สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 123 เหลียงซิงยอมรับความพ่ายแพ้
บทที่ 123 เหลียงซิงยอมรับความพ่ายแพ้
ลู่ฉิวเยว่ได้แต่หัวเราะเยาะอยู่ในใจ ไม่สนใจสีหน้ายิ้มย่องของอีกฝ่าย
เธอหั่นเนื้อวัวอย่างปราณีต แต่ละชิ้นมีขนาดเท่ากันหมด ก่อนจะนำเครื่องปรุงพิเศษออกมาคลุกเคล้า แล้วนำลงไปเคี่ยวในน้ำเดือด…
เพียงไม่นานการทำเนื้อตุ๋นของทั้งสองคนก็เสร็จสิ้น ทุกคนต่างก็ยืดคอมองด้วยความสนใจ กลิ่นหอมในอากาศทำให้น้ำลายสอไม่รู้ตัว
“อาจารย์ทุกท่านเชิญชิมได้เลยค่ะ” ลู่ฉิวเยว่วางชามอาหารของเธอลงบนโต๊ะกลมขนาดใหญ่ที่ทีมงานเตรียมเอาไว้พร้อมกับส่งยิ้มให้คณะกรรมการ เช่นเดียวกับเหลียงซิง
แต่เมื่อเหลียงซิงได้เห็นชามเนื้อตุ๋นของลู่ฉิวเยว่ สีหน้าของเขาก็ต้องเปลี่ยนไป
เป็นไปได้อย่างไร?
เขาจ้องมองเนื้อตุ๋นของเธอด้วยความพิศวง
เนื้อตุ๋นของลู่ฉิวเยว่มีสีสันน่ารับประทานกว่าของเขา แถมยังมีกลิ่นหอมมากกว่า ไม่ว่าใครก็สามารถมองออกได้ด้วยตาเปล่า
“ฝีมือการทำอาหารของคุณลู่ช่างมหัศจรรย์จริง ๆ”
“ผมไม่เคยรับประทานเนื้อตุ๋นที่ไหนอร่อยขนาดนี้มาก่อน!”
…
คณะกรรมการทุกคนที่ได้รับประทานเนื้อตุ๋นต่างก็ต้องยกนิ้วโป้งชื่นชม แววตาของซูเต๋อเหนียนไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจได้อีกแล้ว
เนื้อตุ๋นชามนี้อร่อยมากกว่ามะเขือยาวตุ๋นราดซอสที่เธอทำก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าหญิงสาวคนนี้ยังไม่ได้แสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาเลยด้วยซ้ำ
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มรับอย่างถ่อมตัว แต่ในใจกำลังหัวเราะเยาะใส่เหลียงซิง เธอจะไม่ได้เตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร
นี่คือสูตรเนื้อตุ๋นที่เธอได้มาจากระบบ แถมยังผ่านการดัดแปลงมาแล้วหลายครั้ง แล้วเธอจะพ่ายแพ้ให้กับเขาได้เชียวเหรอ?
เมื่อมีความแตกต่างอย่างชัดเจนเช่นนี้ คณะกรรมการก็ประกาศผลอย่างรวดเร็วว่าลู่ฉิวเยว่เป็นผู้ชนะ
ด้วยเหตุนี้เอง เหลียงซิงจึงผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง ตำแหน่งนี้ควรเป็นของเขา แต่ก็ถูกลู่ฉิวเยว่พรากจากไปแล้ว เธอเป็นใครมาจากที่ไหนก็ไม่รู้!
แต่ไม่ว่าเขาจะรู้สึกแค้นเคืองอย่างไร เหลียงซิงก็ไม่ต้องการแสดงออกมา เพราะว่ามันน่าอายมากเกินไป
ลู่ฉิวเยว่จึงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่เห็นอีกฝ่ายยอมกัดฟันเดินเข้ามาแสดงความยินดีกับเธอ
“ยินดีด้วยนะครับคุณลู่ ผมยอมรับว่าตัวเองแพ้แล้วจริง ๆ” เหลียงซิงพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความเคารพนับถือและเสแสร้งแกล้งยอมรับความพ่ายแพ้อย่างสุภาพบุรุษ “สมาคมผู้ทำอาหารของเรายังขาดผู้มีฝีมืออย่างคุณ ไม่ทราบว่าคุณลู่สนใจจะเข้าร่วมกับพวกเราไหมครับ?”
ทันใดนั้น ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นก็ตกตะลึง สมาคมผู้ทำอาหารที่ถูกเอ่ยถึงเป็นสมาคมที่โด่งดังมากระดับประเทศ ถ้าใครได้เข้าสมาคมแห่งนั้น อนาคตก็จะสดใสไม่ใช่หรือ?
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มและโบกมือปฏิเสธ “ขอบคุณนะคะ คุณเหลียง แต่ฉันขอผ่านดีกว่า ฉันยังต้องเรียนรู้อีกเยอะค่ะ”
หญิงสาวตัดสินใจได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว สมาคมแห่งนั้นอาจจะมีชื่อเสียงในทางที่ดี แต่ในความเป็นจริงนั้น เป็นองค์กรที่มีแต่การแสวงหาผลประโยชน์ เธอเกลียดชังเรื่องราวเหล่านี้เป็นที่สุด จึงไม่มีทางเข้าร่วมสมาคมอย่างแน่นอน
“งั้นคุณลู่มาทำงานที่ร้านอาหารของเราไหมครับ?” ชายร่างอ้วนคนหนึ่งเดินเบียดเข้ามา รอยยิ้มปรากฏเต็มใบหน้า “ถ้าคุณมาที่ร้านของเรา ผมจะให้คุณเป็นหัวหน้าเชฟ แล้วผมจะให้คุณกำหนดเงินเดือนเองด้วย!”
ลู่ฉิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นสูง นั่นเป็นเพราะเธอจำได้ว่าชายร่างอ้วนคนนี้เป็นเจ้าของโรงแรมเซิงหัวนั่นเอง
โรงแรมเซิงหัวเป็นโรงแรมชื่อดังในประเทศจีน มีสุดยอดเชฟมากมายทำงานด้วยความภาคภูมิใจให้แก่โรงแรมแห่งนี้
แต่เธอก็ยังปฏิเสธอยู่ดี เธอไม่ได้อยากไปเป็นเชฟในร้านอาหารของใครเลย แต่เธออยากจะมีร้านอาหารเป็นของตนเองและสร้างอาณาจักรของตนเองขึ้นมาให้สำเร็จมากกว่า
“ขอบคุณสำหรับความเมตตานะคะ แต่ฉันมีร้านอาหารของตัวเองอยู่แล้วค่ะ”
ชายร่างอ้วนตกใจไม่น้อยกับคำปฏิเสธ เขาอดผิดหวังไม่ได้ ถ้าเธอตอบตกลง ร้านอาหารในโรงแรมของเขาก็จะได้รับการยกระดับมากขึ้นแท้ ๆ
เขายิ้มออกมาอย่างสุภาพและหยิบนามบัตรออกจากกระเป๋า “แต่ผมยังคงหวังว่าคุณลู่จะพิจารณาโรงแรมของเรานะครับ พวกเราหาเวลามานัดคุยกันอีกทีดีไหม?”
ลู่ฉิวเยว่รับนามบัตรมาด้วยสองมือ ก่อนจะโค้งตัวลงเล็กน้อย “ได้เลยค่ะ ถ้ามีเวลาฉันจะติดต่อคุณไปแน่นอน”
ชายร่างอ้วนมีความสุขมากและรับคำว่า “ดีเลยครับ” หลายครั้งติดต่อกัน
หลังจากนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามด้วยความสงสัยว่า “ไม่ทราบว่าเครื่องปรุงของคุณลู่…”
เขาสังเกตเห็นว่าเธอนำเครื่องปรุงส่วนตัวออกมาใช้ระหว่างการแข่งขันและพวกมันก็ดูดีมากทีเดียว
ลู่ฉิวเยว่รู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร จึงยิ้มตอบกลับไปว่า “ฉันทำด้วยตัวเองหมดเลยค่ะ เป็นสูตรลับ คุณซูสนใจหรือคะ?”
ซูเจิ้นมีดวงตาเป็นประกาย พบช่องทางทำธุรกิจอย่างรวดเร็ว จึงยื่นมือออกไปพูดว่า “ไม่ทราบว่าพวกเราพอจะมีโอกาสร่วมธุรกิจกันในอนาคตได้ไหมครับ?”
“ได้แน่นอนค่ะ!” ลู่ฉิวเยว่ยิ้มรับอย่างสุภาพ ยื่นมือออกไปเขย่ามือเขาเบา ๆ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เกือบจะ 14:00 น. แล้ว คณะกรรมการหลายท่านเป็นผู้สูงอายุ ทุกคนเริ่มหาวและมีสีหน้าเหนื่อยล้า
เมื่อบอกลากันและกันเรียบร้อย ลู่ฉิวเยว่ก็ขอตัวเดินจากมา
และทันทีที่เธอเดินออกมาจากหอประชุม เธอก็เห็นฉินซือยืนพิงรถยนต์ของเขา เขาน่าจะรอเธอมาพักใหญ่แล้ว
“ขึ้นรถแล้วไปกันเถอะ” ฉินซือยิ้มให้เธอและเปิดประตูรถ
ลู่ฉิวเยว่รับคำเบา ๆ
ทิวทัศน์นอกหน้าต่างยังคงสวยงาม ในยุค 1980 ที่เมืองหลวงยังมีรถยนต์ไม่มาก การจราจรยังไม่ติดขัด ในไม่ช้า พวกเขาก็ไปถึงสถานที่จัดการแข่งขันของหวังเซวียนเซวียน
“เฮ้อ! ในที่สุดก็มากันแล้ว” เมื่อเห็นรถยนต์แล่นเข้ามาจอด หวังเซวียนเซวียนก็รีบกระโดดเข้าไปนั่งบนเบาะหลังทันที
เขาและเลขาหวังรอคอยอยู่มากกว่า 2 ชั่วโมง จึงรู้สึกเหนื่อยล้าจากการยืนรอเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นเขาบ่น ลู่ฉิวเยว่ก็ยิ้มให้เขาอย่างเอ็นดู หวังเซวียนเซวียนรู้สึกเขินอายเล็กน้อยที่เห็นพฤติกรรมไม่ปกติของเธอ จึงต้องยกมือเกาหัวแก้เก้อ
“การแข่งขันเป็นยังไงบ้าง?”
เธอพยายามเปลี่ยนเรื่อง
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของเด็กหนุ่มก็เป็นประกายแวววาว “ผ่านเข้ารอบครับ!”
ยิ่งไปกว่านั้น หัวหน้าคณะกรรมการยังประทับใจในวิธีการพัฒนาเครื่องยนต์ของเขาอีกด้วย หัวหน้าคณะกรรมการชื่นชมอยู่หลายครั้ง จนทำให้หวังเซวียนเซวียนรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
“วันนี้เป็นวันดีจริง ๆ แฮะ!” ฉินซือหันไปมองหน้าหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ และแนะนำว่า “พวกเราเดินทางเหน็ดเหนื่อยมาตั้งสองวัน ตอนนี้ยังไม่ได้มีอะไรดี ๆ กินกันเลย และวันนี้พวกเราก็มีความสุขคูณสองด้วย คุณอยากไปรับประทานอาหารในร้านดี ๆ บ้างไหม?”
ทุกคนต่างก็เห็นด้วยทันที เพราะนี่ก็เป็นเวลายามบ่ายแล้ว พวกเขายังไม่ได้กินข้าวกลางวัน ตอนนี้จึงรู้สึกหิวเป็นอย่างยิ่ง
ร้านอาหารที่ฉินซือเลือกเป็นร้านที่อยู่ใกล้ใจกลางเมือง เป็นร้านอาหารขนาดใหญ่และมีผู้คนหนาแน่น
“จะมีโต๊ะว่างให้พวกเราเหรอเนี่ย?” ลู่ฉิวเยว่ถามด้วยความวิตกกังวล “ทำไมไม่หาร้านข้างทางกินให้หายหิวไปก่อน?”
“ไม่เป็นไร!” ฉินซือส่ายหน้าและเดินโอบไหล่ลู่ฉิวเยว่ให้อยู่ในอ้อมแขน ตอนนี้เองเธอถึงได้รู้ว่าเขาจองโต๊ะเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว และเรื่องที่ว่าอยากจะเลี้ยงอาหารเพราะวันนี้ทุกคนมีความสุขคูณสองก็เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น
โรงแรมแห่งนี้มีลักษณะคล้ายกับโรงแรมก่อนหน้า มีห้องอาหารส่วนตัว สามารถรักษาความเป็นส่วนตัวของลูกค้าได้เป็นอย่างดี
แม้ว่าในตอนบ่ายจะมีลูกค้าไม่มาก แต่พวกเขาก็ต้องรออาหารอยู่พักใหญ่ ดังนั้น ทุกคนจึงลงความเห็นว่าควรสั่งของหวานมารับประทานรองท้องก่อน
ตรงหน้าลู่ฉิวเยว่คือจานใส่เค้กข้าวกลิ่นหอมหวล เค้กข้าวมีสีเหลืองทองสวยงาม ไม่ต้องใช้สารเคมีในการแต่งกลิ่น ก็ทำให้ผู้คนน้ำลายสอได้แล้ว
ลู่ฉิวเยว่อดใจไม่ไหวต้องรับประทานไปถึง 2 ชิ้น