สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 118 คุณพ่อลู่ออกจากโรงพยาบาล
บทที่ 118 คุณพ่อลู่ออกจากโรงพยาบาล
ไม่ว่าพวกเขาจะร้อนใจสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว
ถึงแม้จะได้อยู่ในโรงพยาบาลใหญ่โตที่มีความสะดวกสบาย แต่ก็ยังไม่สุขใจเท่ากับได้อยู่บ้านอยู่ดี เวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ คุณพ่อลู่ก็อยากจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว เขาไม่อยากได้กลิ่นยาฆ่าเชื้อในโรงพยาบาลอีกต่อไป
คุณแม่ลองถามหมอที่มาตรวจหลายครั้ง จนกระทั่งในที่สุด คุณหมอก็ตกลงอนุญาตให้กลับบ้านได้ เธอจึงนำข่าวดีมาบอกต่อสามี
“ไชโย! ในที่สุดก็ได้กลับมาบ้านแล้ว!” คุณพ่อลู่ส่งเสียงหัวเราะอย่างร่าเริง ขณะถือจานองุ่นกำลังจะเดินไปเปิดโทรทัศน์ ภรรยาก็ตีเข้าให้อย่างแรง
“หมอบอกว่าคุณควรพักผ่อน จะมานั่งดูโทรทัศน์ทำไม รีบกลับเข้าห้องไปนอนซะ!”
เมื่อเห็นภาพนี้ ลู่ฉิวเยว่ที่กำลังนำจานจากในห้องครัวมาจัดวางที่โต๊ะทานอาหารค่ำอย่างเป็นระเบียบก็หัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
“อาหารพร้อมแล้วค่ะ!”
พ่อแม่ของเธอหยุดโต้เถียงกันทันทีและรีบมานั่งรับประทานอย่างรวดเร็ว
ตอนที่พ่อของเธอออกจากโรงพยาบาล คุณหมอกำชับไม่ให้กินของมัน ดังนั้น อาหารค่ำในวันนี้จึงมีแต่ผักเต็มไปหมด ส่วนเนื้อสัตว์ก็มีเพียงเนื้อปลาในน้ำแกงที่อยู่กลางโต๊ะเท่านั้น
แต่ถึงมันจะเป็นเพียงเมนูอาหารธรรมดา แต่พวกมันก็มีรสชาติอร่อยเป็นอย่างยิ่ง เพราะลู่ฉิวเยว่เป็นคนลงมือทำด้วยตนเอง
ฉินซือเป็นคนมาเติมเต็มโต๊ะอาหารพอดี ในที่สุด เขาก็นั่งลงข้างกายลู่ฉิวเยว่อย่างช้า ๆ
“ฉิวเยว่ ลูกต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย” เมื่อรับประทานมาได้สักพัก แม่ของเธอก็พูดขึ้นด้วยความห่วงใย
นับตั้งแต่ที่ลูกสาวของเธอเติบโตขึ้นมา การเดินทางไกลที่สุดก็แค่เดินทางเข้าเมืองในมณฑลเท่านั้น แล้วอยู่ดี ๆ ลู่ฉิวเยว่ต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงเช่นนี้ คนเป็นแม่จึงอดเป็นห่วงไม่ได้
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มรับกลับไป เธอรู้ดีว่าในสายตาของพ่อแม่ ไม่ว่าเธอจะโตมากแค่ไหนเธอก็ยังเป็นเด็กที่ต้องได้รับการดูแลในสายตาของพวกท่านอยู่ดี
ก่อนหน้านี้ เธอเข้าแข่งขันทำอาหารในตัวเมืองและผ่านเข้ารอบได้อย่างง่ายดาย ครั้งนี้เธอจึงต้องเดินทางไปแข่งขันรอบรองชนะเลิศที่เมืองหลวง ซึ่งต้องใช้เวลาแข่งขันนานถึงสามเดือน นับเป็นระยะเวลาที่ยาวนานยิ่งนัก ทุกคนจึงอดเป็นห่วงเธอไม่ได้
“คุณลุงกับคุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เดี๋ยวผมจะดูแลฉิวเยว่เป็นอย่างดีเอง” ฉินซือสาบานออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด พ่อแม่ของลู่ฉิวเยว่ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที ฉินซือเป็นคนที่พึ่งพาได้เสมอ ถ้าลูกสาวของพวกเขาไปกับผู้ชายคนนี้ก็จะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน
ลู่ฉิวเยว่ขมวดคิ้ว “คุณจะไปด้วยทำไมคะ? ฉันไปเองได้ คุณไม่ต้องไปด้วยหรอก”
ถ้าเขาตามไปด้วย แล้วงานการของเขาจะทำอย่างไร? ใครจะคอยดูแลโรงงาน? เขาไม่เห็นต้องตามเธอไปเลย!
ฉินซือทำหน้ามุ่ยด้วยความขัดใจ สามเดือนเป็นเวลาที่ยาวนานมาก เธอออกไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียว เขาจะสามารถวางใจได้อย่างไร
อีกอย่าง ถ้าเธอไม่ได้เจอเขานานขนาดนั้นแล้วเกิดความรู้สึกที่เคยมีต่อเขามันเจือจางลงล่ะ? โดยเฉพาะหลังจากที่ฉินเซียวก่อความผิดมหันต์เอาไว้ถึงขนาดนี้ ลู่ฉิวเยว่ยังคงโกรธเขาอยู่เลยด้วยซ้ำ
แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกมา เขาแค่กำลังนึกหาเหตุผลที่จะให้ตนเองติดตามเธอไปได้
เมื่อเห็นว่าทั้งครอบครัวกำลังจะมีปัญหา เลขาหวังก็นึกอะไรได้บางอย่าง เขาหันไปกระซิบข้างหูผู้เป็นเจ้านาย
หลังจากได้รับฟังแล้ว ดวงตาของฉินซือก็เป็นประกายขึ้นมาทันที เขายิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ก่อนหน้านี้ หวังเซวียนเซวียนชนะการประกวดนวัตกรรมในการพัฒนาตู้เย็นรุ่นใหม่ล่าสุดได้สำเร็จ จึงต้องเดินทางไปแข่งขันการสร้างเครื่องจักรกลที่เมืองหลวง ซึ่งจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเช่นกัน
ลู่ฉิวเยว่ไม่อยากให้เขาตามไปด้วยก็ไม่เป็นไร เขาแค่แกล้งตามหวังเซวียนเซวียนไปก็ได้ แน่นอนว่าเขาเป็นหัวหน้า การตามลูกน้องในโรงงานไปแข่งขันสร้างเครื่องจักรกลไม่เห็นเป็นเรื่องผิดปกติสักหน่อย!
เมื่อถึงเวลานั้น เธอก็คงหาข้ออ้างมาปฏิเสธเขาไม่ได้อีกแล้ว
ลู่ฉิวเยว่หันไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความไม่เข้าใจว่าอยู่ดี ๆ เขายิ้มออกมาทำไม
แต่ในไม่ช้า เธอก็ได้เข้าใจทั้งหมดเมื่อหวังเซวียนเซวียนกลับมาถึงบ้านในคืนนั้นแล้วบอกว่าเขากำลังจะต้องไปแข่งขันสร้างเครื่องจักรกล ทุกคนในครอบครัวดีใจเป็นอย่างยิ่ง มีลู่ฉิวเยว่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทั้งดีใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน
หลังรับประทานอาหารค่ำเสร็จ ฉินซือก็ชวนลู่ฉิวเยว่ออกไปเดินเล่นข้างนอก ตอนแรกเธอไม่อยากไป แต่เมื่อเห็นพ่อแม่พยายามจะจับคู่เธอเหลือเกิน เธอจึงตกลงในที่สุด
“คุณยังโกรธอยู่อีกเหรอ? อย่าโกรธผมเลยนะ ผมแค่เป็นห่วงคุณเท่านั้น” ฉินซือหันมองใบหน้าที่เย็นชาของหญิงสาวอย่างระมัดระวังและกระตุกแขนเสื้อเธอเบา ๆ
“ฉันไปโกรธอะไรตอนไหน?” เมื่อเห็นหน้าตาเศร้าซึมของเขา ลู่ฉิวเยว่ก็พบว่ามันน่าตลกเป็นอย่างยิ่ง แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอีกแล้ว
ดวงตาคู่งามของเธอสะท้อนประกายอ่อนโยน ฉินซือยืนมองด้วยความพิศวง เขาไม่เห็นเธอยิ้มให้เขาแบบนี้มานานแล้ว
“ผมขอโทษนะ เป็นเพราะผมจัดการเรื่องในครอบครัวได้ไม่ดี คุณลุงถึงต้องเจ็บตัวแบบนี้” เขาก้มหน้าลงด้วยความผิดหวัง ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า ถ้าเขารู้ว่าฉินเซียวจะทำอะไรก่อนหน้านี้ เรื่องราวทุกอย่างก็คงไม่เกิดขึ้น
ลู่ฉิวเยว่ถอนหายใจ หันหน้ากลับมาสบตามองเขาด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง “ฉินซือ มันไม่ใช่ความผิดคุณสักหน่อย”
“งั้นคุณให้อภัยผมแล้วใช่ไหม?” ฉินซือไม่อยากเห็นสีหน้าที่เย็นชาและเรียบเฉยของเธออีกต่อไปแล้ว เขาอยากจะดึงเธอเข้ามากอดและจูบเธอเหลือเกิน
ลู่ฉิวเยว่ส่ายหน้า “ฉันไม่ได้โทษคุณตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ฉันแค่คิดว่าพ่อแม่ฉันพูดถูก การที่พวกเรารักกันในตอนนี้คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ถ้าฉันเข้ากับพี่สาวคุณไม่ได้ ก็จะทำให้ทั้งสองครอบครัวต้องเสียใจกันเปล่า ๆ ฉันอยากให้เรื่องทุกอย่างสงบลงก่อนเท่านั้น”
เธอเคยให้สัญญากับเขาแล้วว่าจะให้คำตอบเรื่องการแต่งงานเมื่อการแข่งขันทำอาหารจบลง นี่ก็ใกล้วันนั้นเข้ามาทุกทีแล้ว ยิ่งใกล้มากเท่าไหร่ หญิงสาวก็ยิ่งร้อนใจมากเท่านั้น
เธอไม่ปฏิเสธหรอกว่าเธอชอบเขา แต่ถ้าการแต่งงานกับเขาจะทำให้พ่อแม่ของเธอไม่มีความสุข งั้นเธอก็จะไม่แต่งงานเด็ดขาด
ริมฝีปากที่กำลังจะบิดตัวเป็นรอยยิ้มของฉินซือกลับกลายเป็นเส้นตรงอีกครั้ง เขากลัวว่าลู่ฉิวเยว่จะปฏิเสธการแต่งงาน
การสนทนาในคืนนี้ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มเบาใจเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน เขายิ่งกลุ้มใจมากขึ้น ทั้งคืนได้แต่นอนพลิกตัวไปมา ไม่สามารถข่มตานอนหลับได้เลยจริง ๆ
บ่ายวันต่อมา ฉินซือเดินทางกลับไปเอาเอกสารที่บ้านพร้อมกับรอยคล้ำใต้ตาอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อเปิดประตูบ้านเข้าไป เขาก็ถูกฉินเซียวขวางทางเอาไว้
“มีอะไร!” เขาถามด้วยความหงุดหงิดใจ สีหน้าแสดงออกถึงความโมโหไม่ปิดบัง
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพี่สาวทำเรื่องโง่ ๆ แบบนั้นลงไป ลู่ฉิวเยว่กับเขาก็คงไม่มีปัญหากันแบบนี้หรอก
“ฉินซือ ช่วยพี่หน่อยนะ ไปขอขี้ผึ้งทาแก้ปวดจากลู่ฉิวเยว่ให้หน่อยสิ” ฉินเซียวทำเหมือนไม่เข้าใจสีหน้าของน้องชาย เมื่อเธอถามคำถามนี้ออกมา ก็ยิ่งทำให้ฉินซือโมโหมากขึ้น
“ทีนี้รู้ตัวว่าทำผิดแล้วใช่ไหม? ก่อนหน้านี้ทำไมไม่สำนึก!” เขายื่นมือออกไปผลักพี่สาวให้พ้นทาง ก่อนจะเดินขึ้นบันไดตรงไปที่ห้องนอน
คนเป็นแม่ทนไม่ไหวอีกต่อไป ต้องร้องเตือนลูกสาวออกมาว่า “ฉินเซียว! แกน่ะหุบปากได้แล้ว!”
ฉินซือไม่อยากอยู่บ้านนานไปมากกว่านี้ เมื่อได้เอกสารเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินทางออกไปทันที
ไม่กี่วันต่อมา ลู่ฉิวเยว่ลากกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นรถไฟเดินทางไปเมืองหลวงพร้อมกับหวังเซวียนเซวียน ในเมื่อฉินซือชักแม่น้ำทั้งห้ามาอธิบายเหตุผลที่จะต้องไปด้วย เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากตกลง
“ระวัง!” บนรถไฟมีคนหนาแน่น ฉินซือเป็นห่วงว่าลู่ฉิวเยว่จะถูกคนอื่นบีบอัด เขาจึงใช้แขนป้องกันเธออยู่ตลอดเวลา
ท่าทางการปกป้องอย่างออกหน้าออกตานั้นทำให้หวังเซวียนเซวียนที่เดินตามมาข้างหลังรู้สึกปวดฟันขึ้นทันที
“ถึงแล้วครับ” สุดท้ายเด็กหนุ่มก็รับหน้าที่นำทางไปยังตู้โดยสารของพวกเขา พวกเขาได้อยู่ในห้องโดยสารเดียวกัน ลู่ฉิวเยว่และฉินซือได้นอนเตียงสองชั้น
“เดี๋ยวผมเปลี่ยนกับคุณเอง คุณนอนข้างบนเถอะ” เมื่อเห็นว่าเธอจะเก็บกระเป๋าสัมภาระที่เตียงชั้นล่าง ฉินซือก็หยิบกระเป๋าของเธอไปเก็บไว้ที่เตียงชั้นบนทันที
ลู่ฉิวเยว่ขมวดคิ้วและหันกลับมามองอย่างไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร
“เตียงชั้นบนปลอดภัยกว่า” ฉินซืออธิบายออกมาเบา ๆ ในรถไฟมีผู้คนมากมายมาจากไหนบ้างไม่มีใครรู้ คืนนี้พวกเขาจะต้องนอนค้างบนรถไฟ ดังนั้นเขาคงเป็นห่วงแย่ถ้าปล่อยให้เธอนอนเตียงชั้นล่าง
ลู่ฉิวเยว่รับรู้ถึงเหตุผลของเขาขึ้นมาทันที เธอจึงพยักหน้าและปีนขึ้นไปบนเตียงชั้นบนอย่างเชื่อฟัง