคะ คุณทิ้งที่อยู่ไว้ให้เราหน่อยเถอะ ถ้ามีเวลา พวกเราจะไปเยี่ยมแน่นอน”
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ไม่เป็นไรค่ะ พวกคุณพาลูกสาวกลับไปพักผ่อนเถอะ”
ลู่ฉิวเยว่แอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ เธอไม่เชื่อว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการจะขอบคุณเธอจริง ๆ เพราะคนที่เห็นเงินสำคัญมากกว่าศักดิ์ศรีของลูกสาว ย่อมทำเรื่องที่คนธรรมดาไม่ทำอยู่แล้ว
และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เธอคิดจริง ๆ พ่อแม่ของหวงฉีฉีไม่ได้อยากจะขอโทษหรือขอบคุณเธอสักนิด พวกเขาแค่เห็นว่าลู่ฉิวเยว่สวมใส่เสื้อผ้าราคาแพงและมีลักษณะเหมือนเป็นคนรวย จึงอยากจะเข้ามาตีสนิทเท่านั้น
“แต่คุณช่วยชีวิตลูกสาวของพวกเราเอาไว้นะครับ ยังไงพวกเราก็ต้องไปเยี่ยมขอบคุณ” พ่อของเด็กสาวหัวเราะออกมาอย่างปลอดโปร่งใจ
พ่อแม่ของเด็กสาวเดินตามพวกของลู่ฉิวเยว่มาไม่ห่าง ลู่ฉิวเยว่รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เธอยังคงปฏิเสธต่อไป
เมื่อแม่ของหวงฉีฉีเห็นว่าเข้าหาลู่ฉิวเยว่ไม่สำเร็จ สายตาของเธอจึงหันมาจ้องมองที่หวังเซวียนเซวียน
ถึงเด็กคนนี้ไม่น่าจะมีเงินสักเท่าไหร่ แต่เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับลู่ฉิวเยว่ ถ้าได้แต่งงานกับลูกสาวของพวกเธอ ครอบครัวของเธอก็จะได้เป็นญาติกับลู่ฉิวเยว่อยู่ดี
แม่ของหวงฉีฉีผลักไหล่ลูกสาวออกมาและกระซิบข้างหูว่า “นี่ก็เพื่อผลประโยชน์ของตัวแกเองนะ แกไปขอเบอร์ติดต่อของพวกเขาซะ บอกว่าวันหน้า พวกเราจะเอาของขวัญไปขอบคุณ”
หวงฉีฉีไม่เชื่อเช่นกันว่าแม่ตัวเองจะเอาของขวัญไปขอบคุณอีกฝ่าย แต่เธอก็อยากได้ข้อมูลติดต่อของหวังเซวียนเซวียนจริง ๆ ดังนั้นเธอจึงก้าวเดินออกไปข้างหน้า
“พี่ชายคะ ช่วยทิ้งเบอร์โทรศัพท์ของคุณไว้ให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
เธอเฝ้ามองด้วยความหมดหวัง หวังเซวียนเซวียนไม่สามารถปฏิเสธได้ ดังนั้นเขาจึงให้เบอร์โทรศัพท์บ้านไว้กับเธอ