สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 112 ขอแต่งงาน
บทที่ 112 ขอแต่งงาน
หืม?
สายตาของลู่ฉิวเยว่สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง ฉินซือมองตามสายตาของเธอไปด้วยความพิศวง “มีอะไรเหรอ?”
เธอส่ายหน้า “ไม่มีอะไรหรอก”
หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มก็ต้องเดินทางกลับไปทำงานต่อ การที่เขาออกมาข้างนอกสองชั่วโมงก็ถือเป็นเวลาที่ยาวนานมากแล้ว
“ซูซู นั่นพนักงานใหม่ของเราเหรอ?” ลู่ฉิวเยว่สอบถามกับเด็กเสิร์ฟสาวที่มาเก็บโต๊ะ
เด็กสาวพยักหน้าและถามด้วยความสงสัย “ป้าแม่บ้านที่เชฟหวังแนะนำมาค่ะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ?”
ลู่ฉิวเยว่ส่ายหน้า
สีหน้าของเธอไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ในใจกำลังพิศวงเป็นอย่างยิ่ง เพราะป้าแม่บ้านคนใหม่คนนี้ก็คือเฉินซุนเหยียน อดีตเจ้าของร้านที่เธอเคยไปขอเช่าร้านนั่นเอง
เฉินซุนเหยียนไม่ได้เปิดร้านติ่มซำอีกแล้ว แล้วทำไมต้องมาทำงานที่ร้านของเธอด้วยนะ?
ในคืนนั้น ทั้งครอบครัวออกมานั่งเล่นที่ระเบียงบ้าน ลู่ฉิวเยว่จึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
แม่ของเธอถอนหายใจ ก่อนจะอธิบายว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อน แม่พูดไปว่าอยากจะจ้างแม่บ้านมาเพิ่มสักคน เชฟหวังบอกว่าเขามีเพื่อนที่อยากได้งานทำพอดี แม่คิดว่ายังไงเราก็ต้องจ้างแม่บ้านคนใหม่อยู่แล้ว แถมยังไม่ต้องใช้คุณสมบัติอะไรมากมาย ขอแค่เป็นคนคล่องแคล่วและทำความสะอาดได้ดีก็พอ แม่ก็เลยรับปากเขาไป แต่แม่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าวันต่อมา คนที่มาเป็นแม่บ้านคนใหม่ในร้านของเรานั้นก็คือเฉินซุนเหยียน!”
แต่ในเมื่อแม่ของลู่ฉิวเยว่รับปากไปแล้ว จะคืนคำตอนนี้ก็คงไม่ได้ อีกอย่าง เมื่อเห็นว่าเฉินซุนเหยียนตั้งใจทำงาน ไม่ได้ขี้เกียจอะไร แม่ของลู่ฉิวเยว่ก็เลยทำใจไล่ออกไปไม่ลง
“แต่ผู้หญิงคนนั้นคงไม่ได้วางแผนอะไรอยู่ใช่ไหมคะ?” ลู่ฉิวเยว่ทำหน้านิ่ว เฉินซุนเหยียนไม่ใช่คนใสซื่อมือสะอาด เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะสงสัย
แม่ของลู่ฉิวเยว่ยิ้มและส่ายหน้า “แม่ลองไปถามเพื่อนบ้านของเธอดูแล้ว เธอถูกสามีไล่ออกจากบ้านเพราะเธอเอาเงินไปเปิดร้านติ่มซำจนเจ๊งไม่เป็นท่า แม่ว่าเธอคงไม่มีความคิดชั่วร้ายอะไรอีกแล้วแหละ”
ถ้าแม่ของลู่ฉิวเยว่ไม่ได้ตรวจสอบมาก่อน ก็คงไม่กล้าพูดคำนี้ออกมาเด็ดขาด
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า ในเมื่อไม่มีอะไรแอบแฝงก็แล้วไป
“เอาน่า อย่ากังวลไปเลย แม่ไม่ใช่คนโง่สักหน่อย” คนเป็นแม่ยกมือลูบศีรษะลู่ฉิวเยว่ บางครั้งเธอก็รู้สึกว่าลู่ฉิวเยว่เป็นแม่ของเธอและตนก็เป็นลูกสาวของลู่ฉิวเยว่ เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวอะไร ลู่ฉิวเยว่ก็จะเป็นคนคอยจัดการให้ทั้งหมด
จังหวะนั้น เมื่อเห็นว่าที่ลูกเขยเดินเข้ามา หญิงวัยกลางคนก็หัวเราะอย่างหยอกเย้า ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อช่วยสามีล้างจาน หวังเซวียนเซวียนเห็นเช่นนั้นก็ต้องรีบลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในห้องเหมือนกัน
ลู่ฉิวเยว่หันไปมองคนที่เพิ่งมาถึงและพูดว่า “แหม วันนี้เถ้าแก่ฉินมาสายนะคะ พวกเราเก็บโต๊ะไปหมดแล้ว”
“เสียดายจัง วันนี้ผมเลยอดกินอาหารฝีมือแฟนตัวเองเลย” ฉินซือวางผลไม้สดใหม่ที่เพิ่งซื้อมาไว้บนโต๊ะกาแฟและเดินเข้ามาหาเธอพร้อมกับยิ้มกว้าง
เขาไปรับประทานอาหารค่ำกับลูกค้าเพิ่งเสร็จ ก็เลยมาช้า
ความจริง เขาคิดว่าจะกลับมาวันพรุ่งนี้ แต่ก็ทนความคิดถึงและอยากเห็นหน้าเธอไม่ไหว เมื่อได้เห็นใบหน้าของหญิงสาว ฉินซือก็รู้สึกเหมือนได้กลับมาอยู่ในที่ที่เขาควรอยู่อีกครั้ง
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มและไม่พูดอะไร เธอรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“งั้นมาลองชิมถั่วรสใหม่กันดีกว่าค่ะ” เธอหยิบถั่วกำมือหนึ่งยัดใส่มือของเขา
มีลูกค้าจำนวนมากชอบเข้ามานั่งดื่มในร้านอาหารของเธอ ฃพวกเขาฃมักจะสั่งถั่วลิสงฃเป็นกับแกล้มทุกครั้ง
สัมผัสของนิ้วมือเธอที่วางลงบนฝ่ามือของฉินซือไม่ต่างไปจากการที่มีน้ำเย็นหยดใส่ลงไปในกระทะร้อน ดอกไม้ไฟจำนวนนับไม่ถ้วนระเบิดออกในหัวใจของชายหนุ่ม
“อร่อย…อร่อยที่สุดเลย” ฉินซือรีบกลืนน้ำลายและหลบสายตาของเธอ เพราะกลัวว่าเธอจะเห็นอารมณ์ความรู้สึกในสายตาของเขา
ลู่ฉิวเยว่ประหลาดใจ เขายังไม่ได้กิน แต่ก็ชมว่าอร่อยแล้ว
ดวงตาที่เบิกโตของลู่ฉิวเยว่เป็นประกายระยิบระยับ ยิ่งทำให้หัวใจของฉินซือรู้สึกร้อนผ่าวมากยิ่งขึ้น เขามั่นใจว่าช่วงเวลานี้แหละเหมาะกับการขอเธอแต่งงานมากที่สุด เขาอยากจะอยู่กับเธอไปชั่วชีวิต
“ลู่ฉิวเยว่ คุณอยากแต่งงานกับผมไหม?”
เมื่อพูดออกไปแล้ว หัวสมองของชายหนุ่มก็ว่างเปล่าไปหมด หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะอีกต่อไป
ไม่มีดอกไม้ ไม่มีแหวน ไม่มีการเตรียมตัวอะไรทั้งนั้น อยู่ ๆ เขาก็ขอแต่งงานออกไป ฉินซือได้แต่กำถั่วลิสงในมือแน่น ลู่ฉิวเยว่คงคิดว่าเขากำลังทำอะไรโง่ ๆ อย่างแน่นอน
ลู่ฉิวเยว่ส่ายหน้า เป็นคำตอบที่ฉินซือสามารถเดาได้อยู่แล้ว
เธอหันกลับมามองหน้าเขาด้วยสายตาจริงจัง “มันกะทันหันมากเกินไป ฉันขอเวลาคิดสักหลายวันก่อนได้ไหม?”
ฉินซือรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาก็พยักหน้ายิ้มกลับไป “ได้สิ”
สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความผิดหวังอย่างชัดเจน เหมือนเด็กน้อยที่ไม่ได้ขนม ลู่ฉิวเยว่รู้สึกใจอ่อนลงและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เมื่อวานนี้ฉันเห็นข่าวในโทรทัศน์ เห็นว่าจะมีการแข่งขันทำอาหารในตัวเมือง ฉันว่าจะสมัครเข้าไปแข่งดู หลังจากแข่งเสร็จแล้ว ฉันจะให้คำตอบกับคุณนะคะ”
ฉินซือมีดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที เขาพยักหน้าด้วยความดีใจ
…
ในอีกไม่กี่วันต่อมา ร้านกาแฟร้านเดิม ชายวัยกลางคนยังคงนั่งอยู่ตำแหน่งเดิมเหมือนกับเมื่อครั้งก่อน
ลู่ฉิวเยว่เปิดประตูเข้าไป เธอยิ้มให้เขาอย่างสุภาพ “เถ้าแก่ซง ฉันให้คุณรอนานอีกแล้ว”
หลังจากพูดจบแล้ว เธอก็ขยับเก้าอี้และหย่อนกายนั่งลงด้วยท่าทางสง่างาม
ซงเสิ่งส่ายศีรษะและชี้ไปที่นาฬิกาข้อมือของตัวเอง “คุณลู่เกรงใจกันเกินไปแล้ว นี่ยังไม่ถึงเวลานัดเลยนะครับ”
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มเล็กน้อย เธอย่อมรู้ดีเพราะเธอเป็นคนจัดการเวลาได้ดีมาก เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะไปพบลูกค้าสาย
แต่ปรากฏว่าซงเสิ่งยังคงมาก่อนเวลานัดเสมอ แต่นี่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความจริงใจของเขา เธอพอใจกับหุ้นส่วนธุรกิจคนนี้เป็นอย่างยิ่ง
“คุณลู่ ครั้งนี้ผมเชิญคุณมาเพราะอยากจะสั่งเมล็ดแตงโมทอดน่ะครับ” ซงเสิ่งพูดตรงเข้าประเด็นทันที “เมล็ดแตงโมทอดที่พวกเราสั่งจากคุณไปครั้งที่แล้วขายดีมาก ครั้งนี้ผมก็เลยอยากสั่งในจำนวนที่มากกว่าเดิม ไม่ทราบว่าคุณทำส่งพวกเราได้ไหม?”
ลู่ฉิวเยว่ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ เธอรับรู้ยอดการขายจากครั้งที่แล้วอย่างชัดเจน เพราะเธอได้รับเงินปันผลจากส่วนแบ่งของยอดขายหลายครั้ง นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเธอนั้นถูกต้อง การเลือกรับเงินปันผลจากยอดขายทำให้เธอได้รับเงินเพิ่มมากขึ้น…
“ได้อยู่แล้วค่ะ” เธอพยักหน้าพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะรับสัญญาที่เขาส่งมาให้อ่าน เมื่อตรวจสอบดูแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร หญิงสาวก็เซ็นสัญญาอย่างรวดเร็ว
ลู่ฉิวเยว่ไม่เคยกลัวหุ้นส่วนธุรกิจที่เจ้าเล่ห์อยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบกับทุกคน เธอก็ชื่นชอบวิธีการทำธุรกิจของซงเสิ่งมากที่สุด
“เถ้าแก่ซงเคยใช้วิธีการส่งเสริมการขายเพื่อเพิ่มยอดขายของเมล็ดแตงโมบ้างไหมคะ?” ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมา ในเมื่อเขาจริงใจกับเธอ เธอก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปเล่นเล่ห์เหลี่ยมกับเขา
“ยังไงนะครับ? คุณลู่ช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อย” ซงเสิ่งยกมือกอดอกและจ้องมองเธอด้วยความสนใจ
“พวกเราเรียกลูกค้าได้ด้วยการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ค่ะ ตัวอย่างเช่น…” เธอวางช้อนคนกาแฟในมือลง “ลูกค้าซื้อเมล็ดแตงโม 2 ถุงใหญ่ เราก็จะแถม 1 ถุงเล็กให้ฟรี ๆ หรือถ้าลูกค้าซื้อเมล็ดแตงโมครบ 2 กิโลกรัม เราก็จะแจกอ่างไม้ขนาดเล็กให้กับพวกเขาเป็นของแถม…”
เมื่อได้ยินความคิดของเธอ ดวงตาของซงเสิ่งก็เป็นประกายขึ้นทันที นี่คือวิธีการส่งเสริมการขายที่ดีมาก
เขาได้แต่ขอบคุณเธอตลอดเวลา
ลู่ฉิวเยว่ส่ายหน้า พวกเขามีผลประโยชน์ร่วมกัน ถ้าเมล็ดแตงโมขายได้ดีมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งได้เงินเพิ่มมากเท่านั้น
ในไม่ช้า เมล็ดแตงโมก็ถูกส่งไปที่โรงงานของซงเสิ่ง เขาแทบรอไม่ไหวแล้วที่จะได้ลองใช้แผนส่งเสริมการขายตามที่เธอแนะนำ แล้วมันก็ได้ผลจริง ๆ
ลูกค้ากระตือรือร้นมากที่จะมาซื้อเมล็ดแตงโมทอด ยอดขายจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังทำให้ยอดขายสินค้าชนิดอื่น ๆ เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ซงเสิ่งยิ่งชื่นชมในวิสัยทัศน์ของลู่ฉิวเยว่มากขึ้นเรื่อย ๆ เขาปรารถนาจะให้ลูกชายของตัวเองกราบเธอเป็นอาจารย์เหลือเกิน