สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 136 การมาเยือนของพ่อแม่ฉินซือ
บทที่ 136 การมาเยือนของพ่อแม่ฉินซือ
ฉินซือต้องไปฟ้องแม่มาแน่ ๆ!
ฉินเซียวเขวี้ยงแจกันบนโต๊ะทิ้งลงพื้น แจกันแตกกระจาย ดอกไม้กระเด็นกระดอนเละเทะไปหมด
ณ ห้องเช่าแห่งหนึ่ง
หลอดไฟสีส้มเปิดสว่าง ในห้องดูอบอุ่น ดวงจันทร์ลอยตัวอยู่นอกหน้าต่าง ดวงดาวเป็นประกายระยิบระยับ
ค่ำคืนสวยงาม ถ้าไม่เกิดเรื่องขึ้นในวันนี้ ลู่ฉิวเยว่ก็คงมีอารมณ์มานั่งรับชมความสวยงามของดวงดาว แต่ตอนนี้เธอแค่อยากเช็ดผมให้แห้งและเข้านอนเท่านั้น เธอไม่อยากคิดถึงเรื่องอื่น ๆ อีกแล้ว ลู่ฉิวเยว่ต้องการจะตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ที่สดใส
แต่ความหวังของเธอก็ไม่ได้เป็นจริง
ลู่ฉิวเยว่เช็ดผมยังไม่ทันแห้ง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ลู่ฉิวเยว่ขมวดคิ้ว หันไปมองที่ประตูและถามด้วยความไม่ไว้ใจ “นั่นใครคะ?”
“ผมเอง”
ได้ยินเสียงไอแห้ง ๆ อยู่หน้าประตู เป็นเสียงที่คุ้นเคย
ลู่ฉิวเยว่มีสีหน้าอ่อนโยนลง เธอลุกจากเตียงและสวมใส่รองเท้าแตะไปเปิดประตู “คุณมาทำอะไรที่นี่ ทำไมไม่อยู่บ้าน?”
“ผมอยู่บ้านไม่ได้อีกแล้ว” ฉินซือตอบกลับมาด้วยใบหน้ารำคาญใจ
เกิดอะไรขึ้นกันนะ?
ลู่ฉิวเยว่ปิดประตูด้วยความประหลาดใจ ดึงเขาให้นั่งลงที่ข้าง ๆ เตียง
“คุณทะเลาะกับพี่สาวมาใช่ไหม?” เธอถามด้วยความเป็นห่วง
ชายหนุ่มเบะปาก เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ผมว่าจะตัดพี่ตัดน้องกับเธอแล้ว”
“ว่าไงนะ?” ลู่ฉิวเยว่ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินเขาพูดประโยคนี้ออกมา เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทั้งตระกูล ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เธอกำลังจะกล่อมให้เขาใจเย็นลง
แต่ดูเหมือนฉินซือจะอ่านความคิดเธอออก เขาพูดด้วยความไม่พอใจว่า “พี่สาวกับพี่เขยของผมไร้ยางอายมากเกินไป พวกเขาอยากจะขโมยสูตรทำขี้ผึ้งของคุณ!”
ลู่ฉิวเยว่ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เธอไม่ได้เกลี้ยกล่อมเขาอีกต่อไป เธอตบหลังเขาเบา ๆ และปลอบโยนว่า “ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวจะไม่สบายใจเอาเปล่า ๆ”
ฉินซือพยักหน้า อยากจะดึงเอวเธอเข้ามากอดในอ้อมแขน แต่เมื่อเขาหันไปเห็นตั๋วรถไฟสองใบที่วางอยู่บนโต๊ะ ชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
“คุณจะกลับแล้วเหรอ?” เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แววตาบอกถึงความไม่สบายใจ
นี่เธอโกรธฉินเซียวหรือเปล่า? เธอผิดหวังในตัวเขาใช่ไหม?
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนอธิบายว่า “การแข่งขันรอบหน้าประกาศออกมาแล้ว กว่าจะแข่งก็อีกตั้งครึ่งเดือน ฉันอยากจะกลับไปทำงานก่อน”
มันเป็นเวลายาวนานมากเกินไป การพักอยู่ในเมืองหลวงมีแต่ต้องเสียเงินเท่านั้น แล้วชีวิตก็ไม่สะดวกสบาย พ่อแม่ของเธอก็คงคิดถึงเธอแล้วเหมือนกัน
ฉินซือถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นจึงยิ้มและพูดว่า “งั้นผมก็จะกลับเหมือนกัน”
ลู่ฉิวเยว่ไม่ได้พูดอะไร ถ้าเขาอยากตามเธอไป เธอก็ห้ามเขาไม่ได้ หลังจากที่พวกเขาปรับความเข้าใจกันได้เรียบร้อยแล้ว เธอก็ไล่เขาออกจากห้องเพื่อเตรียมตัวนอน
ฉินซือช่วยเธอปิดไฟและเดินออกมาจากห้องอย่างเชื่อฟัง หลังจากนั้นเขาก็ไปที่เคาน์เตอร์ทางด้านหน้าเพื่อขอยืมโทรศัพท์ติดต่อไปหาเลขาหวัง ให้เลขาหวังช่วยจองตั๋วรถไฟเที่ยวเดียวกับลู่ฉิวเยว่นั่นเอง
“อะไรนะครับ? จะกลับแล้วเหรอ?” เลขาหวังขมวดคิ้ว พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่เจ้านายครับ เรายังไม่ได้คุยธุรกิจกับคุณกู้เลยนะครับ?”
เมื่อเลขาเตือนเรื่องนี้ขึ้นมา ฉินซือก็จำขึ้นมาได้ทันที เขาหันไปมองแสงไฟที่อยู่ชั้นบน ลังเลเล็กน้อยแล้วก็กัดฟันพูดว่า “งั้นก็ช่างมัน ไม่ต้องจองตั๋วรถไฟแล้ว”
คุณกู้เป็นหุ้นส่วนธุรกิจกันมายาวนาน การร่วมมือในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เขายังกลับตอนนี้ไม่ได้จริง ๆ
เลยขาหวังยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผากและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เจ้านายของเขาเป็นพวกคลั่งรักแบบไม่ลืมหูลืมตา เลขาหวังจึงกลัวว่าเจ้านายจะกลับไปพร้อมกับคุณลู่โดยไม่สนใจเรื่องธุรกิจจริง ๆ
“รับทราบครับ ผมจะจองตั๋วรถไฟเอาไว้หลังจากวันที่เราคุยธุรกิจเสร็จนะครับ”
บ่ายวันต่อมา ณ สถานีรถไฟประจำเมืองปักกิ่ง
ฉินซือยืนมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยความจำใจ เขาไม่ต่างจากลูกสุนัขที่ถูกเจ้าของทอดทิ้งเลย
“ไม่เป็นไรน่า เดี๋ยวอีกไม่กี่วันเราก็ได้เจอกันแล้วไม่ใช่หรือไง?” ลู่ฉิวเยว่กอดเอวเขาและยิ้มปลอบใจ
“ก็คงงั้น” ฉินซือพูดด้วยความเสียใจ เขาอยากจะจับเธอผูกไว้กับเข็มขัดกางเกงของตนเองตลอดเวลา อย่าพูดว่าไม่ได้เจอกันหลายวันเลย แค่ไม่ได้เจอกันวันเดียว เขาก็แทบตายแล้ว
ยิ่งรักกันมากแค่ไหน ก็ยิ่งแยกจากกันยากมากเท่านั้น ลู่ฉิวเยว่ถอนหายใจออกมา ลูบศีรษะเขาเป็นการปลอบโยน ก่อนจะหมุนตัวเดินตามหวังเซวียนเซวียนขึ้นรถไฟไป
ถ้าเธอยังไม่ขึ้นรถไฟตอนนี้ มีหวังได้ตกรถไฟแน่ ๆ
เมื่อเห็นหญิงสาวหายไปในกลุ่มผู้คน ฉินซือก็รู้สึกโหวงเหวงเคว้งคว้าง หัวใจของเขาว่างเปล่าขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เมื่อรถไฟหายลับไปจากสายตา เลขาหวังก็ส่งเสียงพูดขึ้นมาว่า “เจ้านายครับ พวกเราไปกันเลยดีไหมครับ?”
ฉินซือพยักหน้าด้วยความเคร่งเครียด เดินกลับไปที่รถยนต์ของตนเอง
การเดินทางด้วยรถไฟในครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ลู่ฉิวเยว่เดินทางกลับไปถึงบ้านในช่วงบ่ายของวันต่อมา
เธอซื้อของฝากมากมายมาจากเมืองหลวง และหญิงสาวก็ได้จ้างให้รถสามล้อปั่นมาส่งจากหน้าสถานีรถไฟ
“ฉิวเยว่กลับมาแล้ว” แม่ของเธอตื่นขึ้นมารอตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อได้เห็นหน้าลูกสาวในที่สุด ก็รีบวิ่งลงบันไดมาช่วยถือข้าวของอย่างมีความสุข พ่อของเธอก็เดินกะเผลกตามมาข้างหลังเช่นกัน
ลู่ฉิวเยว่ไม่ได้เจอพ่อแม่มาหลายวัน เธอรู้สึกคิดถึงพวกท่านมาก หญิงสาวกระโดดลงจากรถสามล้อพร้อมกับยิ้มกว้าง รีบเดินเข้าไปสวมกอดแม่และเข้าไปช่วยประคองพ่อ
คนเป็นพ่อมองหน้าลูกสาวด้วยความเคร่งขรึมและพูดอย่างไม่พอใจว่า “ดูหน้าของลูกสิ ยังซูบผอมเกินไปอยู่ดี”
แม่ของเธอเดินเข้ามาและก็ทำหน้ายุ่งเช่นกัน “นั่นสิ อาหารข้างนอกยังไงก็ไม่อร่อยเท่ากับอาหารบ้านเราหรอก วันนี้แม่ทำไก่ต้มเอาไว้ให้แล้ว”
คุณลุงกับคุณป้าได้ข่าวว่าหวังเซวียนเซวียนจะกลับมาวันนี้เหมือนกัน พวกท่านจึงมารอต้อนรับที่บ้าน แล้วครอบครัวก็ได้กลับมาพบเจอกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาในที่สุด
“ที่นี่บ้านของลู่ฉิวเยว่ใช่ไหมคะ?” ลู่ฉิวเยว่ยังไม่ทันได้นั่งลงบนโซฟา เธอก็ได้ยินเสียงตะโกนถามดังขึ้นหน้าประตู
หญิงสาวสะดุ้งตกใจ รีบเดินไปต้อนรับผู้มาเยือน “คุณลุงกับคุณป้ามาทำอะไรที่นี่คะ? เชิญเข้ามานั่งข้างในก่อนเถอะค่ะ”
เมื่อได้ยินลูกสาวพูดอย่างนั้น แม่ของเธอก็รีบเปิดประตูออกกว้างให้แขกทั้งสองคนเดินเข้ามาและทำการต้อนรับอย่างอบอุ่น “ที่แท้ก็เป็นพ่อแม่ของฉินซือนี่เอง เชิญเข้ามานั่งก่อนค่ะ”
คุณแม่ฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน ชวนสามีเดินเข้าไปในบ้าน ก่อนจะวางถุงของขวัญลงบนโต๊ะกาแฟ
“เมื่อวานนี้ฉันได้ข่าวจากฉินซือว่าฉิวเยว่กลับมาแล้ว ฉันไม่ได้เจอหน้าฉิวเยว่ตั้งนาน ก็เลยอยากแวะมาหาหน่อยน่ะค่ะ” เธอนั่งลงข้าง ๆ ลู่ฉิวเยว่พลางลูบหลังมือหญิงสาวเบา ๆ และอธิบาย
นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อแม่ของลู่ฉิวเยว่ได้พบเจอกับพ่อแม่ของฉินซือโดยที่ฝ่ายชายไม่อยู่ด้วย เมื่อเห็นว่าพวกท่านเข้ากันได้ดี ลู่ฉิวเยว่ก็อดถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกไม่ได้
แม่ของเธอพูดด้วยน้ำเสียงใจดีว่า “ทำตัวตามสบายเลยนะคะ”
หลังจากถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันอยู่นานสองนาน บรรยากาศในห้องนั่งเล่นก็เต็มไปด้วยความสดใสและเป็นกันเอง
และแล้วก็ได้เวลาที่พ่อของฉินซือจะเปิดเผยจุดประสงค์ในการมาวันนี้ “พวกเรามาที่นี่ในฐานะพ่อแม่ของฉินเซียวเพื่อขอโทษครับ”
หลังจากพูดจบแล้ว สองสามีภรรยาก็ลุกขึ้นโค้งตัวคำนับ แต่ลู่ฉิวเยว่และแม่ของเธอก็รีบห้ามเอาไว้ก่อน
“คุณพี่ ไม่ต้องขอโทษอะไรหรอกค่ะ” แม่ของลู่ฉิวเยว่ถอนหายใจออกมา “เด็ก ๆ ก็ดื้อกันแบบนี้ทุกคนนั่นแหละ ฉันเข้าใจดี”
คำพูดของเธอยิ่งทำให้พ่อแม่ของฉินซือรู้สึกอับอายมากขึ้น นี่หมายความว่าพวกเขาสั่งสอนลูกสาวไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ
“นี่ก็กำลังจะได้เวลาพอดี คุณลุงกับคุณป้าอยู่กินอาหารค่ำด้วยกันไหมคะ กินกันหลายคน อาหารจะได้อร่อยมากขึ้น”