สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 132 ทำลายความหวังของฉินเซียว
บทที่ 132 ทำลายความหวังของฉินเซียว
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาแล้วปฏิเสธอย่างสุภาพด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ขอบคุณที่ชวนนะคะ คุณหลิน แต่ฉันมีน้องชายรออยู่ที่บ้านให้กลับไปรับประทานอาหารด้วยกัน วันนี้คงไม่สะดวก เอาไว้เรานัดกันครั้งหน้านะคะ”
“ได้เลยครับ เอาไว้นัดกันครั้งหน้า” หลินเฉิงหัวเราะออกมาเสียงดัง
แล้วพวกเขาก็แยกจากกันที่ตรงนี้
ทันทีที่กลับถึงบ้าน หลินเฉิงก็แทบรอไม่ไหวแล้วที่จะได้โทรไปหาเพื่อนรัก
“เหล่าซู ฉันมีอะไรจะเล่าให้ฟัง ขี้ผึ้งทาแก้ปวดที่ฉันซื้อมาเมื่อครั้งก่อนน่ะ ปรากฏว่าสาวน้อยคนนี้เป็นคนทำเอง แล้วเธอก็บอกว่าจะทำมาให้ฉันใช้เป็นพิเศษอีกด้วย!” เมื่อเพื่อนรับสาย หลินเฉิงก็ไม่เสียเวลาทักทายเลยสักนิด เขาตรงเข้าประเด็นด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
คนที่อยู่ปลายสายก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุขเช่นกัน “นี่มันอะไรกัน? หลินเฉิง นายไม่เคยทำให้พวกเราผิดหวังจริง ๆ!”
แน่นอนว่าเสียงของคนที่อยู่ปลายสายก็แสดงออกถึงความสุขชัดเจน เพราะเพื่อนของหลินเฉิงก็มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน บางคนถึงกับอายุมากกว่าเขาด้วยซ้ำ ทุกคนล้วนมีปัญหาเจ็บปวดตามร่างกาย มีแต่ขี้ผึ้งของลู่ฉิวเยว่เท่านั้นที่สามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ ก่อนหน้านี้ พวกเขากลัวแทบแย่ว่ายาจะหมด แต่ตอนนี้ เมื่อได้รู้ว่ามียาอยู่ในสต็อกแล้ว จะไม่ให้พวกเขามีความสุขได้อย่างไร?
“ฉันโทรมาบอกแค่นี้แหละ นายกลับไปทำงานเถอะ ได้ของมาเมื่อไหร่เดี๋ยวฉันจะติดต่อไปหา” หลินเฉิงพูดจบก็รีบวางสายทันที
คืนนั้น เขาอิ่มอกอิ่มใจจนแทบไม่ต้องรับประทานอาหารอีกเลย หลินเฉิงใช้เวลาแทบทั้งคืนหมดไปกับการโทรศัพท์แจ้งข่าวต่อกลุ่มเพื่อน ๆ ของตนเอง
…
เมื่อรถยนต์ของหลินเฉิงแล่นหายลับไปจากสายตา ลู่ฉิวเยว่ก็หันมาเปิดประตูรถยนต์ของตนเองและสอดตัวเข้าไปนั่งบนเบาะผู้โดยสาร
หลังจากที่ฉินซือวางกระเป๋าใส่สมุนไพรลงบนที่นั่งเบาะหลังเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินมานั่งประจำตำแหน่งคนขับ หลังจากนั้นพวกเขาก็ขับรถกลับบ้านไปด้วยกัน
“พวกพี่กลับมากันแล้วเหรอครับ” เมื่อได้ยินเสียงประตูบ้านเปิดออก หวังเซวียนเซวียนที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเครื่องยนต์อยู่บนโซฟาก็หันหน้ามาทักทาย
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า รีบเข้าห้องครัวไปทำอาหารทันที เวลาตอนนี้ก็ 6 โมงเย็นแล้ว หวังเซวียนเซวียนคงกำลังหิวแย่
ไม่ใช่ว่าเธอห่วงใยมากเกินไป แต่เธอรู้ดีว่าถ้าไม่เตือนให้เขากินอะไร เจ้าเด็กคนนี้ก็จะไม่รู้สึกหิวเลย เพราะเขาจะเอาแต่อ่านหนังสือเครื่องยนต์อย่างเดียวเท่านั้น
เมื่อรับประทานอาหารกันอิ่มแล้ว ลู่ฉิวเยว่ก็นำวัตถุดิบออกมาเริ่มทำขี้ผึ้ง ฉินซือเห็นดังนั้นก็รีบสวมใส่ถุงมือเข้าไปช่วยเหลือ
ด้วยความช่วยเหลือของเขา ลู่ฉิวเยว่จึงผลิตขี้ผึ้งได้เป็นจำนวนมากถึง 200 ตลับในเวลาเพียงสามวัน เธอคิดว่าถ้าหลินเฉิงไม่อยากจะรับไว้ทั้งหมด เธอก็จะเก็บไว้ขายในร้านขายยาของตนเอง
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกประหลาดใจเหลือเกินที่ขี้ผึ้งทาแก้ปวดของเธอขายดีเป็นอย่างมาก
ลู่ฉิวเยว่แค่โทรไปแจ้งหลินเฉิงให้เขาส่งคนมารับขี้ผึ้งที่บ้าน เพียงไม่ถึง 1 ชั่วโมงต่อมา เขาก็นำกลุ่มเพื่อนมาที่บ้านของฉินซือ
พวกเขามีจำนวนสิบกว่าคน ทำให้ห้องนั่งเล่นบ้านของฉินซือดูคับแคบไปถนัดตาแม้จะมีขนาดใหญ่โตก็ตาม
“นี่! เหล่าหลิน ฉันยังไม่ได้เลยนะ!” เมื่อเห็นหลินเฉิงกำลังจะกวาดตลับใส่ขี้ผึ้งที่เหลือทั้งหมดเข้าหาตัวเอง หลังจากแจกจ่ายให้เพื่อนได้เกือบครึ่งหนึ่งแล้ว หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ต้องเดินออกมาด้วยความร้อนใจและกระตุกชายเสื้อของเขา
เธออุตส่าห์เดินทางมาถึงที่นี่ เพราะฉะนั้นเขาจะต้องให้เธอบ้าง
หลินเฉิงยกมือตบหน้าผากตัวเองอย่างปวดหัว
ในตอนนี้ ขี้ผึ้งแก้ปวดมีมากมายก็จริง แต่ก็คงไม่มากพอที่จะแจกให้ทุกคนได้แน่ ๆ แต่โชคดีที่พวกเขาเป็นกลุ่มเพื่อนเก่ากันมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อได้ยินหญิงคนนั้นพูดออกมาเช่นนี้ คนที่ได้ขี้ผึ้งไปก่อนหน้านี้ก็แบ่งปันของตนเองให้เธอ หากไม่มีการแบ่งปันกันในกลุ่มเช่นนี้ หลินเฉิงก็ไม่รู้จะแก้ไขปัญหาอย่างไรเหมือนกัน
ลู่ฉิวเยว่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้แต่ยิ้มอย่างสุภาพเท่านั้น
“นี่! คุณลู่ คุณช่วยทำให้ฉันบ้างได้ไหม?” เมื่อได้ตลับขี้ผึ้งไปแล้ว หญิงวัยกลางคนผู้นั้นก็หันหน้าไปหาลู่ฉิวเยว่โดยทันที เธอรู้สึกปวดหลังมาหลายวันแล้ว แถมยังกินอาหารไม่ค่อยลงอีกด้วย อีกทั้งยังมีอาการนอนไม่หลับ เธออยากจะได้ขี้ผึ้งของลู่ฉิวเยว่ไปบรรเทาอาการเหล่านั้น
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปดึงให้หญิงผู้นั้นนั่งลงบนโซฟาข้าง ๆ เธอ “ได้อยู่แล้วค่ะ”
ทันใดนั้น กลุ่มชายวัยกลางคนทั้งหลายก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป พวกเขารีบเปิดตลับขี้ผึ้งออกเพื่อลองใช้งานด้วยตัวเอง ฉินซือก็เข้าไปช่วยเหลืออำนวยความสะดวกเช่นกัน
ขี้ผึ้งชุดนี้เพิ่งจะทำเสร็จใหม่ ๆ พวกมันยังอุ่นอยู่ ซึ่งเป็นช่วงที่จะออกฤทธิ์ได้อย่างดีมากที่สุด หลังจากที่บรรดาชายวัยกลางคนนำขี้ผึ้งไปทาลงบริเวณที่เจ็บปวดของร่างกาย ความเจ็บปวดเหล่านั้นก็บรรเทาอย่างรวดเร็ว
หญิงวัยกลางคนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก อดยกนิ้วโป้งชื่นชมลู่ฉิวเยว่จากใจจริงไม่ได้
“สาวน้อยคนนี้อายุยังไม่เท่าไหร่ แต่เก่งยิ่งกว่าหมอจีนที่อยู่ในโรงพยาบาลซะอีก อนาคตของเธอต้องสดใสแน่นอน!” หญิงวัยกลางคนยิ้มออกมาด้วยความจริงใจ
“ใช่แล้ว เด็กคนนี้ต้องมีอนาคตสดใสแน่นอน!” กลุ่มชายวัยกลางคนทั้งหมดต่างก็พากันชื่นชมลู่ฉิวเยว่
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มกว้างและพยักหน้ารับด้วยความถ่อมตัว “คุณลุงกับคุณป้าชื่นชมกันเกินไปแล้วค่ะ”
หลินเฉิงจ่ายค่าผลิตขี้ผึ้งเหล่านี้ให้ลู่ฉิวเยว่โดยทันที เธอเป็นคนที่สนใจเรื่องเงินอยู่แล้ว และตอนนี้เธอก็ทำเงินได้เยอะมาก
ฉินซือก็มีความสุขเช่นกัน ไม่ใช่เพราะได้เห็นเงินก้อนใหญ่ แต่เป็นเพราะถ้อยคำที่คุณลุงคุณป้าเหล่านี้ชื่นชมลู่ฉิวเยว่ต่างหาก
แฟนของเขาช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ!
โชคดีที่เขาค้นพบไข่มุกเม็ดงามก่อนผู้อื่น ไม่งั้นป่านนี้เขาก็คงต้องแย่งชิงเธอกับพวกผู้ชายในเมืองอีกนับไม่ถ้วนแน่นอน
เมื่อแขกทุกคนในห้องได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว พวกเขาก็พูดคุยและส่งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข
ทันใดนั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอยู่ที่หน้าประตู แล้วประตูบ้านก็เปิดออก
ลู่ฉิวเยว่มองไปที่ประตูก็พบเห็นฉินเซียวเดินผ่านประตูเข้ามา ตามด้วยม่อป๋อซง
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้ตั้งใจจะกลับมาก่อเรื่องอะไรอีกนะ?
ลู่ฉิวเยว่หันกลับมามองหน้าฉินซือซึ่งนั่งอยู่ข้างกาย เธอมองไม่ออกว่าแววตาของเขากำลังรู้สึกอย่างไร แต่เขาก็ไม่ได้ทักทายพี่สาวเหมือนกัน ชายหนุ่มทำเหมือนกับว่าตนเองมองไม่เห็นพี่สาวกับพี่เขยอย่างไรอย่างนั้น
ลู่ฉิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นสูง พูดคุยกับหญิงวัยกลางคนอย่างอารมณ์ดีต่อไปและก็ทำเป็นมองไม่เห็นฉินเซียวกับม่อป๋อซงด้วยเช่นกัน
ฉินเซียวมีสายตาเฉียบคม ย่อมมองเห็นปฏิกิริยาของทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว มันทำให้เธอรู้สึกฉุนโกรธขึ้นมาทันที แต่ก็จำได้ว่าวันนี้ตนเองมาเพื่ออะไร เธอจึงพยายามควบคุมอารมณ์อย่างสุดความสามารถ
ฉินเซียวเดินยิ้มเข้ามา “คุณหลินคะ สวัสดีค่ะ…”
ฉินเซียวยังอยากจะพูดอะไรมากไปกว่านั้น เพื่อให้ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับหลินเฉิง แต่เธอก็ไม่คิดเลยว่าเขาจะเอาแต่พูดคุยกับบรรดามิตรสหายเท่านั้นและทำเหมือนเธอไม่มีตัวตนเลยสักนิด
ภายในบ้านมีผู้คนอยู่ตั้งมากมาย แต่ดูเหมือนไม่มีใครอยากจะคุยกับสองสามีภรรยาคู่นี้เลย นั่นทำให้ฉินเซียวและม่อป๋อซงรู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองคนต่างก็เติบโตมาในตระกูลใหญ่ ย่อมไม่เคยถูกเมินเฉยแบบนี้มาก่อน
แต่วันนี้พวกเขามาเพื่อขอความช่วยเหลือ จึงจำเป็นต้องทนรับความอับอายต่อไป
“ฉินซือ” ฉินเซียวเดินตรงเข้าไปยืนข้างกายฉินซือ ขยิบตาให้เขา ส่งสัญญาณให้น้องชายช่วยพูดให้ม่อป๋อซงต่อหน้าเจ้านายอย่างหลินเฉิงเรื่องการเลื่อนตำแหน่ง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าน้องชายของเธอจะหันหน้าหนีไปทางอื่น ถึงกับขยับตัวหนีเธอห่างออกไปอีกด้วย
เมื่อเห็นการปฏิเสธจากฉินซือ ผู้เป็นพี่สาวก็ต้องกัดฟันด้วยความเจ็บใจ เธอจึงนั่งลงบนโซฟาและพยายามจะพูดคุยกับหลินเฉิงอีกครั้ง
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฉินซือก็ได้แต่หัวเราะเยาะอยู่ในใจ
ใครก็ตามที่มามีปัญหากับลู่ฉิวเยว่ แถมยังดูถูกเธออยู่ทุกวัน ก็สมควรแล้วที่จะต้องพบกับความอับอายเช่นนี้ อย่างน้อยพี่สาวของเขาจะได้ไม่กล้าดูถูกลู่ฉิวเยว่อีก
เมื่อเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรงแล้ว หญิงวัยกลางคนที่นั่งพูดคุยอยู่กับลู่ฉิวเยว่ก็หันมามองหน้าเธอ คิดอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะยิ้มออกมาและหันไปพูดกับกลุ่มชายวัยกลางคนว่า “ในเมื่อนี่ก็เป็นเวลาพักกลางวันแล้ว ทำไมพวกเราไม่พาฉิวเยว่ออกไปหาอะไรกินข้างนอกกันหน่อยล่ะ!”