สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 119 หัวขโมย
บทที่ 119 หัวขโมย
ลู่ฉิวเยว่นอนพักสายตาอยู่บนเตียงชั้นบนได้ประมาณ 2 ชั่วโมง เพียงไม่นานก็ถึงเวลาอาหารกลางวัน
พวกเขาตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อมาขึ้นรถไฟ ตอนนี้จึงหิวมาก หวังเซวียนเซวียนทนไม่ไหวต้องนำซาลาเปาที่คุณแม่ลู่นึ่งเอาไว้ให้เมื่อคืนนี้ออกมาจากกระเป๋า
ซาลาเปาที่คุณแม่ลู่ทำแตกต่างจากซาลาเปาเนื้อหยาบทั่วไป เพราะนี่เป็นซาลาเปาที่ทำมาจากแป้งคุณภาพดี มีสีขาวสะอาด อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมชวนให้น้ำลายไหล
ลู่ฉิวเยว่ก็นำซาลาเปาติดกระเป๋ามาหลายลูกเหมือนกัน เธอกำลังจะนำออกมารับประทาน ฉินซือก็เข้ามาหาพร้อมกับถุงขนมพอดี
“ผมสั่งให้เลขาหวังซื้อขนมพวกนี้มาให้น่ะ คุณบอกว่าชอบกินใช่ไหม?” ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวที่อยู่บนเตียงชั้นบนด้วยความกระตือรือร้นเพราะกลัวว่าเธอจะปฏิเสธ
ลู่ฉิวเยว่ลังเลเล็กน้อย แต่ก็เอื้อมมือไปรับไว้
เพราะแค่สิ่งที่ฉินเซียวทำ เขาก็รู้สึกผิดมากอยู่แล้ว ถ้าเธอปฏิเสธเขาอีก เขาก็อาจจะคิดว่าเธอกำลังโกรธและเริ่มมีความคิดเป็นอย่างอื่นอีกก็เป็นได้
“อร่อยจังเลย!” เธอลองชิมขนมที่เขาส่งให้ แล้วก็ต้องเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ ขนมหวานของเขายังอุ่น ๆ อยู่เลย เมื่อเธอก้มมองไปเห็นกล่องเก็บอุณหภูมิบนเตียงเขา ดวงตาของลู่ฉิวเยว่ก็เป็นประกายระยิบระยับด้วยความเข้าใจขึ้นมาทันที
ฉินซือซื้อขนมมาเพียงพอสำหรับพวกเขาทุกคน หวังเซวียนเซวียนก็ได้รับประทานเช่นกัน แต่ถึงแม้ขนมพวกนั้นจะไม่ได้อุ่น ๆ เหมือนที่ลู่ฉิวเยว่ได้รับประทาน แต่อย่างน้อยมันก็อร่อยมากกว่าขนมที่เขาพกติดตัวมาหลายเท่า
หวังเซวียนเซวียนอดหัวเราะและพูดขึ้นมาไม่ได้ “ผมได้รับส่วนบุญก็เพราะพี่สาวเลยนะเนี่ย”
ลู่ฉิวเยว่ถูกน้องชายหยอกเย้าจนเขินอาย แล้วเธอก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก
ทันใดนั้น หญิงสาวก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังขึ้นมาจากห้องโดยสารที่อยู่ข้าง ๆ เธอหันหน้าไปดู ปรากฏว่าคนที่อยู่ในห้องโดยสารข้าง ๆ นั้นเป็นเด็กคนหนึ่ง
เด็กชายมีอายุประมาณ 5 – 6 ขวบ กำลังจ้องมองมาที่ขนมหวานในมือของพวกเธอไม่วางตา
หญิงชราที่กำลังอุ้มเด็กชายอยู่รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง รีบกดหัวของเด็กชายให้อยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง แถมยังตีก้นเขาอีกด้วย เมื่อเด็กชายเงียบ หญิงชราก็อุ้มเด็กน้อยอยู่ในอ้อมแขนไม่ยอมปล่อย
“สาวน้อย ฉันมีอะไรจะคุยกับเธอหน่อย” หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ 50 ปีเดินตรงเข้ามาขัดจังหวะความคิดของลู่ฉิวเยว่
“บอกมาได้เลยค่ะ”
“ฉันอยากนอนเตียงชั้นบน ฉันขอเปลี่ยนเตียงกับเธอได้ไหม?” ป้าคนนั้นชี้มือไปยังห้องโดยสารที่อยู่ติดกัน
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที แต่ก็ยังฉีกยิ้มตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “แฟนหนูซื้อตั๋วเตียงนี้มาในราคาแพงมากค่ะ ตั้ง 50 หยวนเชียวนะ ถ้าคุณป้าอยากจะเปลี่ยนเตียงจริง ๆ ช่วยจ่ายเงินให้หนูได้ไหมคะ?”
“ว่าไงนะ? 50 หยวน!” มนุษย์ป้ามีสีหน้าเย็นชาขึ้นมาทันที ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ “แบบนี้มันปล้นกันชัด ๆ!”
“ถ้าไม่ให้เงินก็ไม่เปลี่ยนนะคะ” ลู่ฉิวเยว่แกล้งชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจเช่นกัน
“ไม่เปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยน คนอะไรขี้งกจริง ๆ! คงมีแค่คนตาบอดเท่านั้นแหละที่มาเป็นแฟนเธอได้!”
มนุษย์ป้าบ่นด้วยความหัวเสียก่อนจะหมุนตัวเดินกลับออกไป
ฉินซือมีสีหน้าเย็นชาปานน้ำแข็ง แต่ลู่ฉิวเยว่ไม่ได้โกรธเลยสักนิด และเธอเป็นฝ่ายที่ต้องยิ้มปลอบใจเขาแทนว่า “ไปโกรธคนแปลกหน้าจะได้ประโยชน์อะไรคะ พวกเราพักผ่อนกันดีกว่า”
ถึงชายหนุ่มจะล้มตัวลงนอนด้วยความเชื่อฟัง แต่สีหน้าของเขาก็ยังบึ้งตึงอยู่ดี
“พี่สาวสุดยอดไปเลยครับ!” หวังเซวียนเซวียนอดชื่นชมออกมาไม่ได้ “ถ้าเป็นผมนะ ผมคงต้องยอมเปลี่ยนกับป้าแกไปแล้ว”
“ฉันไม่ชอบเตียงนั้น ฉันไม่ได้อยากเปลี่ยนอยู่แล้ว ก็เลยไม่คิดจะเจรจาอะไรทั้งนั้น” ลู่ฉิวเยว่หัวเราะในลำคอ “จงทำตัวเป็นคนใจแข็งเมื่ออยู่ในโลกภายนอก ปฏิเสธบ้างเมื่อมีโอกาส อย่าทำให้ตัวเองเดือดร้อน ไม่งั้นคนอื่นจะคิดว่าเธอคือคนอ่อนแอที่จะถูกรังแกได้ง่าย ๆ”
หวังเซวียนเซวียนพยักหน้าอย่างใช้ความคิด
เมื่อพบว่าน้องชายกำลังรับฟังอย่างตั้งใจ เธอก็พูดออกมาอีกครั้ง “โดยเฉพาะผู้ชายอย่างเธอเนี่ยแหละ เธอจะปกป้องแฟนในอนาคตของตัวเองได้ยังไง ถ้าเธอยังดูแลตัวเองไม่ได้”
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแม่ของหวังเซวียนเซวียนมากกว่าพี่สาวแล้วเสียอีก เธอกลัวเหลือเกินว่าเขาจะถูกโลกภายนอกอันโหดร้ายรังแกจนจิตใจบอบช้ำ
“ผมจะพยายามให้เต็มที่เลยครับ!” หวังเซวียนเซวียนสาบานด้วยความมุ่งมั่น
ในอนาคต เขาจะทำงานหนักเพื่อให้กลายเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวและกลับมาปกป้องพ่อแม่พี่น้องให้ได้!
สองพี่น้องพูดคุยกันอย่างมีความสุข ฉินซือที่นอนฟังอยู่บนเตียงชั้นล่างก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย หลายวันที่ผ่านมานี้ ลู่ฉิวเยว่พูดคุยกับเขาไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่พูดคุยกับหวังเซวียนเซวียน เธอปฏิบัติต่อเขาแตกต่างจากคนอื่นจริง ๆ!
ในห้องโดยสารอีกห้องหนึ่ง ในมุมที่ไม่มีใครมองเห็น
เด็กชายตัวน้อยสลัดหลุดจากอ้อมแขนของหญิงชรา วิ่งเข้าไปหาพ่อแม่พร้อมกับร้องไห้จ้า พร้อมกันนั้นก็ชี้มือไปยังลู่ฉิวเยว่ที่กำลังพูดคุยอยู่กับหวังเซวียนเซวียน
“รอหน่อยนะ เดี๋ยวลูกได้กินแน่นอน” หญิงสาวมองไปตามที่ลูกชายชี้ ดวงตาของเธอเป็นประกายระยิบระยับพลางลูบหลังเด็กน้อยเป็นการปลอบใจ
เมื่อเด็กชายบรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้วก็เงียบเสียงลงไปทันที
อาจเป็นเพราะว่าบนรถไฟนั้นน่าเบื่อ หวังเซวียนเซวียนจึงเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ลู่ฉิวเยว่ก็รู้สึกเบื่อกับการจ้องมองความมืดนอกหน้าต่าง เธอจึงนอนลงเช่นกัน
ห้องโดยสารค่อนข้างเงียบ จะได้ยินเสียงของผู้โดยสารคนอื่น ๆ กรนออกมาบ้างเป็นระยะ ห้องโดยสารของพวกเขาอยู่ห่างไกลจากทางเดินที่มีผู้คนพลุกพล่าน ดังนั้น ผู้คนที่นอนในตู้โดยสารขบวนนี้จึงหลับได้อย่างสบายใจ
เมื่อเห็นว่ารถไฟกำลังจะเข้าจอดที่สถานี หญิงสาวก็จับมือเด็กชาย ชี้มือไปยังทิศทางเตียงนอนของลู่ฉิวเยว่ แล้วเธอก็กระซิบอะไรบางอย่างข้างหูเขา
เด็กชายมีดวงตาเป็นประกาย รีบวิ่งไปที่เตียงของลู่ฉิวเยว่
ลู่ฉิวเยว่กำลังนอนหลับ ไม่รู้ตัวเลยว่าเด็กชายได้มาขโมยกระเป๋าที่ใส่ขนมของเธอแล้ว
เมื่อเด็กชายหันไปมองก็เห็นแม่พยักหน้า เขายิ้มกว้าง เดินกลับไปหาแม่พร้อมกับกระเป๋าที่ขโมยมาได้
นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่รถไฟหยุดลงพอดี หญิงสาวมีความสุข รีบนำกระเป๋าใบนั้นใส่เข้าไปในกระเป๋าถือที่เธอเตรียมเอาไว้ ก่อนจะอุ้มเด็กชายขึ้นพร้อมกับลากกระเป๋าเสื้อผ้าและกำลังจะลงจากรถไฟ
เธอคิดว่าไม่มีใครเห็นการกระทำครั้งนี้ แต่เธอไม่รู้ตัวเลยว่าพฤติกรรมทั้งหมดของเธอนั้นได้อยู่ภายใต้สายตาของนักสืบเสี่ยวหวังผู้นอนอยู่เตียงข้าง ๆ ทุกการกระทำ
เขาเดินตามหญิงสาวไปอย่างใกล้ชิด เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะเดินไปถึงประตูของตู้รถไฟ นายตำรวจหนุ่มก็รีบวิ่งไปคว้าแขนของเธอและตะโกนว่า “ขโมยของแล้วจะคิดหนีไปไหน!”
เสียงตะโกนของเสี่ยวหวังดังมากพอที่จะปลุกคนทั้งตู้รถไฟให้ตื่นขึ้นมา ผู้โดยสารเหล่านั้นรีบผงกหัวหันมามองอย่างรวดเร็ว
นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรวดเร็วมากเกินไป แต่หญิงสาวก็พยายามสะบัดมือออกอย่างรุนแรง
“คุณเป็นพวกชอบลวนลามผู้หญิงหรือไง! ช่วยด้วยค่ะ! มีคนจะลวนลามฉัน!”
คนเป็นพ่อและย่าของเด็กชายรีบวิ่งเข้ามา ช่วยแสดงละครให้แก่หญิงสาวอีกแรงหนึ่ง “แกมันไอ้พวกโรคจิตชอบรังแกผู้หญิง! ฉันจะฆ่าแก!”
พูดจบ พ่อของเด็กชายก็ทำท่าจะลงมือโจมตี แต่เสี่ยวหวังมีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน คนธรรมดาจะมาเป็นคู่มือของเขาได้อย่างไร เพียงไม่นาน พ่อของเด็กชายก็ถูกเตะลงไปนอนกองอยู่บนพื้น
กลุ่มผู้โดยสารไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น บางคนถึงกับเชื่อคำพูดของหญิงสาวและต้องการจะเข้ามาช่วยเหลือเธอ
เสี่ยวหวังหัวเราะด้วยความโกรธ ผู้หญิงคนนี้เจ้าเล่ห์เหลือเกิน แต่เขาต้องรับมือกับคนประเภทนี้เป็นอาชีพอยู่แล้วในทุก ๆ วัน นักสืบเสี่ยวหวังเตรียมพร้อมรับมือเธอเอาไว้อยู่แล้ว เขาจับแขนเธอด้วยมือข้างเดียว และใช้มืออีกข้างหนึ่งล้วงบัตรประจำตัวตำรวจออกมาแสดง
“ผมเป็นตำรวจ!”
เสียงของเขาดังกังวานไปทั้งตู้รถไฟ กลุ่มคนตกอยู่ในความเงียบโดยทันที
“ตำรวจจับประชาชนตามใจชอบได้ด้วยเหรอคะ?!” หญิงสาวยังคงไม่ยอมแพ้ พยายามหาทางสร้างปัญหาต่อไป
เสี่ยวหวังหัวเราะออกมา “ไม่มีตำรวจที่ไหนจะจับประชาชนตามใจชอบหรอกครับ แต่ตำรวจมีหน้าที่จับหัวขโมย!”
พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็เก็บบัตรประจำตัวเข้าใส่กระเป๋าและชี้นิ้วไปที่กระเป๋าถือในมือของหญิงสาวก่อนพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “นี่คือของที่ถูกขโมยมา!”