สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 120 รางรถไฟถูกทำลาย
บทที่ 120 รางรถไฟถูกทำลาย
หญิงสาวหน้าแดงจากการถูกรั้งตัว เธอไม่อยากส่งมอบกระเป๋าออกมา เธอเอาแต่ยืนยันว่ามันเป็นกระเป๋าของเธอเอง
เสี่ยวหวังหัวเราะเยาะ หันหน้าไปกระซิบอะไรบางอย่างกับผู้ชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผู้ชายคนนั้นพยักหน้า แล้วเดินย้อนกลับเข้าไปในตู้โดยสาร
“มีคนโดนขโมยของเหรอเนี่ย?” ลู่ฉิวเยว่ได้ยินเสียงพูดคุยกันดังห่างออกไปไม่ไกล เธอจึงสวมเสื้อคลุมและปีนลงจากเตียง ต้องการจะออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเธอออกมาจากห้องโดยสารก็ถูกผู้ชายคนหนึ่งขวางเอาไว้
เมื่อหญิงสาวได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เธอก็รีบกลับไปตรวจดูข้าวของของตนเองด้วยความตกใจ และได้พบว่ากระเป๋าสัมภาระของเธอมีคนมาตรวจค้นไปแล้ว แถมกระเป๋าใส่เครื่องปรุงสำหรับทำอาหารก็ถูกขโมยไปด้วย!
ลู่ฉิวเยว่หันไปมองหน้าฉินซือ ทั้งสองคนรีบติดตามผู้ชายคนนั้นไปยังจุดที่คนร้ายถูกจับตัวอยู่โดยทันที
ลู่ฉิวเยว่จ้องมองดูโดยละเอียดและพบว่าเป็นใบหน้าที่คุ้นเคย เด็กชายคนนั้นร้องไห้ขณะจ้องมองขนมของเธอเมื่อตอนเช้า เขาอยู่กับพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตา
แล้วลู่ฉิวเยว่ก็เข้าใจทุกอย่างโดยทันที เธอนำเครื่องปรุงสำหรับทำอาหารห่อไว้ในกระเป๋าอย่างดี คงมีคนคิดว่าห่อเครื่องปรุงของเธอเป็นห่อขนมที่เธอกินเมื่อตอนเช้าจึงมาขโมยไป
“ผู้หญิงคนนี้ขโมยของของฉันเหรอคะ?” ลู่ฉิวเยว่หันกลับมาสอบถามกับเสี่ยวหวัง
เสี่ยวหวังพยักหน้า “ใช่แล้วครับ!”
“บอกแล้วไงว่าไม่ได้ขโมย อย่ามากล่าวหากันลอย ๆ สิ!” หญิงผู้ถูกกล่าวหายังคงปฏิเสธ
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะในลำคอ “งั้นคุณก็น่าจะอธิบายได้นะว่าของในกระเป๋าคืออะไร”
“นี่มันของของฉัน ทำไมฉันต้องบอกเธอด้วย!” หัวขโมยหญิงตอบกลับมาอย่างเย็นชา ไม่ว่าอย่างไรก็ยังยืนยันว่ากระเป๋าใบนี้เป็นของเธอ ถ้ามีใครกล้ามาแตะตัวเธออีก เธอจะร้องตะโกนว่าถูกลวนลาม
“ตอนนี้รถไฟเข้าเทียบสถานีพอดี ในเมื่อตกลงกันไม่ได้ ทำไมไม่พาตัวไปที่สถานีตำรวจล่ะ ให้ตำรวจช่วยตัดสินดีกว่า” ผู้โดยสารคนหนึ่งแนะนำขึ้นมา
มีเสียงสนับสนุนดังขึ้นทันที หัวขโมยหญิงมีท่าทางร้อนรนมากขึ้น ถ้าเธอถูกพาตัวไปที่สถานีตำรวจ พวกเขาก็จะรู้ว่าเธอมีประวัติอาชญากรรม!
ที่เธอกล้าลงมือก่อเหตุก็เพราะคนส่วนใหญ่บนรถไฟมักจะมาจากต่างถิ่น โดยส่วนมากชีวิตนี้ก็จะพบกันแค่ครั้งเดียว แต่สำหรับตำรวจที่อยู่ในสถานี ทุกคนรู้จักเธอดี แล้วถ้าพวกเขารู้ว่าเธอมีประวัติอะไรบ้าง เธอก็จะต้องถูกเปิดโปงอย่างแน่นอน
ใบหน้าของสามีเธอพร้อมด้วยหญิงชรามีอาการร้อนรนอย่างชัดเจน เพราะพวกเขาไม่อยากจะทำให้ตัวเองขายหน้ามากไปกว่านี้อีกแล้ว
หญิงสาวทำใจแข็ง กัดฟันพูดออกไปว่า “ฉันต้องรู้ดีอยู่แล้ว ในกระเป๋าเป็นขนมที่ฉันซื้อมาจากข้างนอก!”
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะเยาะ “ขนม? ในกระเป๋าเป็นเครื่องปรุงของฉันต่างหาก!”
หลังจากพูดจบแล้ว ลู่ฉิวเยว่ก็กระชากกระเป๋ากลับมาโดยไม่ปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นตั้งตัวทัน แล้วทุกคนก็ได้เห็นสิ่งที่บรรจุอยู่ในกระเป๋าทันที ลู่ฉิวเยว่เปิดห่อกระดาษออกให้ทุกคนดู ซึ่งมันก็เป็นห่อเครื่องปรุงสำหรับทำอาหารจริง ๆ
“เป็นหัวขโมยจริง ๆ ด้วย!” ใครบางคนอุทานขึ้นมา
เมื่อความจริงถูกเปิดเผย เสี่ยวหวังก็จับตัวหัวขโมยหญิงอย่างเย็นชาและเดินลงไปจากรถไฟ รถไฟต้องจอดที่สถานีเป็นเวลาสั้นๆ เขาอยากจะนำตัวผู้หญิงคนนี้ไปส่งสถานีตำรวจ แล้วรีบกลับมาขึ้นรถไฟให้ทันเวลา
ลู่ฉิวเยว่กับฉินซือติดตามเสี่ยวหวังไปด้วย ส่วนพ่อของเด็กชายและหญิงชราหวาดกลัวจนไม่กล้าตามไป พวกเขารีบอุ้มเด็กน้อยวิ่งหนีไปทันที
โชคดีที่สถานีตำรวจอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ พวกของลู่ฉิวเยว่จึงจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยและกลับมาขึ้นรถไฟได้ทันเวลา
“ขอบคุณพี่หวังมากนะคะ” ลู่ฉิวเยว่พูดด้วยความดีใจ “ไม่งั้นของของฉันคงโดนขโมยไปแล้ว”
ของในกระเป๋าเป็นเครื่องปรุงที่เธอเตรียมเอาไว้สำหรับการแข่งขันเป็นพิเศษ ถ้าเธอทำหาย เธอก็จะต้องเสียเวลาเดินทางไปซื้อหาอีกหลายที่ ซึ่งนอกจากจะต้องใช้เวลาจำนวนมากแล้ว ยังอาจจะทำให้การแข่งขันล่าช้าอีกด้วย
เสี่ยวหวังส่ายหน้า “การรับใช้ประชาชนเป็นหน้าที่ของตำรวจอยู่แล้วครับ อีกอย่างเราก็เป็นเพื่อนกันนี่นา”
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาเล็กน้อย เสี่ยวหวังคนนี้ก็คือนายตำรวจสายสืบที่เคยไปจับพวกลักลอบขนของเถื่อนที่หมู่บ้านเยว่เหลียงมาแล้วนั่นเอง
เธอดีใจมากที่ได้พบกับคนคุ้นหน้าคุ้นตาจึงพูดคุยไม่หยุด
“ที่ผมเดินทางเข้าเมืองหลวงในครั้งนี้ก็เพื่อมารับการเลื่อนตำแหน่งน่ะ…” เสี่ยวหวังซึ่งเป็นคนอารมณ์ดีเปิดเผยถึงจุดประสงค์ในการเดินทางของตนเอง
ลู่ฉิวเยว่หยุดชะงักเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้างมากกว่าเดิม “งั้นฉันก็ยินดีด้วยนะ พี่หวัง! ขอแสดงความยินดีด้วยจริง ๆ!”
เสี่ยวหวังได้ยินเธอพูดแบบนั้นก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง เขาหันกลับมามองหน้าฉินซือและยิ้มหยอกเย้าว่า “พี่ฉินอยู่กับคุณมาตั้งนานแล้ว เมื่อไหร่ผมจะได้ดื่มสุรางานแต่งสักทีเนี่ย?”
ลู่ฉิวเยว่ไอออกมาแห้ง ๆ รู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย
ในทางกลับกัน ฉินซือมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับ “ผมกำลังพยายามอยู่ครับ เอาไว้แต่งงานกันเมื่อไหร่ ผมจะเชิญคุณตำรวจมาร่วมดื่มสุรางานแต่งอย่างแน่นอน!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสี่ยวหวังก็หัวเราะออกมาเสียงดังและรับคำว่า “ได้เลย” อยู่หลายครั้ง
นี่ก็เป็นเวลาที่ดึกมากแล้ว สภาพแวดล้อมโดยรอบเงียบสงบ พวกเขานั่งรถไฟด้วยความเหนื่อยล้ามาตลอดทั้งวัน จึงตั้งใจว่าพูดคุยกันจบก็จะแยกย้ายกันไปพักผ่อน แต่แล้วรถไฟก็ต้องหยุดลงอย่างช้า ๆ โดยไม่คาดคิด
บรรดาผู้โดยสารที่กำลังนอนหลับสะดุ้งตื่นทันที ทุกคนลุกขึ้นนั่งด้วยความสงสัย
“อ้าว?” เสี่ยวหวังยืนตัวตรง สีหน้าประหลาดใจ “ยังไม่ถึงสถานีเลย รถไฟหยุดทำไมนะ?”
ลู่ฉิวเยว่ส่ายหน้าและจ้องมองไปยังทิศทางที่ห่างไกลออกไป
เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ ตู้โดยสารจึงมีเสียงจอแจขึ้นมาทันที เด็กน้อยตื่นขึ้นมาร้องไห้ เสียงแสบแก้วหูจนเธอรู้สึกปวดหัว
“ทุกคนได้โปรดเงียบก่อน!” ในไม่ช้า พนักงานบนรถไฟก็วิ่งเข้ามาอธิบายเสียงดัง “เกิดเหตุภูเขาถล่ม รางรถไฟข้างหน้าถูกทำลาย รถไฟไม่สามารถเคลื่อนขบวนเข้าสู่เมืองปักกิ่งได้ในเวลานี้ ขอให้ทุกท่านอดทนรอ”
“พวกเราต้องรอนานแค่ไหน?” ใครบางคนถามขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
แต่พนักงานรถไฟคนนั้นก็ไม่ได้อธิบาย แค่พยักหน้าตอบว่า “อีกไม่นาน”
“แต่พวกเราไปสายแน่ ๆ” ลู่ฉิวเยว่ขมวดคิ้ว สีหน้าวิตกกังวลเล็กน้อย
กว่ารางรถไฟจะซ่อมเสร็จก็ต้องรอจนถึงบ่ายวันพรุ่งนี้ แล้วต้องใช้เวลาอีกครึ่งวันกว่าจะเดินทางไปถึงเมืองหลวง แต่การแข่งขันทำอาหารก็เริ่มเช้าวันมะรืนนี้แล้ว เธออาจจะไปไม่ทันเวลาแข่งก็เป็นได้
เสี่ยวหวังหันมามองด้วยความสงสัย
ฉินซืออธิบายเงียบ ๆ ว่า “การแข่งขันทำอาหารจะเริ่มขึ้นเวลา 9 โมงเช้าวันมะรืนนี้ครับ”
แววตาของเสี่ยวหวังเป็นประกายด้วยความเข้าใจขึ้นมาทันที เขายิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมจะติดต่อเพื่อนร่วมงานให้มาช่วยเหลือเอง รับรองว่าไปทันแน่ ๆ”
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขและพยักหน้าขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า
ครั้งนี้นับว่าเขามีบุญคุณกับเธอจริง ๆ!
เมื่อมีเสี่ยวหวังคอยประสานงาน เพื่อนตำรวจของเขาก็มาถึงอย่างรวดเร็ว และบ่ายวันต่อมา พวกเขาก็ไปถึงเมืองปักกิ่งในที่สุด
“คุณลู่ พี่ฉิน ไว้พบกันใหม่นะครับ!”
เมื่อพวกของลู่ฉิวเยว่ทั้งสามคนลงจากรถยนต์ นายตำรวจเสี่ยวหวังที่นั่งอยู่บนเบาะผู้โดยสารก็หันมายิ้มและโบกมือลาพวกเขา
ฉินซือยิ้มออกมาเล็กน้อยและพยักหน้า “แล้วเจอกันครับ!” ครั้งหน้า เขาจะต้องเลี้ยงสุรางานแต่งให้แก่นายตำรวจคนนี้ให้ได้
“พวกเราหาที่พักกันก่อนเถอะ” ลู่ฉิวเยว่หันมองรอบตัวและกระซิบเสียงแผ่วเบา ตอนนี้พวกเขากำลังเดินอยู่บนท้องถนนที่ไม่คุ้นเคยและมีรถยนต์แล่นผ่านไปผ่านมา
เธอกำลังมองหาบ้านพัก
หลังจากได้ยินความคิดของหญิงสาว ฉินซือก็แนะนำขึ้นมาว่า “ผมมีบ้านอยู่ที่นี่ คุณกับเซวียนเซวียนมาอยู่บ้านผมก็แล้วกัน”
บ้านของเขามีขนาดกว้างขวางใหญ่โต ไม่มีปัญหาที่จะอยู่ด้วยกันหมดทั้งสามคน และแน่นอนว่ามันต้องดีกว่าการออกไปหาที่อยู่ข้างนอกไม่รู้ตั้งกี่เท่า
แต่ลู่ฉิวเยว่กลับส่ายหน้า “อยู่บ้านคนอื่นมันไม่สะดวกใจหรอกค่ะ เดี๋ยวเซวียนเซวียนกับฉันจะอยู่บ้านเช่าเอง คุณก็กลับไปอยู่บ้านของคุณเถอะ”
ใครคือคนอื่น? นี่เขาเป็นคนอื่นไปแล้วหรอ?
ฉินซือรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อยที่เธอไม่ได้สนใจอะไรเลย หญิงสาวเดินลากกระเป๋าสัมภาระต่อไปหน้าตาเฉย
ชายหนุ่มกัดฟัน เดินบ่นพึมพำและไปช่วยลากกระเป๋าให้เธอ
แต่แน่นอนว่าหญิงสาวยังคงลังเลเกี่ยวกับความรู้สึกของพวกเขาอยู่แล้ว เนื่องจากเหตุการณ์ที่ฉินเซียวได้ก่อเอาไว้