สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 102 ข่มขู่ด้วยเด็กในท้อง
บทที่ 102 ข่มขู่ด้วยเด็กในท้อง
”ฉันเป็นป้าสะใภ้ของเจ้านายเธอนะ เธอมาต้อนรับฉันแบบนี้ได้ยังไง?”
เมื่อลู่ฉิวเยว่เดินออกมาจากห้องครัว เธอก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นทันที ลู่ฉิวเยว่ยิ้มเหยียดหยามออกมา
”คุณป้ามาอีกแล้วเหรอคะ!” หญิงสาวแกล้งเดินเข้าไปหาด้วยความเป็นมิตร เมื่อชำเลืองมองอาหารที่ถูกวางอยู่บนโต๊ะ ลู่ฉิวเยว่ก็ต้องหัวเราะออกมาเล็กน้อย
นี่มันอะไรกัน? ติ่มซำสามชุดนี้ยังไม่ดีพอสำหรับพวกของลู่เจี๋ยหรงอีกเหรอ?
”ไม่เป็นไร เธอกลับไปทำงานเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง” ลู่ฉิวเยว่โบกมือบอกเด็กเสิร์ฟ
เด็กเสิร์ฟสาวพยักหน้าและรีบกลับเข้าไปในห้องครัวทันที
เธอหวาดกลัวกับการที่ต้องมารับมือครอบครัวของลุงลู่มากที่สุด เพราะพวกเขาชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ มักจะทำให้เด็กเสิร์ฟและพนักงานในร้านทุกคนลำบากใจอยู่เสมอ แต่ในเวลานี้ ลู่ฉิวเยว่กำลังเดินเข้าไปที่โต๊ะนั้นพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
”อ้าว ฉิวเยว่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ป้าลู่ก็ปั้นยิ้มขึ้นมาทันที เหมือนเธอเป็นคนละคนกับหญิงวัยกลางคนผู้ร้ายกาจโดยสิ้นเชิง
”คุณป้าล้อเล่นแล้ว พวกเราเพิ่งเจอกันไม่นานนี้เองนะคะ” ลู่ฉิวเยว่หัวเราะในลำคอ
คุณป้าเอื้อมมือมาจับแขนเธอ คงเป็นเพราะเพิ่งรับประทานของหวานเสร็จและยังไม่ทันได้ล้างมือ มือของป้าจึงมีแต่คราบมันเต็มไปหมด ลู่ฉิวเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอชักแขนกลับมาอย่างไม่ให้เสียมารยาทพร้อมกับถอยหลังออกมาห่างอีกสองก้าว
คำตอบของหญิงสาวทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของป้าลู่หายไป ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ทีเดียวกว่าที่ป้าลู่จะปั้นยิ้มกลับมาได้อีกครั้ง รอยตีนกาบนใบหน้าของป้าลู่ยับย่นมากพอที่จะฆ่าแมลงวันตายได้เลยทีเดียว
”ฉันลืมไปเลย” ครั้งนี้ ป้าลู่รู้จักที่จะสงบจิตใจ ไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดอีกต่อไปแล้ว “แต่ป้าเห็นเธอเติบโตขึ้นมาได้ดีแบบนี้ ป้าก็คิดถึงเธอเหลือเกิน ก็เลยรู้สึกเหมือนไม่ได้เจอกันมานานแล้ว”
น้ำเสียงอ่อนหวานผิดปกติจนลู่ฉิวเยว่ทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป เธอกระตุกมุมปากถามว่า “ป้าบอกมาเถอะว่าต้องการอะไรกันแน่” ลู่ฉิวเยว่ไม่ชอบการเสแสร้งแบบนี้เลย
เมื่อได้ยินดังนั้น ลู่เจี๋ยหรงที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ยิ้มมุมปากขึ้นมาเช่นกัน
ดวงตาของป้าลู่เป็นประกายระยิบระยับ ลู่ฉิวเยว่รู้สึกว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ คนเป็นป้าจ้องมองเธอเขม็ง “หรงหรงของพวกเราก็เติบโตมาพร้อมกับเธอเลยนะ ตอนนี้หรงหรงกำลังตั้งท้อง เธอน่าจะมีของขวัญรับขวัญหลานบ้างไม่ใช่หรือไง?”
ตั้งท้อง?
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า “หลังจากเด็กคลอดออกมาแล้ว เดี๋ยวพวกเราจะให้ของขวัญเองค่ะ”
นี่คือความสัมพันธ์ที่มนุษย์พึงมีต่อกัน การมอบของขวัญรับขวัญหลานเป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันไม่ให้พ่อแม่ของเธอถูกชาวบ้านนินทาลับหลังเอาได้ ลู่ฉิวเยว่เองก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องเสียหายอะไร
แต่คำพูดในประโยคต่อมาของป้าลู่ก็ทำให้เธอปวดหัว
”ในเมื่อเธอไม่มีปัญหาอะไร งั้นป้าก็จะขอพูดตรง ๆ แล้วกันนะ ป้าได้ยินมาว่ากิจการขายเมล็ดแตงโมทอดของเธอทำเงินได้มหาศาล เธออยากร่วมธุรกิจกับพี่เขยของตัวเองบ้างไหม? เธอก็รู้ แม่สามีไม่ค่อยชอบหน้าหรงหรงสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเธอช่วยทำธุรกิจนี้กับหรงหรง แม่สามีก็ต้องเคารพลูกสะใภ้มากขึ้นอย่างแน่นอน”
ลู่ฉิวเยว่ไม่ได้ตอบรับคำใด ป้าลู่จึงพูดต่อไป “ยังไงพวกเราก็เป็นญาติสายเลือดเดียวกัน เธอคงไม่ปฏิเสธคำร้องขอเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้หรอกใช่ไหม? อีกอย่าง เดี๋ยวเธอก็แต่งงานแล้ว เกิดเธอมีปัญหาหมดเนื้อหมดตัวขึ้นมา ตอนนั้นพวกฉันก็คงร่ำรวยขึ้นมาแล้ว ป้าจะได้คอยสนับสนุนเธอได้ ไม่ดีเหรอ?”
ถ้าป้าลู่ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ว่าอยากจะสนับสนุนเธอในอนาคต ลู่ฉิวเยว่ก็คงรู้สึกสงสารจนอยากจะช่วยเหลืออยู่หรอก!
แต่ตอนนี้ เธอไม่ได้อยากช่วยเหลืออีกแล้ว
”คุณป้าไม่ต้องห่วงนะคะ เรื่องของขวัญให้หลาน หนูมีให้แน่นอน แต่ถ้าจะมาขอร่วมธุรกิจแบบฟรี ๆ อย่างนี้ หนูคงร่วมด้วยไม่ได้ แค่นี้งานหนูก็ยุ่งมากพอแล้ว แล้วพวกหุ้นส่วนของหนูก็คงไม่อยากร่วมธุรกิจกับคุณป้าด้วยเหมือนกัน”
ลู่ฉิวเยว่เคยพบตัวจริงของเถาหลินเซินมาแล้ว เขาไม่ใช่คนดีอะไร แถมยังเป็นพวกเจ้าเล่ห์ ต้องคอยระวังหลังอยู่ตลอด ลู่ฉิวเยว่จึงไม่อยากหาปัญหาให้ตนเอง
”เธอพูดอะไรออกมา นี่ป้าทำเพื่อตัวเธอเองหรอกนะ?” ป้าลู่พูดอย่างไม่พอใจ
ตอนแรกเธออยากจะร่วมธุรกิจกับลู่ฉิวเยว่เพื่อที่ลู่เจี๋ยหรงจะได้มีหน้ามีตาในตระกูลเถาขึ้นมาบ้าง ซึ่งในตอนนี้ตระกูลเถากำลังดูถูกพวกเธอสองแม่ลูกยิ่งกว่าอะไรดี แต่ลู่ฉิวเยว่กลับปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดเลย
ลู่เจี๋ยหรงคาดเดาเอาไว้อยู่แล้วว่าลู่ฉิวเยว่ต้องไม่ร่วมมือแน่นอน เธอจึงชักกรรไกรออกมาจากกระเป๋าและใช้กรรไกรชี้ไปที่ท้องของตนเองพร้อมกับข่มขู่ว่า “ลู่ฉิวเยว่ คิดดูให้ดี ถ้าเธอไม่ยอมตกลง ฉันจะฆ่าเด็กคนนี้ต่อหน้าเธอ แล้วฉันจะบอกทุกคนว่าเธอบังคับให้ฉันทำแบบนี้ มาดูกันเถอะว่าร้านอาหารของเธอจะอยู่รอดได้ยังไง!”
ทุกคนที่อยู่ภายในร้านล้วนจ้องมองด้วยความตื่นเต้น พวกเขาต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่ส่วนใหญ่ก็จ้องมองไปด้วยความเหยียดหยาม ไม่มีใครสงสารลู่เจี๋ยหรงเลย
หญิงสาวคนนี้เคยมาก่อกวนที่นี่มากกว่าหนึ่งครั้ง ทุกคนรู้ถึงธาตุแท้ของเธอ แต่ก็มีบ้างที่บางคนไม่เคยรับรู้ความเป็นจริง แล้วพวกเขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของร้านอาหารตอบโต้กลับไปว่า
”นั่นมันลูกของเธอนะ จะเป็นหรือตายก็แล้วแต่เธอเถอะ” ลู่ฉิวเยว่พูดอย่างไร้ความรู้สึก ลู่เจี๋ยหรงเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอกมากกว่าใครทั้งนั้น มีหรือที่จะกล้าทำร้ายตัวเอง?
ลู่เจี๋ยหรงย่อมไม่คิดทำร้ายลูกในครรภ์เด็ดขาด เพราะถ้าเกิดเด็กออกมาเป็นเด็กผู้ชาย สถานะของลู่เจี๋ยหรงในตระกูลเถาก็จะสูงส่งขึ้นมาทันที
เมื่อเห็นว่าลู่ฉิวเยว่ไม่ยอมหลงกล เถาหลินเซินผู้ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดก็วิ่งออกมาแกล้งพูดด้วยความตื่นตระหนกว่า “เจี๋ยหรง คุณจะทำอะไร? คุณทำผมตกใจแทบแย่!”
ลู่ฉิวเยว่ยกมือกอดอก พลางจ้องมองครอบครัวของอีกฝ่ายเล่นละครพร้อมกับหัวเราะเยาะว่า “คุณเถามาแล้ว ช่วยดูแลภรรยาให้ดีหน่อยสิคะ อย่าปล่อยให้มายุ่งเกี่ยวกับฉันอีก ไม่งั้นถ้าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นมา จะมาโทษว่าฉันใจร้ายเกินไปไม่ได้นะ ฉันยิ่งเป็นคนโหดร้ายใจดำอยู่ด้วย”
เถาหลินเซินไม่คิดเลยว่าหญิงสาวจะเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งในขนาดนี้ เขารู้ว่าตอนนี้เธอกำลังโมโห ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีก นอกจากหัวเราะแห้ง ๆ ตอบกลับไป “ผมทำหน้าที่สามีได้ไม่ดีเอง เจี๋ยหรงใจร้อนวู่วามมากเกินไป ยังไงก็อย่าถือสาเมียผมเลยนะครับ”
ลู่ฉิวเยว่ไม่ได้ตอบรับคำใด แต่มองการแสดงต่อไป
สายตาของลู่ฉิวเยว่ที่จ้องมองมายังเถาหลินเซินทำให้เขาขนลุกเกรียว ชายหนุ่มรวบรวมความกล้าหาญพูดออกมาว่า “พวกเราเป็นญาติกันนะครับ ถ้าพวกเราร่วมธุรกิจกันจริงๆ ธุรกิจก็มีแต่เจริญเติบโตรุ่งเรืองเท่านั้น ถ้าคุณสนใจ ผมจะมอบส่วนแบ่งให้คุณเยอะมากกว่าใคร พวกเราลองมาคุยกันก่อนดีไหม?”
”คุณเถาคะ ฉันยังพูดไม่ชัดเจนอีกเหรอ? ฉันไม่มีเวลามาทำธุรกิจกับพวกคุณ ขอบคุณที่สนใจนะคะ!” ลู่ฉิวเยว่ตอบรับกลับมาอย่างเย็นชา ทำลายความหวังของอีกฝ่ายลงไม่เหลือชิ้นดี
และเนื่องจากหญิงสาวปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้า เถาหลินเซินและพรรคพวกจึงมีสีหน้าไม่ดีแล้ว
ลู่ฉิวเยว่ไม่สนใจเลยว่าพวกเขาจะชอบใจหรือไม่ เธอแค่อยากจะให้พวกเขากลับไปให้เร็วที่สุด
ลู่เจี๋ยหรงหยิบกรรไกรขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ลู่ฉิวเยว่ต้องหัวเราะออกมาด้วยความโกรธแค้น “เธออยากสร้างปัญหาจริง ๆ ใช่ไหม? ได้ งั้นเราให้ตำรวจมาจัดการเรื่องนี้กัน”
หลังจากพูดจบแล้ว ลู่ฉิวเยว่ก็หมุนตัวกำลังจะสั่งให้เด็กเสิร์ฟไปแจ้งตำรวจ
แจ้งตำรวจอย่างนั้นเหรอ? ลู่เจี๋ยหรงมีใบหน้าซีดขาวขึ้นมาทันที เธอตื่นตระหนกขึ้นมาในทันใด เธอไม่เคยลืมช่วงเวลาที่ตนเองต้องถูกขังอยู่ในสถานีตำรวจได้
เธอหันกลับมามองหน้าพรรคพวกของตนเอง ก่อนจะต้องกัดฟันและตะโกนสาปแช่งลู่ฉิวเยว่แล้วรีบหนีออกไปด้วยความรีบร้อน
ลูกค้าที่อยู่ภายในร้านปรบมือด้วยความประหลาดใจ พวกเขาชื่นชมลู่ฉิวเยว่ที่จัดการปัญหาได้อย่างเฉียบขาด
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะในลำคอเล็กน้อย “ฉันทำให้ทุกคนต้องหัวเราะเยาะแล้ว คิดซะว่าวันนี้ทางร้านจัดแสดงงิ้วให้ดูเป็นกรณีพิเศษก็แล้วกันนะคะ เชิญบันเทิงกันให้เต็มที่ ทางร้านไม่คิดค่าบริการเพิ่มค่ะ”
หลังจากพูดหยอกเย้าจบแล้ว ลู่ฉิวเยว่ก็เดินไปสั่งให้เด็กเสิร์ฟนำขนมขบเคี้ยวไปแจกให้ทุกโต๊ะแทนคำขอโทษโต๊ะละหนึ่งจาน
”คุณลู่สุดยอดไปเลย!”
นอกจากได้รับชมความบันเทิงแล้ว พวกเขายังได้ขนมขบเคี้ยวมารับประทานเล่นอีกด้วย ลูกค้าในร้านยิ่งมีความสุขมากกว่าเดิม พวกเขาอดไม่ได้ที่จะชื่นชมลู่ฉิวเยว่ออกมาอีกครั้ง
แต่ในเวลาเดียวกันนี้ที่โกดังผลิตเมล็ดแตงโมทอด พ่อของลู่ฉิวเยว่ก็ต้องพบเจอกับเรื่องราวที่ชวนปวดหัว
”อู๋ซินอยู่ที่ไหน? ทำไมฉันหาเขาไม่เจออีกแล้ว นี่เขามาทำงานหรือมาเล่นสนุกกันแน่? ไม่มีความรับผิดชอบเอาซะเลย”
ซูเจวี้ยนส่ายหน้า “ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ” ถึงเธอกับอู๋ซินจะมีหน้าที่ทอดเมล็ดแตงโมพร้อมกับเชฟที่ลู่ฉิวเยว่จ้างมาเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ทุกคนก็ไม่ได้สนิทกับอู๋ซิน ดังนั้นเธอจึงไม่รู้เลยว่าเขาหายไปไหน
พ่อของลู่ฉิวเยว่ก็รับทราบความจริงในข้อนี้เหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงสั่งให้หญิงสาวทอดเมล็ดแตงโมต่อไป ส่วนตนเองออกไปตามหาอู๋ซินตามลำพัง