สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค - ตอนที่ 95 After Story: โลกอีกใบ 1
ตั้งแต่ที่”แม่มด”ถูกปราบลงและโลกเข้าสู่ยุคสมัยที่สงบสุข ก็ผ่านมาได้แล้วครึ่งปี
ชั้นปลีกตัวออกจากเรื่องยุ่งยากแล้วมาอาศัยอยู่กับเลย์ล่าในกระท่อมกลางป่าที่โปรเฟตะเคยอาศัย
เพราะว่าไม่ค่อยมีงานเหลือให้ชั้นทำแล้ว แต่ละวันชั้นเลยใช้ชีวิตได้อย่างขี้เกียจตัวเป็นขน…นี่แหละชีวิตอย่างที่วาดฝันไว้ล่ะ รู้สึกดีจริงๆ
แต่ไม่รู้ทำไม ในใจของชั้นลึกๆ…ก็ยังรู้สึกเหมือนว่ามีอะไรสักอย่างที่ค้างคาอยู่
ทั้งๆที่ก็ไม่น่ามีอะไรเหลือให้ชั้นทำแล้วแท้ๆ
แม่มดก็โดนปราบไปแล้ว เอเทอร์น่าก็รอดชีวิตมาได้ด้วยดี
ตัวละครอื่นๆที่ควรจะตายตามเนื้อเรื่องในเกมก็รอดมากันหมด แม่มดถูกปราบ และวังวนนั้นก็ถูกทำลายลงไปแล้ว ต้องบอกว่าเป็นฉากจบแฮปปี้เอนดิ้งของแท้เลยล่ะ
ก็นะ แต่ก็ใช่ว่ามันจะสมบูรณ์แบบ
ไม่ว่าร่างกายนี้จะมีความสามารถมากแค่ไหน ด้านในก็ยังเป็นตัวชั้นนี่นา
ถ้าคนที่ฉลาดกว่าชั้นมาแทนที่ล่ะก็ อาจจะใช้ความรู้ที่มีเพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของผู้คนในฟิโอริ หรือไม่ก็กลายเป็นผู้นำที่จะพาสังคมมนุษย์ไปสู่จุดที่ดีกว่าได้ แต่กับชั้นนี่ เรื่องอย่างนั้นคงไม่ไหวว่ะ
ที่ชั้นเอามันฝรั่งมาเผยแพร่นี่ก็ช่วยไปได้ส่วนนึงล่ะนะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีใครเลยที่อดอยากหรือหนาวตายในฤดูหนาว อายุขัยโดยเฉลี่ยก็ยังต่ำกว่าคนในยุคปัจจุบันอยู่ดี
ยังไงสมองชั้นมันก็คนธรรมดานั่นแหละ จะให้มีความคิดอัจฉริยะอะไรขึ้นมานี่คงไม่เกิดขึ้นหรอก
ขนาดเป้าหมายเดิมที่ชั้นพยายามจับคู่เวอร์เนลกับเอเทอร์น่าเข้าด้วยกันยังเพี้ยนไปเพราะการแทรกแซงของชั้นเองเลย
ตอนนี้เอเทอร์น่าก็มองเวอร์เนลเป็นแค่เพื่อนสนิทต่างเพศเท่านั้น
แต่ไงก็ตาม ความรู้สึกที่ชั้นมีอยู่นี่มันออกไปทางเรื่องที่ยังค้างคามากกว่าจะเป็นความต้องการแก้ไขเรื่องที่เคยเกิดไปแล้ว
อะไรกันนะที่ยังคาใจชั้นอยู่…? ไอ้เรื่องที่ขนาดตัวชั้นเองก็ตอบไม่ได้นี่แหละที่กวนใจที่สุด
เป็นความรู้สึกที่เหมือนกับกินไก่แล้วเศษกระดูกติดฟันเลย
เอาเถอะ…คิดมากไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
คิดมานานแค่ไหนแล้วก็ยังนึกไม่ออก ปล่อยไว้นี่ถ้าไม่นึกออกก็คงจะลืมไปเอง
เรื่องแบบนี้ก็มีบ้างล่ะนะ
ว่าแล้วชั้นก็ใช้พลังของโหรดูอะไรเล่นๆเพื่อฆ่าเวลาดีกว่า
เมื่อก่อนนี่งานอดิเรกของชั้นก็คือออกไปกระทืบพวกปีศาจเล่น แต่ตอนนี้ปีศาจหายกันไปหมดแล้วเพราะชั้นรังแกพวกมันมากเกินไปหน่อย
ตอนนี้เลยเปลี่ยนมาใช้พลังโหรเพื่อฆ่าเวลาแทน
นั่งอยู่บนเก้าอี้โยก แอบเจือกชีวิตคนอื่นไปพลาง ดื่มน้ำชาไปพลาง อะไรนะ? ความเป็นส่วนตัวเหรอ? ของแบบนั้นมันตายไปหมดแล้ว
เอาล่ะ คราวนี้จะแอบดูใครดี?
สุ่มที่มั่วๆในสถาบันดูเอาละกัน
“…หือ? หืมม?”
จากนั้น ชั้นก็ส่งเสียงออกมาแบบไม่ตั้งใจ
ภาพที่ชั้นเห็นมันแปลกๆ
ภาพที่ควรจะเป็นสถาบันกลับกลายเป็นภาพของซากปรักหักพัง
สถาบันถูกทำลายไปตอนไหนน่ะ? ไม่ สถาบันยังอยู่ดี แต่กลับมีภาพนี้ ภาพของสถาบันอัศวินที่ไม่ใช่ของที่นี่
อะไรเนี่ย? ทำไมถึงมีภาพที่ต่างกันสองภาพของสถานที่เดียวกันได้ล่ะ…? ว่าไงดีล่ะ เป็นที่เดียวกันแต่ก็ต่างกันคนละโยชน์เลย
ฝั่งนึงคือสถาบันที่ชั้นรู้จัก ถ้าแอบดูก็จะเห็นเอเทอร์น่าและตัวประกอบเอเรียนอยู่ตอนนี้
ส่วนอีกฝั่งนึง…สถานที่ยังเป็นจุดเดิม แต่ภาพที่เห็นนั้นต่างออกไปลิบเลย
เหมือนกับว่ามีตัวอะไรอาละวาดและทำลายสถาบันจนราบเป็นหน้ากลอง ที่ตรงนั้น มีผู้ชายและผู้หญิงสองคนกำลังต่อสู้อยู่กับปีศาจ
ถ้ามองดูดีๆ ผู้ชายคนนั้นคือเวอร์เนล แต่ไม่ใช่เวอร์เนลคนเดียวกันกับที่ชั้นรู้จัก
เพราะอะไรบางอย่าง เวอร์เนลคนนั้นไม่มีแขนข้างซ้าย และตาขวาของเขาก็ถูกปิดไว้ด้วยผ้าปิดตา
บรรยากาศรอบตัวคนคนนั้นก็ไม่เหมือนกับเวอร์เนลที่ชั้นรู้จักเลย จิตสังหารดุดันสุดๆ
…?
…..?
อะไรวะน่ะ?
เพื่งจะเคยเจอเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก
ตั้งแต่แรกแล้ว มันแทบจะไม่มีปีศาจหลงเหลืออยู่บนโลกนี้เลยด้วยซ้ำ เรื่องแบบนี้มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน…
นี่ตูกำลังดูอะไรอยู่เนี่ย?
ชั้นทำการยืนยันเรียบร้อยว่าเวอร์เนลที่ชั้นรู้จักยังคงมีตัวตนอยู่ในที่อื่น เห็นว่ากำลังนั่งฝึกตนอยู่ใต้น้ำตก คนคนนี้ทำอะไรของเค้าเนี่ย…?
อะไรกันล่ะเนี่ย? สองสถานการณ์ เวอร์เนลสองคน แต่สถานที่เป็นจุดเดียวกัน?
ถ้าโปรเฟตะยังอยู่ก็คงจะถามไปแล้ว โชคร้ายที่ไม่เป็นอย่างนั้น
…ไม่สิ เดี๋ยวนะ
ถ้าจำไม่ผิด เหมือนโปรเฟตะจะเคยบอกว่ามันได้เห็นภาพของโลกที่ดำเนินไปตามเนื้อเรื่องเกมที่ชั้นไม่ได้มาเกิดใหม่เป็นเอลริสนี่นา
ตามที่ยามาโตะซังบอกมา โลกถูกแยกออกเป็นโลก A และ B ซึ่งีความแตกต่างหลักอยู่ที่ตัวเอลริส
โลก A คือโลกของบุปผานิรันดร์ร่วงโรยที่ชั้นเคยเล่น โลกที่เอลริสมีนิสัยเหมือนขยะเปียก และทำให้ทุกอย่างพังพินาศ
และโลก B ก็คือโลกที่ชั้นมาเกิดใหม่เป็นเอลริส…หรือก็คือโลกปัจจุบัน
ก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมชั้นถึงสามารถดูโลกอื่นได้น่ะ แต่ชั้นก็ไม่ได้เข้าใจพลังนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว อาจจะเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ต้นเลยก็ได้
หรือก็คือ ภาพที่ชั้นเห็นอยู่ตอนนี้เป็นภาพของโลกอื่นสินะ?
“มันมาไม่จบสักทีแฮะ…หนีไปเถอะแมรี่”
“ไม่นะ…ถ้าจะต้องตาย เราก็ไปด้วยกันนี่ล่ะ…!”
อ้อ ผู้หญิงคนนั้นคือแมรี่นี่เอง
ดูเหมือนจะเป็นโลกคู่ขนานจริงๆด้วยแฮะ
ชั้นคอยดูพวกเขาต่อไป ทั้งสองคนที่เหนื่อยอ่อนถูกล้อมด้วยปีศาจจำนวนมาก
ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รู้ได้เลยว่างานเข้าอยู่
พยายามเข้านะเวอร์เนลของต่างโลก! นายยังสู้ไหว!
อย่ามายอมแพ้นะ! สู้เข้าสิ!
เฮ้ย ข้างหลังน่ะ! ระวังข้างหลัง!
ไอ้เสียงพากย์ของชั้นนี่ถูกส่งไปไม่ถึงพวกเขาอยู่แล้ว ยิ่งเวลาผ่านไป สถานการณ์ก็ยิ่งแย่ลง
อ๊า-เวรเอ๊ย!
ทนดูไม่ได้เลยเว้ย! ขัดใจว่ะ!
ถ้าชั้นอยู่ที่นั่นด้วยล่ะก็ กะอีแค่ปีศาจพวกนี้ ทีเดียวก็ปลิวหมดแล้ว!
พอคิดแบบนั้น จู่ๆภาพตรงนั้นชั้นก็เปลี่ยนไป มาอยู่ในสถานที่นั้นเลย
…หา?!
.
ทำไมมันถึงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้?
ความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นมาในหัวเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่มีวันไหนเลยที่เขาไม่คิดถึงเรื่องนั้น
เขาจ้องมองไปยังสถานที่ที่เคยมีสถาบันอัศวินตั้งอยู่ เขา–เวอร์เนลทำได้เพียงเสียใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
เขาคือมนุษย์เพียงคนเดียวที่มีพลังแบบเดียวกับแม่มดสิงสถิตอยู่
เพราะแบบนั้น เขาจึงถูกขับไล่ออกจากตระกูลราวกับเป็นขยะไร้ค่า…และในตอนนั้นเอง เขาก็ได้พบกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
เอเทอร์น่า…ชื่อของเธอคนนั้งยังคงสถิตอยู่ในใจของเขา เธอเป็นดั่งครอบครัวเพียงคนเดียวที่เขามี และเป็นผู้หญิงที่เขารักที่สุด
ถึงแม้ว่าทั้งเวอร์เนลและเอเทอร์น่าจะมาจากหมู่บ้านที่ยากจน พวกเขาก็สามารถเข้ารับการศึกษาในสถาบันฝึกสอนอัศวินเวทย์ได้ในที่สุด
เหตุผลที่เวอร์เนลมาที่นี่ก็มีอยู่หลากหลาย เขาต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่จะปกป้องหมู่บ้านได้ และเขาก็ต้องการวิธีที่จะสามารถควบคุมพลังของตนเอาไว้ไม่ให้อาละวาดออกมา และเขาก็อยากที่จะกลายเป็นผู้ชายที่สามารถปกป้องเอเทอร์น่าเอาไว้ให้ได้
ต้องเรียกว่าเป็นการคำนวณที่ผิดพลาด เนื่องจากว่าเอเทอร์น่าเองก็ตามเขามายังสถาบันด้วยความเป็นห่วง แต่ในเวลาเดียวกันก็ทำให้เขารู้สึกยินดี
ถึงกระนั้น ชีวิตในสถาบันก็เต็มไปด้วยความยากลำบากและอุปสรรค
อย่างแรกเลยคือการที่พวกเขาถูกดูหมิ่นเนื่องจากว่าเป็นสามัญชน
อย่างต่อไปก็คือบุคคลที่อัศวินมีหน้าที่ปกป้อง เซนต์เอลริส…ไม่สิ เซนต์ตัวปลอมเอลริส
จะเรียกนิสัยของเธอว่าน่ารังเกียจก็ยังถือว่าเบาเกินไป จิตใจของเธอนั้นดำมืดไม่ต่างจากน้ำโสโครกในท่อน้ำทิ้ง
เธอมีนิสัยที่เอาแต่ใจอย่างที่สุด และพร้อมที่จะใช้อำนาจในฐานะเซนต์ของตัวเองเพื่อส่งใครก็ตามที่ขัดคำสั่งของเธอไปตาย
ยิ่งกว่านั้นหากเธอทำอะไรผิดไป เธอก็มักจะใช้ข้ออ้างว่าเธอเป็นเพียงเหยื่อของสถานการณ์มาบังหน้า
ที่แย่ที่สุดก็คือ เซนต์ตัวปลอมคนนี้ดันมาให้ความสนใจในตัวเวอร์เนล และใช้อำนาจของเธอเพื่อกลั่นแกล้งเอเทอร์น่าและเพื่อนคนอื่นๆของเขา… กระทั่งส่งกลุ่มโจรให้มาโจมตีเอเทอร์น่าและคิดที่จะทำมิดีมิร้าย โชคยังดีที่เวอร์เนลสามารถปกป้องเธอเอาไว้ได้ แต่ก็ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเขาช้าไปเสียหน่อย จะเกิดอะไรขึ้น
ในท้ายที่สุด พวกเขาก็สามารถที่จะโน้มน้าวองครักษ์ส่วนตัวของเธอ เลย์ล่า ให้มาเป็นพวกได้สำเร็จ—เอลริสที่ถูกเปิดโปงถูกเนรเทศ และต่อมาก็ได้รับการยืนยันว่าเธอเสียชีวิตในซอกหลืบหนึ่งของสลัม แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
ความจริงถูกเปิดเผยออกมาว่าจริงๆแล้วเอเทอร์น่าคือเซนต์ตัวจริง และทำให้หน้าที่ในการกำจัดแม่มดถูกส่งต่อมาหาเธอเช่นกัน
ตามมาด้วยภัยพิบัติมากมาย อาจารย์ที่ถูกแม่มดควบคุม กองทัพปีศาจที่บุกเข้าโจมตีสถาบัน…อาจารย์โรคจิตที่พยายามบังคับให้เอเทอร์น่ากลายเป็นเซนต์ในอุดมคติของตัวเอง…เป็นเพราะว่าชื่อเสียงของเซนต์ตกถึงจุดต่ำสุดด้วยฝีมือของเซนต์ตัวปลอม ทำให้นอกจากจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากเหล่าขุนนางอย่างเซนต์รุ่นก่อนๆแล้ว ก็มีแต่จะถูกก่นด่าไม่เว้นแต่ละวัน
ตำแหน่งของ”เซนต์”กลายเป็นที่รังเกียจในระดับที่ไม่มีใครสนว่าเป็นคนละคนกัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายมาด้วยกัน ก็ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเวอร์เนลและเอเทอร์น่ายิ่งแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดทั้งคู่ก็ตกลงปลงใจให้แก่กันและกัน
เวอร์เนลถูกแต่งตั้งให้เป็นองครักษ์ส่วนตัวของเอเทอร์น่า ตำแหน่งที่ใกล้ชิดกับเซนต์มากที่สุด และเขาก็สาบานที่จะถวายชีวิตปกป้องเธอ
แต่แล้ว ในการต่อสู้กับแม่มด ชีวิตของเอเทอร์น่าก็ได้ดับสูญไป
ทั้งๆที่เขาสาบานว่าจะปกป้องเธอ
ทั้งๆที่เขาบอกว่าจะไม่ยอมให้เธอตายเป็นอันขาด
แต่เขาก็ยังทำไม่สำเร็จ เธอ…ผู้หญิงที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของเขาเอง ส่งการโจมตีครั้งสุดท้ายเข้าใส่แม่มดในขณะที่ตัวเองก็โดนแบบเดียวกัน และแล้วเธอก็จากไปในอ้อมอกของเขา
เธอคงคิดที่จะเสียสละตัวเองมาตั้งแต่ต้นแล้ว
ตั้งแต่ที่พวกเขารู้ว่าเซนต์ที่ปราบแม่มดจะกลายเป็นแม่มดคนต่อไป…ชะตากรรมของเธอก็ได้ถูกเลือกเอาไว้แล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น นั่นก็เป็นแค่บทนำแห่งจุดสิ้นสุด
โดยปกติแล้ว พลังของแม่มดจะถูกส่งต่อให้กับเซนต์และเปลี่ยนเธอให้กลายเป็นแม่มดเช่นเดียวกัน
แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากเซนต์คนนั้นจากไปก่อนที่การส่งต่อพลังจะเสร็จสิ้นล่ะ?
ถ้าหากภาชนะซึ่งเป็นปลายทางของพลังนั้นหายไปล่ะ?
เอเทอร์น่าคิดว่านั่นจะเป็นจุดจบของโศกนาฏกรรมทั้งหมด ทุกคนเองก็คิดเช่นนั้น
ไม่มีใครที่สามารถคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนั้นได้เลย ก็มันเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี่นา…
เมื่อภาชนะหายไป พลังของแม่มดกลับก่อร่างของตนเองขึ้นมาได้ด้วยพลังเวทย์ล้วนๆ
มันคือสัตว์ประหลาดที่ถูกสร้างขึ้นจากคำสาปของแม่มดทุกคน…ร่างจริงของหายนะที่คุกคามมนุษยชาติมาตลอดหลายพันปี
แม่มดคนแรกส่งคำสาปต่อไปยังเซนต์ที่ปราบเธอ เซนต์คนนั้นที่กลายเป็นแม่มดก็ส่งพลังต่อไปหลังจากที่เธอโดนปราบ นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วงหนึ่งพันปีนี้ และเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นก็คือการคงอยู่ที่สร้างขึ้นมาจากคำวาปเหล่านั้น
นี่เป็นสิ่งที่เวอร์เนล…ไม่สิ ทุกคนในโลกได้เห็นเป็นครั้งแรก
ความจริงของคำสาปนั้น ศัตรูที่แท้จริงของมนุษยชาติ…กว่าทุกคนจะรู้ตัว มันก็สายเกินไปแล้ว ไม่มีใครที่สามารถทำอะไรกับมันได้
วิธีจัดการกับมันเห็นจะมีอยู่หนึ่งเดียว…อย่าให้มันได้เกิดมา
ไม่มีตัวตนใดในโลกที่สามารถเทียบเคียงกับพลังของมันได้ ไม่ว่าจะหาทั่วทุกซอกทุกมุมโลกแล้วก็ตาม
ปาฏิหาริย์ที่จะสามารถปราบมันได้ ไม่มีอยู่จริง
พวกเขารวมกลุ่มกัน ไม่ยอมให้ความตายของเอเทอร์น่าต้องสูญเปล่า ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกัน
กระทั่งร่วมมือกับผู้ที่เคยเป็นศัตรู รับสืบทอดเจตจำนงค์ของเพื่อนพ้องที่จากไป
พวกเขาจะต้องชนะ จะพ่ายแพ้ไม่ได้เด็ดขาด ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ยอมแพ้ล่ะก็ จะต้องสามารถทำสำเร็จได้แน่
พวกเขาพยามที่จำให้กำลังใจกันและกัน เพื่อไม่ให้ตกลงสู่ความสิ้นหวัง แต่ทว่า–
“คย๊าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! อะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
ตัวตนแห่งความสิ้นหวัง…”แม่มด”เหยียบย่ำทำลายความพยายามเหล่านั้นจนไม่มีชิ้นดี
ไม่ว่าจะฟัน จะเผา จะยิง ทุกอย่างล้วนไร้ผล ตัวตนของ”แม่มด”คือพลังเวทย์ ไม่ว่าจะทำลายร่างเนื้อไปสักกี่ครั้ง ก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้เสมอ
ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับแม่มดทุกคนในอดีตรวมกัน พลังของมันทำลายล้างสถาบัน หมู่บ้าน เมือง หรือกระทั่งประเทศจนราบเป็นหน้ากลอง
…และจนถึงตอนนี้ การทำลายล้างของมันก็ยังไม่หยุดลง
ถ้าหากไม่มีใครหยุดมันไว้ล่ะก็ ในอีกไม่กี่ยุคสมัย โลกใบนี้ก็จะสูญสิ้นลง
กลุ่มของเวอร์เนลถูกทำลาย
ไม่มีองครักษ์คนใดเหลือรอดกลับมา กระทั่งเลย์ล่า อดีตองครักษ์ส่วนตัวผู้มีพลังเทียบเท่ากับเวอร์เนล ก็จากไปในการต่อสู้กับ”แม่มด”เช่นกัน
ในตอนนี้เอง แม่มดก็ยังคงออกอาละวาด ส่งมนุษยชาติลงสู่ความสิ้นหวัง ไม่ปล่อยให้ผู้ใดสามารถหลับสนิทลงได้
เมื่อเขามาถึงยังสถานที่แห่งนี้ เวอร์เนลก็ทำได้เพียงมองทิวทัศน์ข้างหน้าด้วยความขมขื่น
เขาไม่เหลือความไร้เดียงสาจากสมัยที่ยังเป็นนักเรียนอีกต่อไปแล้ว เขาในตอนนี้คือนักรบผู้เจนจัด
ตาที่เหลืออยู่ข้างเดียวนั้นคมกริบราวกับนกเหยี่ยว ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นแสดงให้เห็นว่าผ่านศึกมาอย่างโชกโชน
รอยแผลบนใบหน้าแสดงให้เห็นว่ามันเคยถูกฉีกขาดและถูกเย็บปะเอาไว้
ทั้งเสื้อผ้าและเกราะที่เขาสวมอยู่นั้นมีสภาพรุ่งริ่ง บนหลังของเขาคือเกรทซอร์ดขนาดยัหษ์
ร่างกายของเขาเติบโตสูงใหญ่ขึ้นกลายเป็น 190 เซนติเมตร
“เวอร์เนล…ยังคิดจะสู้อยู่อีกใช่มั้ย?”
พวกพ้องเพียงคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ แมรี่ ถามขึ้นมา
เธอเป็นคนที่ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้หลังจากการพ่ายแพ้ให้กับ”แม่มด”
ตอนที่เวอร์เนลตื่นขึ้นมา เธอก็เสนอว่าให้ทั้งสองคนหนีไปด้วยกัน ไปในที่ห่างไกลที่ปีศาจจะตามไปไม่ถึง
เวอร์เนลรู้สึกขอบคุณต่อข้อเสนอนั้น
สำหรับตัวเขาที่สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว…การที่รู้ว่ายังมีใครสักคนในโลกที่ห่วงใยเขาถึงขนาดนี้ ก็ทำให้อยากร้องไห้ขึ้นมา
แต่ในจุดนี้ เขาสูญเสียมามากเกินกว่าจะถอยหลังกลับได้แล้ว…ยิ่งไปกว่านั้น ไฟแห่งความโกรธแค้นที่ปะทุอยู่ในอกนก็คงจะไม่ยอมให้เขาหยุดอยู่แค่นี้
เขารู้ดี ถ้าหากสู้กันตรงๆล่ะก็ เขาไม่มีโอกาสที่จะสามารถเอาชนะ”แม่มด”ได้
เขารู้ดีว่าตัวเลือกที่ดีที่สุดก็คือการหนีไป และรักาาชีวิตของตัวเองเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่เขาก็ปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้
เพื่อนพ้อง อาจารย์ ครอบครัว คนรัก…เจ้าสิ่งนั้นพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเขา และเขาไม่สามารถยกโทษให้มันได้ ทุกๆสิ่งที่เขามีถูกมันย่ำยีต่อหน้าต่อตา และเวอร์เนลก็ไม่ใช่พวกที่สามารถปล่อยเรื่องอย่างนั้นไปได้
เพราะเช่นนั้นเขาจึงสู้ ไม่เกี่ยวว่าจะแพ้หรือชนะ แต่นั่นเป็นทางเดียวที่เขามีอยู่
ความต้องการที่จะล้างแค้น คือสิ่งเดียวที่ยังคงพยุงชีวิตนี้ของเวอร์เนลเอาไว้
“แน่นอน”
เสียงของเวอร์เนลนั้นต่ำและหยาบกร้านราวกับสัตว์ป่า
เปลวไฟแห่งความแค้นลุกโชนอยู่เบื้องหลังดวงตาคู่นั้น เรียกได้ว่าแทบจะเป็นคนละคนกับเขาในวัยเยาว์
“ช่วย…หยุดเสียทีไม่ได้หรือ? ไม่มีใครที่สามารถเอาชนะเจ้านั่นได้หรอกนะ…”
เวอร์เนลพยายามที่จะสู้กับแม่มดมาแล้วหลายครั้ง
เขาจะรวบรวมข้อมูลการปรากฏตัวของแม่มด วิเคราะห์เส้นทางการเคลื่อนไหวของมัน และไปรอดักหน้าเพื่อที่จะสู้
เขาทำแบบนั้นมาแล้วถึงห้าครั้ง
ทุกๆครั้งเขาถูกมันจัดการอย่างง่ายดาบราวกับปัดแมลงวัน แต่มันก็ทำเพียงเดินทางต่อโดยไม่ให้ความสนใจใดๆต่อเวอร์เนล
ทุกๆครั้งที่เรื่องอย่างนั้นเกิดขึ้น ร่างกายของเวอร์เนลก็จะยิ่งมีรอยแผลเป็นเพิ่มขึ้นไปอีก
เขานั้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนอย่างทาบไม่ติด กระทั่งสามารถใช้งานพลังของแม่มดในตัวได้ในระดับหนึ่ง
แต่นั่นก็ยังไม่พอ ไม่ใกล้เคียงด้วยซ้ำ
แมรี่ทนเห็นเขาที่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไปไม่ได้แล้ว
“…ข้าเห็นความฝันน่ะ”
“…ความฝัน?”
“อา ข้าจะเห็นเพื่อนพ้องทุกๆคนๆ กระทั่งเอเทอร์น่า…อยู่ที่นั่น และไม่ว่าข้าจะพยายามยื่นมือเข้าไปช่วยสักกี่ครั้ง ก็จะล้มเหลวทุกครั้งไป ทุกๆคนถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่านต่อหน้า ข้าไม่สามารถทำอะไรได้เลย และในแต่ละครั้ง ความเกลียดชัง ความโกรธแค้น และความรู้สึกไร้พลังในตัวข้าก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
แมรี่สามารถรู้ได้เลยว่าเวอร์เนลกำลังกำหมัดแน่น
“ข้าจะฆ่ามัน…ต้องฆ่าให้ได้ ทุกๆครั้งที่ข้ารู้ว่ามันยังอยู่ข้างนอกนั่น หัวเราะร่า ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า มันทำให้ข้าโกรธจนเกือบเป็นบ้า! ฆ่า! ฆ่า! ใครสนกันว่าจะมีโอกาสชนะได้รึเปล่า ข้าจะฝังมันกับมือนี้ล่ะ ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม!”
ไหล่ของแมรี่สั่นเมื่อสำผัสได้ถึงความโกรธแค้นที่แผ่ออกมาจากเวอร์เนล
ไม่ว่าจะท้าสู้กับมันสักกี่ครั้ง โอกาสชนะก็ยังคงเป็นศูนย์
แต่เขาก็ยังจะท้าสู้กับมันต่อไป จนถึงวันตาย
นั่นเป็นเรื่องที่โหดร้ายและยากที่จะมอง แมรี่กัดริมฝีปากล่างแน่น
ในตอนนั้นเอง เวอร์เนลก็เงยหน้าขึ้นมาและเอื้อมมือไปจับดาบข้างหลัง
“เวอร์เนล…?”
“ดูเหมือนจะมีแขกมานะ แสดงว่า”เจ้านั่น”คงจะอยู่ใกล้ๆแถวนี้”
เวอร์เนลแผ่จิตสังหารออกมาพร้อมมองไปรอบๆ
จากในป่า ฝูงปีศาจ…ไม่สิ กองทัพปีศาจก็ค่อยๆทยอยเดินออกมา
พวกมันแปรเปลี่ยนจากที่เคยจงรักภักดีต่ออเล็กเซีย มาอยู่ใต้การบัญชาของ”แม่มด”แทน
หาก”แม่มด”ปรากฏตัวขึ้นที่ใด สัตว์ในบริเวณนั้นก็จะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นปีศาจ กระทั่ง”มหามาร”ยังโผล่มาให้เห็นในบางครั้ง
นั่นหมายความว่า ยิ่งมีปีศาจที่แข็งแกร่งมารวมตัวกันมากเท่าไร “แม่มด”ก็ยิ่งอยู่ใกล้เข้าไปเท่านั้น
“ฮ่าาาาาาา!”
เวอร์เนลคำรามพร้อมกับฟันเกรทซอร์ดของตนไปด้านหน้า
กลุ่มของปีศาจตรงหน้าแตกกระเจิง มีเพียงเจ้ามิโนทอร์ที่หนีไปไม่ทันและโดนผ่าครึ่งในทีเดียว
เกรทซอร์ดนี้มีความยาวใบดาบมากกว่าเมตรครึ่ง ถ้ารวมด้ามจับด้วย ก็ถือว่ายาวยิ่งกว่าส่วนสูงของเวอร์เนลเสียอีก
ดาบนี้ที่กระทั่งนักรบธรรมดาไม่อาจจะยกไหว กลับถูกเหวี่ยงด้วยแขนข้างเดียวที่เวอร์เนลหลงเหลืออยู่ราวกับไร้น้ำหนัก
ไม่ใช่แค่การเหวี่ยงธรรมดา แต่ยังรวดเร็วมากจนปรากฏเป็นภาพติดตาออกมา
ดาบเล่นนั้นถูกตวัดไปด้านหลัง ผ่าร่างของปีศาจตรงนั้นเป็นสองท่อน
แมรี่ยกคฑาขึ้นมาและร่ายเวทย์สนับสนุนเวอร์เนล
ปีศาจในบริเวณนั้นแข็งทื่อไปในทันที และร่างของพวกมันก็ถูกเวอร์เนลฟาดจนแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย
ปีศาจเหล่านั้นทุกตัวล้วนเป็นระดับสูง แต่ละตัวจำเป็นต้องใช้อัศวินหลายคนในการปราบ หากเป็นในอดีตล่ะก็ ความสามารถที่ทั้งสองคนแสดงให้เห็นนี้ถือว่าเหนือมนุษย์อย่างมาก
แต่ในโลกปัจจุบันที่มีปีศาจอยู่ยั้วเยี้ยในทุกๆที่ ฆ่าพวกมันไปได้ฝูงนึงก็ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนไป
ไวเวิร์นบินเหนือหัวของทั้งสองพร้อมพ่นลูกไฟลงมา สฟิงซ์ฟาดหางไปมาราวกับแส้
ยักษ์ศิลาเหวี่ยงค้อนเหล็กในมือไปมา งูแปดเศียรพุ่งกระโจนเข้าใส่หวังจะใช้พิษสังหาร
เวอร์เนลและแมรี่สามารถรับมือกับพวกมันได้อย่างชำนาญ แต่ทุกครั้งที่พวกเขาปราบปีศาจไปหนึ่งตน อีกตนหนึ่งก็จะเข้ามาแทนที่ในทันทีอย่างไม่มีหยุดพัก
“มันมาไม่จบสักทีแฮะ…หนีไปเถอะแมรี่”
“ไม่นะ…ถ้าจะต้องตาย เราก็ไปด้วยกันนี่ล่ะ…!”
ปีศาจที่”แม่มด”สร้างขึ้นมาแต่ละตัวนั้นยิ่งแข็งแกร่งกว่าปีศาจที่อเล็กเซียเป็นผู้สร้างเสียอีก
โลกในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยปีศาจชั้นสูงที่เทียบเคียงได้กับมหามารในสมัยก่อน และมหามารในยุคนี้นั้นสามารถเปลี่ยนทุกที่ที่มันผ่านทางให้กลายเป็นนรกบนดิน
บนโลกใบนี้ไม่มีสถานที่ที่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไป จำนวนของปีศาจก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น และเวลาที่มนุษยชาติหลงเหลืออยู่ก็น้อยลงไปทุกที
ในสมัยก่อน อย่างน้อยจำนวนของปีศาจก็ยังอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้บ้าง
แต่ถ้าเป็นตอนนี้ล่ะ? มีปีศาจเพิ่มมากขึ้นอยู่ตลอดเวลา มองไปทางไหนก็เจอ
“คุ…!”
ก๊าซพิษถูกปล่อยออกมาโดยปีศาจแมงป่องจากระยะไกล
ถึงแม้เขาจะสามารถเหวี่ยงดาบเพื่อจัดการกับปีศาจที่เข้ามาใกล้ได้ แต่เขาก็ไม่สามารถปิดกั้นก๊าซได้
ถึงแม้จะใช้ลมจากการสะบัดดาบพัดออกไป แต่ก็ยังไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงได้ทั้งหมด
แมรี่ไอไม่หยุด ส่วนร่างกายของเวอร์เนลก็ค่อยๆหนักขึ้นเรื่อยๆ
“อย่ามา…ดูถูกกันนะโว้ยยยย!!”
เวอร์เนลกัดฟันและพุ่งไปด้านหน้า
ดาบเล่มนั้นตัดปีศาจแมงป่องขาดเป็นสองท่อน แต่เพราะการกระโจนออกมาเมื่อครู่ ทำให้แมรี่ถูกปล่อยไว้คนเดียว
เมื่อเวอร์เนลไม่อยู่ใกล้ ทำให้การป้องกันของแมรี่อ่อนลง ทำให้ปีศาจหมีฉวยโอกาสนั้นเพื่อที่จะทำการโจมตี
เวอร์เนลสามารถกระโจนกลับเพื่อที่จะจัดการปีศาจหมีได้ทัน แต่นั่นก็ทำให้เกิดช่องว่างให้ปีศาจหมาป่าลอบโจมตีจากด้านหลังของเขา
เขาไม่อาจป้องกันได้ทัน และรับการโจมตีเข้าเต็มๆ
ไหล่ของเขาถูกกัด แต่เวอร์เนลก็สลัดมันออกได้ด้วยการใช้ไหล่นั้นกระแทกกับต้นไม้
แต่ความเสียหายจากการโจมตีนั้นไม่ใช่น้อยๆเลย ยิ่งเป็นการโจมตีใส่แขนข้างเดียวที่เขามีอยู่ด้วยแล้ว ทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลงไปอีก
เวอร์เนลและแมรี่ถูกล้อมโดยสมบูรณ์ คำว่า”พ่ายแพ้”ดังก้องอยู่ในหัว
“จะยอม…ให้จบอย่างนี้ได้ยังไงกันวะะะะ!!!”
เวอร์เนลแบกรับบาปของการเป็นผู้เหลือรอด ก็เพื่อที่จะกำจัดแม่มดให้ได้สักวัน
เขาไม่เหลืออะไรให้ปกป้องอีกแล้ว แต่เขาก็ยังจากไปไม่ได้ เพื่อที่จะทะลวงอกของสัตว์ประหลาดตนนั้น ส่งต่อความเจ็บปวดให้กับมัน
เขาจะไม่ยอมมาตายในรูปแบบนี้เด็ดขาด จะปล่อยให้มันจบแบบนี้ได้อย่างไรกัน
เขาขยับร่างกายที่อ่อนล้านั้นด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น ฟาดฟันปีศาจตัวแล้วตัวเล่า
แต่สุดท้าย จำนวนก็ต่างกันเกินไป และแมรี่ก็ล้มลง
เป็นพิษจากการโจมตีก่อนหน้านี้ผนวกเข้ากับความเหนื่อยล้า
ใบหน้าของเธอซีดเผือก เหมือนกับจะหมดสติไปได้ทุกเมื่อ
และแน่นอนว่าปีศาจย่อมไม่ปล่อยให้ช่องว่างเช่นนี้หลุดรอดไป
พวกมันกระโจนเข้าใส่เธอพร้อมกัน เวอร์เนลทิ้งดาบในมือและใช้ร่างของตัวเองป้องกันเธอเอาไว้
“Aurea Libertas”
เสียงกระจ่างใสดังมาจากที่ไหนสักแห่ง
เป็นเสียงที่เขาไม่น่าจะเคยได้ยินมาก่อน แต่เวอร์เนลกลับรู้สึกว่าคุ้นเคยกับเสียงนั้นอย่างบอกไม่ถูก
ทันใดที่เสียงนั้นดังขึ้น แสงจำนวนมากก็ตกลงมาจากฟากฟ้า พุ่งเข้าหาปีศาจทุกตนในบริเวณนั้นอย่างไม่มีตัวใดเหลือรอด และเป่าพวกมันจนเป็นผุยผง
แสงนั้นไม่สนว่าปีศาจเหล่านั้นจะแข็งแกร่งหรือรวดเร็วเพียงใด ราวกับทัณฑ์สวรรค์พิพากษาผู้มากบาป หลงเหลือไว้เพียงความเงียบงัน
“นี่มันอะไรกัน…ปาฏิหาริย์อย่างนั้นหรือ…?”
เสียงของเวอร์เนลสั่นในลำคอเมื่อมองไปยังฉากตรงหน้า
เขาไม่อยากจะเชื่อว่าเกิดอะไรขึ้น สมองไม่อาจแม้จะประมวลผลภาพตรงหน้าได้ทัน
แสงจากสวรรค์ถูกส่งลงมาเพื่อปราบพวกปีศาจ…นั่นมันปาฏิหาริย์แบบไหนกัน จะให้เชื่อลงได้อย่างไร?
แต่ว่านั่นไม่ต้องสงสัยเลย ว่าเป็นเรื่องจริง และต้นตอของเสียงนั้นก็บินลงมาหาเวอร์เนล
เส้นผมของเธอส่องประกายราวกับทองคำ
ผิวขาวใสราวไข่มุก ใบหน้าที่งดงามจนไม่น่าเชื่อว่ามาจากโลกนี้
ชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์ทำให้เธอยิ่งดูงดงามขึ้นไปอีก
เมื่อเวอร์เนลเห็นเช่นนั้น เขาคิดได้เพียงว่าเทพธิดาลงมาจุติ
ในหมู่คนที่เวอร์เนลรู้จัก มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีผมสีทองและสวมชุดเดรสสีขาว นั่นก็คือเซนต์ตัวปลอมเอลริส(ขยะชั้นต่ำที่สุด) แต่แน่นอนว่าคนตรงหน้านั้นไม่ควรเอาไปเทียบกับสิ่งปฏิกูลเช่นนั้นเลย
เธอคนนั้นโบกมือเพียงครั้งเดียว ทั้งพิษที่เขาได้รับ และบาดแผลจากการต่อสู้เมื่อครู่ล้วนหายเป็นปลิดทิ้งในพริบตา
“เป็นอะไรไหมคะ?”
เธอถามขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม แต่เวอร์เนลก็ไม่รู้จะตอบอะไรดี
แมรี่เองก็เช่นกัน หญิงสาวตรงหน้านั้นอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่า เกินจริง
ทำเอาคิดว่าพวกเขาตายไปแล้ว และนี่ก็เป็นเพียงฝันดีก่อนตายด้วยซ้ำ
จะมีตัวตนแบบนี้อยู่ในโลกโดยที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนได้อย่างไรกัน?
ถ้ามีคนแบบนี้อยู่จริง ทำไมถึงไม่มีข่าวลือเกี่ยวกับเธอเลยล่ะ? เธอไปอยู่ที่ไหนมา? ทำอะไรจนถึงตอนนี้?
ยิ่งคิดก็ยิ่งยากที่จะเชื่อว่าเด็กสาวตรงหน้านั้นเป็นของจริง
“ระ หรือว่าเจ้า…เป็นพระเจ้า…รึเปล่า?”
ช่วยไม่ได้ที่เวอร์เนลจะถามออกมาอย่างนั้น
อย่างน้อยที่สุด เธอก็ไม่ใช่เซนต์
ในยุคสมัยหนึ่งจะมีเซนต์อยู่เพียงคนเดียว และเซนต์ของยุคนี้ก็คือ เอเทอร์น่า
อาจจะมีเซนต์เกิดมาใหม่หลังจากที่เอเทอร์น่าตายไปก็จริง…แต่เธอคนนั้นจะต้องยังเป็นทารกอยู่เลย..และในโลกที่โหดร้ายและไม่มีอัศวินคอยปกป้องเช่นนี้ ก็คงยากที่เธอจะรอดมาได้ด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าเธอคนนี้ก็คงไม่ใช่สามัญชนเช่นกัน…แค่ดูก็รุ้แล้ว
นั่นทำให้เวอร์เนลคิดได้เพียงว่าเธอคนนี้คือเทพธิดาที่จุติลงมาเพื่อช่วยโลกใบนี้
อย่างน้อยพลังที่เธอแสดงให้เห็นก็อยู่ในระดับนั้นเลย
แต่เธอเพียงแค่ส่ายหัวเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้ม
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ตัวชั้นไม่ใช่คนที่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดนั้นเลย ก็แค่เห็นตอนที่พวกคุณสองคนกำลังสู้อยู่…แล้วทำให้นิ่งเฉยไม่ได้น่ะค่ะ ตัวชั้นก็เป็นเพียงแค่คนจุ้นจ้านทั่วไป”
แน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อที่เธอบอกเลย
แต่เวอร์เนลก็เลือกที่จะไม่ถามต่อ
ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร ความจริงที่ว่าเธอเป็นผู้ช่วยชีวิตพวกเขาไว้ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง
“เข้าใจล่ะ…ขอโทษที่เข้าใจผิดแล้วกันนะ แล้วก็ขอบคุณมาก ถ้าไม่ได้เจ้าช่วยไว้ล่ะก็คงจะแย่เลย ชื่อของข้าคือเวอร์เนล ส่วนนี่แมรี่…พวกเราอยู่ในระหว่างเดินทางเพื่อกำจัดเจ้าเศษสวะ”แม่มด”นั่นน่ะ ขอถามชื่อผู้ช่วยชีวิตเราหน่อยได้รึเปล่า?”
เขาก้มหัวเพื่อแสดงความขอบคุณ และก็ถามชื่อของเธอคนนั้น
กระทั่งในโลกที่สิ้นหวังเช่นนี้ ก็ยังมีคนแบบนี้อยู่
นั่นทำให้เวอร์เนลมีความหวัง และต้องการที่จะรู้ชื่อของเธอ
ทว่าสายตาของเธอคนนั้นกลับเบือนหนีไปชั่วครู่ ราวกับว่ายากที่จะตอบ แต่ก็ดูเหมือนจะทำใจได้และมองตรงมาที่เวอร์เนล
และพูดคำตอบที่ทำให้ทั้งสองคนตัวแข็งทื่อ
“ชื่อของชั้นคือ–เอลริส–ค่ะ”
ราวกับเวลาหยุดนิ่งลง