สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 134 พูดคุยเกี่ยวกับการทำธุรกิจขี้ผึ้ง
บทที่ 134 พูดคุยเกี่ยวกับการทำธุรกิจขี้ผึ้ง
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ทุกคนก็กำลังช่วยกันเก็บจานชาม ตอนนั้นเอง เสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้นพอดี
“น่าจะเป็นจางซินนะ” ลู่ฉิวเยว่กำลังจะเดินไปเปิดประตู แต่หลินเฉิงก็เดินตัดหน้าเธอไปเสียก่อน
แล้วเธอก็ได้พบว่าผู้ที่ยืนอยู่หน้าประตูนั้นเป็นชายหนุ่มสวมสูทสีดำอายุประมาณ 40 ปี มีแววตาฉลาดหลักแหลม
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาเล็กน้อย เธอเดินเข้าไปรับแขกผู้มาเยือน “สวัสดีค่ะ ฉันลู่ฉิวเยว่ค่ะ” หลังจากแนะนำตัวแล้ว หญิงสาวก็เดินนำเขามานั่งที่โซฟาและรินน้ำชาต้อนรับให้ด้วยตนเอง
ชายหนุ่มพยักหน้าตอบกลับมา “สวัสดีครับ คุณลู่ ผมจางซิน เป็นเจ้าของร้านขายยาจีนจิงเสิ่งครับ”
ลู่ฉิวเยว่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง นั่นเป็นร้านขายยาจีนที่หลินเฉิงพาเธอไปซื้อวัตถุดิบสำหรับทำขี้ผึ้งเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่นา
“ทำไมต้องพูดจาเกรงอกเกรงใจกันขนาดนี้ด้วย?” หลินเฉิงหัวเราะออกมาเสียงดัง ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายมากขึ้น
บรรดาเพื่อน ๆ ของเขาก็หัวเราะออกมาเช่นกันและพยักหน้ายืนยันว่าหลินเฉิงพูดถูกต้องแล้ว และในเมื่อกำลังจะมีการคุยธุรกิจเกิดขึ้น เสียงพูดคุยของบรรดาคุณลุงคุณป้าก็เงียบลงในทันใด เพราะกลัวว่าตนเองจะไปขัดจังหวะการเจรจานั่นเอง
“ผมได้ยินจากลุงหลินว่าคุณลู่อยากจะร่วมธุรกิจกับผมใช่ไหมครับ” จางซินยิ้มออกมาเล็กน้อยและตรงเข้าประเด็นโดยทันที “ได้ข่าวว่าขี้ผึ้งทาแก้ปวดของคุณใช้งานได้ดีมาก แม้แต่อาการปวดที่ลุงหลินเป็นมาหลายปีก็ยังสามารถบรรเทาได้ ไม่ทราบว่าผมขอลองดูหน่อยได้ไหม?”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า ลุกขึ้นไปหยิบตลับขี้ผึ้งออกมาจากใต้โต๊ะสองตลับ นี่เป็นขี้ผึ้งสองตลับสุดท้ายที่เธอเหลืออยู่
ชายหนุ่มรับมาตรวจดูอย่างระมัดระวัง เขาใช้จมูกดมอยู่หลายรอบ ก่อนจะสอบถามถึงวัตถุดิบที่นำมาใช้ทำขี้ผึ้งด้วยความละเอียด
“ให้ตายเถอะ ฉันบอกแล้วไงว่าเป็นของดี พวกเราทำธุรกิจร่วมกันมากี่ปี นายคิดว่าฉันจะโกหกนายงั้นเหรอ?” เมื่อเห็นจางซินเอาแต่สอบถามข้อมูลไม่เลิก หลินเฉิงก็รู้สึกรำคาญใจเล็กน้อยจนต้องโพล่งออกมา
จางซินหันกลับไปจ้องมองด้วยความไม่พอใจเช่นกัน “ก็ลุงเป็นนักธุรกิจ จะมารู้เรื่องยาจีนได้ไง!”
หลังจากพูดจบแล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในพริบตา เขาหันกลับมาพูดกับลู่ฉิวเยว่เพื่อเจรจาธุรกิจต่อไป
“คุณลู่ครับ ขี้ผึ้งของคุณเป็นของดีมาก” เขาพูดอย่างจริงจัง “งั้นพวกเรามาคุยรายละเอียดในสัญญากันเถอะ…”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าและรับฟังรายละเอียดในการร่วมธุรกิจอย่างชัดเจน “ฉันว่าพวกเรามีความคิดไปในทิศทางเดียวกันค่ะ และฉันก็พอใจกับราคามาก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของชายหนุ่มก็เป็นประกายสดใส เขาหยิบสัญญาที่เตรียมเอาไว้ในกระเป๋าออกมาพร้อมกับพูดว่า “คุณลู่ลองดูสัญญาฉบับนี้นะครับ ถ้าเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไร พวกเราก็มาเซ็นสัญญากันเลยดีไหมครับ?”
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มรับและหยิบสัญญามาตรวจดู เพียงสองนาทีเท่านั้น สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป จางซินคิดเล่นไม่ซื่อ สัญญาฉบับนี้มีบางอย่างผิดปกติ
“ส่วนอื่นของสัญญาไม่มีปัญหานะคะ มีแค่ส่วนนี้เท่านั้น” ลู่ฉิวเยว่อ่านสัญญาจบก็วางกลับลงไปบนโต๊ะและชี้ไปยังส่วนที่สองของใบสัญญา พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ฉันมอบสิทธิ์ในการขายให้คุณแค่คนเดียวไม่ได้ค่ะ”
“ทำไมล่ะ? ผมจ่ายเพิ่มก็ได้นะ” จางซินทำหน้าบึ้ง คิดว่าเธอจะเอาขี้ผึ้งทาแก้ปวดเหล่านี้ไปกระจายขายให้กับร้านขายยาจีนทุกร้านที่อยู่ในเมืองหลวง ถ้าเป็นอย่างนั้น ร้านขายยาจีนของเขาก็ไม่มีอะไรพิเศษเลยน่ะสิ
จางซินตั้งใจว่าจะใช้ขี้ผึ้งทาแก้ปวดของเธอเป็นสินค้าเด่นในร้านขายยาของเขา แต่ดูเหมือนตอนนี้แผนการของเขาจะไม่สำเร็จเสียแล้ว
ลู่ฉิวเยว่รู้ดีว่าเขากำลังวางแผนอะไรอยู่ เธอส่ายศีรษะพร้อมกับอธิบายด้วยความสุภาพ “คุณจางคะ ปัญหาไม่ใช่เรื่องเงิน แต่ฉันเองก็เปิดร้านขายยาจีนเหมือนกัน ฉันอยากจะขายขี้ผึ้งพวกนี้ในร้านขายยาจีนของฉัน ถ้าคุณอยากจะทำธุรกิจกับฉันจริง ๆ เราก็แค่เซ็นสัญญาเป็นคู่ค้ากันก็พอค่ะ ส่วนราคาก็คงเดิมไม่ต้องเปลี่ยน”
“งั้นก็ตกลงครับ” จางซินลังเลเล็กน้อยก่อนจะรับข้อเสนอของเธอในที่สุด
ถึงแม้ว่าร้านของเขาจะไม่ใช่เจ้าเดียวที่มีขี้ผึ้งของเธอวางขาย แต่ลู่ฉิวเยว่ก็จะไม่เซ็นสัญญากับร้านของคนอื่นเหมือนกัน ดังนั้นจางซินจึงยังได้เปรียบร้านขายยาจีนในเมืองหลวงร้านอื่น ๆ อยู่พอสมควร
ลู่ฉิวเยว่จัดการเซ็นชื่ออย่างรวดเร็ว คำพูดด้วยความชื่นชมของจางซินก็ลอยมาเข้าหูเธอพอดี “คุณอายุเพียงเท่านี้ แต่มีความรู้มากเลยนะครับ” เธอพูดจาฉะฉาน อ่านสัญญาอย่างละเอียดรอบคอบ พูดคุยเรื่องธุรกิจอย่างเป็นมืออาชีพ ไม่เหมือนสาวน้อยจากบ้านนอกเลยสักนิด แต่เธอเหมือนนักธุรกิจผู้มากประสบการณ์ต่างหาก
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า เธอตอบรับด้วยความถ่อมตัวว่า “แต่ฉันยังมีอะไรให้ต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยค่ะ”
จางซินรับคำในลำคอและเซ็นชื่อของตัวเองด้วยความจริงจัง
“คุณจางจะจ่ายเงินค่ามัดจำสินค้าล็อตแรกเลยไหมคะ หรือว่าเราจะตกลงกันวันอื่นดี?” ลู่ฉิวเยว่ถามขึ้นมาด้วยความจริงจังเช่นกัน
“ตอนนี้เลยก็ได้ครับ”
เขาสั่งขี้ผึ้ง 2,000 ตลับ เดิมทีขายตลับละ 50 เหมา เมื่อรวมกันแล้วก็จะเป็น 1,000 หยวน จ่ายเงินมัดจำก่อนครึ่งหนึ่งก็คือ 500 หยวน
ลู่ฉิวเยว่เปิดซองเงินออกดูและพบกับธนบัตรปึกใหญ่ รอยยิ้มอย่างมีความสุขก็พลันปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ลองนับดูก็ได้ครับ” จางซินอดเตือนขึ้นมาไม่ได้
แต่ลู่ฉิวเยว่ก็ส่ายศีรษะ พูดด้วยความจริงใจว่า “คุณเป็นเพื่อนที่คุณลุงหลินแนะนำมา และกำลังจะเป็นคู่ค้าระยะยาวของฉัน ฉันต้องขอบคุณมากค่ะที่คุณให้ความร่วมมือกับฉันเป็นอย่างดี”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ที่อยู่ในห้องนั่งเล่นก็ยกมือชี้หน้าหญิงสาวพลางหัวเราะด้วยความชอบใจ “เด็กคนนี้นี่ร้ายกาจจริง ๆ!”
ฉินเซียวที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกตัวหนึ่งมองเงินในมือของลู่ฉิวเยว่ด้วยดวงตาแดงก่ำ
นั่นมันเงิน 500 หยวนเชียวนะ ม่อป๋อซงทำงานครึ่งปีก็ได้เงินแค่ 500 หยวน แล้วทำไมลู่ฉิวเยว่ถึงหาเงินได้ง่าย ๆ แบบนี้? แค่ขายขี้ผึ้งทาแก้ปวดเนี่ยนะ?
ยิ่งมองการตอบรับของกลุ่มคนที่อยู่รอบตัวมากเท่าไหร่ ฉินเซียวก็ยิ่งรู้สึกอิจฉาริษยาขึ้นมามากเท่านั้น
คนพวกนี้แทบไม่เห็นเธออยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ แต่พวกเขากลับไปยิ้มแย้มใส่นางบ้านนอกอย่างลู่ฉิวเยว่!
ฉินเซียวยิ่งอยากจะได้สูตรทำขี้ผึ้งมาครอบครองมากกว่าเดิม!
เมื่อเข็มนาฬิกาเดินมาถึงเวลา 15:00 น. กลุ่มคนก็เริ่มหาวนอน แต่ไม่มีใครขอตัวกลับ
ลู่ฉิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
แต่ในทันใดนั้น ใครบางคนก็เรียกเธอ
“ฉิวเยว่…” หลินเฉิงไอออกมาเล็กน้อย หันไปมองกลุ่มเพื่อนที่อยู่ด้านหลังและพูดว่า “คุณลุงกับคุณป้าฝากถามมา เธอพอจะช่วยตรวจโรคให้พวกเราหน่อยได้ไหม?”
ลู่ฉิวเยว่เบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ ตอบรับกลับไปด้วยความชัดเจน “ได้สิคะ อยากให้ฉันช่วยตรวจเลยไหมคะ?”
“คงต้องรบกวนเธอแล้ว” บรรดาคุณลุงคุณป้าพร้อมใจกันพยักหน้าด้วยความดีใจ
ลู่ฉิวเยว่โบกไม้โบกมือบอกว่าไม่เป็นไร “เรื่องเล็กน้อยค่ะ ร้านขายยาของฉันเปิดให้คนเข้ามาตรวจฟรีอยู่แล้ว ถ้าคุณลุงคุณป้าผ่านไปในครั้งหน้า ก็แวะเข้าไปตรวจดูได้นะคะ”
ในไม่ช้า พวกเขาก็เดินต่อแถวเข้ามาให้ลู่ฉิวเยว่ทำการตรวจเบื้องต้นด้วยการฟัง เธอดูและสอบถามอาการ ซึ่งหญิงสาวก็สามารถระบุอาการของพวกเขาได้อย่างแม่นยำ
“ฉิวเยว่ เธอช่วยเขียนใบสั่งยาให้ฉันหน่อยได้ไหม?” หญิงวัยกลางคนยิ้มออกมาอีกครั้ง
ลู่ฉิวเยว่ส่ายหน้ายิ้มรับตอบกลับไปว่า “หนูไม่มีใบอนุญาตทางการแพทย์หรอกค่ะ หนูแค่ตรวจได้เฉย ๆ เท่านั้น จะกล้าออกใบสั่งยาได้ยังไง? คุณลุงกับคุณป้าเอาอาการที่หนูบอกไปเมื่อสักครู่นี้ ไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลดีกว่านะคะ แล้วเดี๋ยวคุณหมอก็จะเขียนใบสั่งยามาให้เอง”