สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 133 คำสาบานของฉินซือ
บทที่ 133 คำสาบานของฉินซือ
“เป็นความคิดที่ดีมาก!” หลินเฉิงตอบรับเป็นคนแรก
ทุกคนก็เห็นด้วย
ลู่ฉิวเยว่โบกไม้โบกมืออีกครั้ง “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไปกินข้างนอกเปลืองค่าอาหารเปล่า ๆ แค่ทุกคนรับปากว่าจะสั่งขี้ผึ้งของฉันในอนาคตอีกก็พอแล้วค่ะ”
เมื่อได้ยินว่ากำลังจะมีการชวนกันออกไปรับประทานอาหาร ฉินเซียวก็มีความสุขมาก เธอตั้งใจจะใช้จังหวะนี้กล่อมให้หลินเฉิงเลื่อนตำแหน่งให้กับสามีของเธอ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหญิงบ้านนอกอย่างลู่ฉิวเยว่กลับปฏิเสธโดยไม่ลังเล! เธอไม่รู้หรือไงว่าคนพวกนี้เป็นใคร? พวกคนบ้านนอกก็เป็นเสียอย่างนี้ คงไม่เข้าใจเรื่องราวของการสานสัมพันธ์ทางธุรกิจอยู่แล้วสินะ!
“ลู่ฉิวเยว่ เธอไม่มีมารยาทบ้างหรือไง? ไว้หน้าคนชวนบ้างสิ! เธอกล้าปฏิเสธได้ยังไง!” ฉินเซียวพูดออกมาด้วยความไม่พอใจทันที
ลู่ฉิวเยว่มีสีหน้าเย็นชาขึ้นมาในทันใด เธออุตส่าห์ทำเป็นไม่สนใจฉินเซียวแล้วแท้ ๆ ทำไมอีกฝ่ายต้องมาหาเรื่องเธอไม่เลิกราแบบนี้ด้วย?
ลู่ฉิวเยว่สวนกลับไปว่า “ฉันมีมือมีเท้าทำอาหารกินเองได้ ไม่ใช่ลูกคุณหนูเหมือนเธอที่ต้องรบกวนคนอื่นอยู่ตลอดเวลา!”
คำพูดเหล่านี้เกือบจะทำให้ฉินเซียวโมโหเดือดดาลขึ้นมา เป็นแค่ผู้หญิงบ้านนอกคนหนึ่ง มีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนเธอ?
“ก็เพราะเธอทำตัวเป็นคนบ้านนอกแบบนี้ไงล่ะ เธอถึงไม่สมควรเข้ามาอยู่ในเมือง!” ฉินเซียวตอบโต้กลับไปด้วยความดุเดือด
ม่อป๋อซงรีบขยับเข้าไปเอามือปิดปากภรรยาทันที ไม่อยากให้เธอพูดอะไรออกมาอีกแล้ว
ฉินซือจับมือลู่ฉิวเยว่แน่นอย่างรู้สึกผิด โอบกอดเธอด้วยความห่วงใย ก่อนจะหันไปตวาดใส่ฉินเซียวว่า “พี่ดูสภาพของตัวเองบ้างเถอะ! แม้แต่ขอทานข้างถนนก็ยังมีมารยาทมากกว่าพี่เลย! ถ้าพี่ทำตัวแบบนี้ พ่อแม่คงต้องผิดหวังมากแน่ ๆ!”
ใบหน้าของลู่ฉิวเยว่ถูกฝังอยู่ในอ้อมแขนของเขา ร่างกายของเธอถูกปกป้องด้วยอ้อมแขนของฉินซือ เมื่อเธอได้ยินคำพูดเหนือศีรษะ หญิงสาวก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจยิ่งนัก
แล้วเธอก็รู้สึกตลกขบขันขึ้นมา
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉินซือมักจะพูดจาอ่อนหวานกับเธอเสมอ แต่เขาก็ไม่เคยพูดจาก้าวร้าวกับคนอื่นเหมือนกัน
แค่ฉินเซียวถูกน้องชายดุก็โมโหมากแล้ว แต่หลินเฉิงยังช่วยซ้ำเติมอีกหนึ่งแผลว่า “ไม่เป็นไร นี่เป็นเรื่องระหว่างผมกับคุณลู่ คุณไม่ต้องมาสนใจหรอก!”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่พอใจของหัวหน้าสามี หัวใจของฉินเซียวก็รู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาทันที แผนการเลื่อนตำแหน่งของสามีเธอคงล้มเหลวลงเสียแล้ว
ม่อป๋อซงที่นั่งอยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าไม่สู้ดีเช่นกัน
เขารอคอยโอกาสเลื่อนตำแหน่งมาครึ่งปีแล้ว แต่ทุกอย่างก็คงจบลงเพียงเท่านี้
“ไม่ได้สิ คุณต้องมากินอาหารกับพวกเรา” หลินเฉิงหันกลับมาแกล้งตีสีหน้าจริงจัง จ้องมองไปที่ลู่ฉิวเยว่ “ครั้งที่แล้วคุณรับปากว่าจะให้ผมเลี้ยงข้าว ครั้งนี้ คุณห้ามปฏิเสธอีกเป็นอันขาด!”
ลู่ฉิวเยว่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะขัดขวางการปฏิเสธอย่างสุภาพของเธอ
หญิงวัยกลางคนก็ยิ้มขึ้นมาเช่นกัน “งั้นเราซื้ออาหารมาทำกินเองที่นี่กันดีไหม ไม่ต้องเสียเงินเยอะด้วย เธอจะได้ไม่ต้องกลัวว่าพวกเราจะเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ไง”
ลู่ฉิวเยว่ไม่มีทางเลือกนอกจากหันไปมองหน้าฉินซือ และเมื่อเห็นว่าเขาไม่ปฏิเสธ หญิงสาวก็พยักหน้าตอบกลับไป “งั้นก็ออกไปซื้อผักกันเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันจะทำอาหารให้ทุกคนกินเอง ฉันอยากจะทำให้ทุกคนได้รู้รสชาติฝีมือการทำอาหารของฉันบ้างเหมือนกัน”
“นี่คุณเป็นเชฟอย่างนั้นเหรอ?” กลุ่มผู้สูงอายุนับสิบคนจ้องมองเธอด้วยความตกตะลึง พวกเขาเห็นเธอทำขี้ผึ้งทาแก้ปวดได้อย่างยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ จึงนึกว่าเธอเป็นแพทย์แผนจีนเสียอีก แต่เธอกลับเป็นเชฟเสียอย่างนั้น!
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรออกมา
เมื่อมีคนช่วยออกไปซื้อวัตถุดิบทำอาหารหลายคน การจัดเตรียมวัตถุดิบก็เสร็จสิ้นในเวลารวดเร็ว
ลู่ฉิวเยว่รับหน้าที่เป็นแม่ครัวใหญ่ กลุ่มคุณลุงคุณป้าที่รอคอยอยู่ในห้องนั่งเล่นก็ช่วยกันจัดโต๊ะจัดจาน ส่วนฉินซือกับหวังเซวียนเซวียนเข้ามาช่วยงานในห้องครัว
มีแต่เพียงฉินเซียวกับม่อป๋อซงเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าต้องหยิบจับอะไรบ้าง
เพราะพวกเขามีป้าแม่บ้านคอยทำงานให้อยู่เสมอ หรือถ้าป้าแม่บ้านไม่อยู่ พ่อแม่ก็จะมาช่วยพวกเขาทำอาหาร ฉินเซียวกับม่อป๋อซงจึงไม่ได้เข้าครัวมาหลายปีแล้ว พวกเขาจัดจานไม่เป็นด้วยซ้ำ แล้วจะสามารถช่วยเหลือคนอื่น ๆ ได้อย่างไร?
ในขณะนี้ ฉินเซียวกับม่อป๋อซงยิ่งรู้สึกแปลกแยกกับทุกคนมากไปกว่าเดิม ราวกับว่าตนเองเป็นเพียงนักท่องเที่ยวที่ผ่านทางมาเท่านั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะว่ายังเหลือความหวังที่จะเข้าไปตีสนิทหลินเฉิง พวกเขาทั้งสองคนก็คงพับแขนเสื้อเดินทางกลับบ้านไปนานแล้ว
อาหารถูกนำมาจัดวางบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว ทุกคนขยับเก้าอี้นั่งประจำที่ด้วยความพร้อมเพียง
ตอนนี้กลิ่นหอมจากในครัวลอยเข้ามาในห้องนั่งเล่น ถึงแม้หลินเฉิงจะเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบรับประทานอาหารสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เขาก็น้ำลายไหลออกมาแล้ว
ดูเหมือนว่าลู่ฉิวเยว่จะมีพรสวรรค์ในการทำอาหารจริง ๆ
ฉินเซียวกับม่อป๋อซงไม่รู้จะวางตัวอย่างไรดี ลู่ฉิวเยว่กับฉินซือไม่ได้เชิญให้พวกเขาไปรับประทานอาหารด้วยกัน ทั้งสองคนจึงทำได้เพียงนั่งอยู่บนโซฟาด้วยความอึดอัดใจเท่านั้น
ในที่สุด ฉินเซียวก็กระตุกแขนเสื้อลากม่อป๋อซงให้ไปนั่งที่โต๊ะอาหาร
ลู่ฉิวเยว่แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นและคอยสนทนาแต่กับบรรดาผู้อาวุโสเท่านั้น
หลังจากนั้น ทุกคนก็ใช้ตะเกียบคีบผัดผักมารับประทาน
หลังจากได้ลองรับประทานดูแล้ว ดวงตาของทุกคนก็เป็นประกายระยิบระยับ พวกเขายกนิ้วโป้งชื่นชมความอร่อย แล้วก็ก้มหน้าก้มตารับประทานกันอย่างจริงจัง
เนื้อหมูตุ๋นนุ่มนวลแต่ไม่เลี่ยน เต้าหู้ผัดซอสมีรสสัมผัสที่ละลายในปากและให้ความจัดจ้าน แม้แต่ผัดผักก็ยังมีรสชาติหวานกลมกล่อม!
นี่คือมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยสีสันและกลิ่นอันหอมหวล
“ฉินซือ คุณนี่โชคดีจริง ๆ!” หลินเฉิงอดชื่นชมออกมาไม่ได้หลังจากได้รับประทานอาหารฝีมือของลู่ฉิวเยว่ ถ้าเขาได้เจอเธอก่อนหน้านี้ เขาก็จะต้องแนะนำเธอให้รู้จักกับลูกชายคนเล็กของเขาอย่างแน่นอน หลินเฉิงรู้สึกอยากจะได้เธอมาเป็นลูกสะใภ้เหลือเกิน
คนอื่น ๆ ก็เห็นด้วยเช่นกัน “นั่นสิ ฉินซือ คุณนี่ตาถึงที่สุดเลย คุณคงไปหาผู้หญิงดี ๆ แบบลู่ฉิวเยว่จากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว”
ฉินซือพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยความจริงจังว่า “ผมจะดูแลฉิวเยว่ให้ดีเลยครับ คุณลุงคุณป้าไม่ต้องเป็นห่วง!”
ลู่ฉิวเยว่อดเตะขาเขาใต้โต๊ะด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ ทำไมเขาต้องพูดจริงจังเหมือนกำลังรับคำสาบานด้วยนะ
แต่ในหัวใจของเธอก็รู้สึกอบอุ่นไม่น้อย เธอเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของเขาและเธอก็เชื่อมั่นในคำพูดของฉินซือด้วยเช่นกัน
ฉินเซียวตกตะลึงให้กับคำพูดของคนกลุ่มนี้ ฉินซือจะไปโชคดีได้อย่างไรที่มีลู่ฉิวเยว่ แม่นั่นต่างหากที่โชคดีที่ได้เป็นแฟนของน้องชายเธอ!
หรือแค่เพราะต้องการขี้ผึ้งทาแก้ปวด ลุง ๆ ป้า ๆ พวกนี้จึงต้องประจบเอาใจลู่ฉิวเยว่?
ฉินเซียวมีแววตาขุ่นเคืองใจอย่างไม่สบอารมณ์ ในสมองเกิดความคิดชั่วร้าย ถ้าเธอได้สูตรการทำขี้ผึ้งทาแก้ปวดของลู่ฉิวเยว่มาครอบครองล่ะก็…
คนอื่น ๆ ไม่รู้ว่าฉินเซียวกำลังเกิดความคิดที่ชั่วร้าย ทุกคนยังคงพูดคุยกับลู่ฉิวเยว่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มต่อไป
“ฉิวเยว่ ขี้ผึ้งของคุณใช้งานได้ดีมาก ไม่คิดจะเอามาขายในเมืองหลวงบ้างเหรอ?” หลินเฉิงอดถามออกมาไม่ได้
ขี้ผึ้งทาแก้ปวดของเธอใช้ได้ผลเป็นอย่างดี ถ้านำมาวางขายในเมืองหลวงจะต้องขายดีอย่างแน่นอน
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มเล็กน้อยและส่ายศีรษะ “ที่ฉันเข้าเมืองหลวงในครั้งนี้ก็เพื่อมาแข่งทำอาหารค่ะ ฉันไม่รู้ว่าจะไปหาลูกค้าจากที่ไหน เอาไว้คุยกันครั้งหน้านะคะ”
หลินเฉิงมีดวงตาเป็นประกายแวววาว เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาในทันใด “ไม่มีปัญหา พอดีว่าผมมีเพื่อนอยู่ในวงการนี้ เดี๋ยวผมจะแนะนำให้คุณได้รู้จักเอง”
“จริงเหรอคะ?” ลู่ฉิวเยว่มีดวงตาสดใส ขอบคุณด้วยความจริงใจ “ขอบคุณมากนะคะลุงหลิน”
หลินเฉิงส่ายหน้าและบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เขารับประทานอาหารมาได้ครึ่งทาง ก็รีบขอยืมโทรศัพท์ของฉินซือเพื่อโทรหาใครบางคนทันที