สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค - ตอนที่ 108 Sequel: เซนต์เก๊ตะลุยญี่ปุ่น 8
ที่ที่ยามาโตะซังพาชั้นไปก็คือโรงเตี๊ยมแถวๆสถานี
จะไปโรงแรมแบบดีๆก็คงได้แหละ แต่ยังไงชั้นก็ชอบบรรยากาศเก่าๆแบบนี้มากกว่าล่ะนะ
หลังจากที่เช็คอินเรียบร้อยแล้ว ยามาโตะซังก็หันมาหาชั้นด้วยท่าทางผ่อนคลาย
“เป็นยังไงบ้าง ที่โลกนี้น่ะมีสถานที่อย่างนี้อยู่ด้วยนะ จริงๆจะให้พาไปที่บ้านชั้นเองก็คงจะได้ แต่ว่าพ่อแม่ชั้นจะตกใจเอาน่ะสิที่พาคนสวยหลุดโลกขนาดนี้กลับบ้านไปด้วย แถมจะให้หาข้ออ้างมาอธิบายก็ดูจะยุ่งยาก เลยพาเธอมาที่นี่ล่ะ”
ถึงแม้ว่ายามาโตะซังจะเคยเป็นเต่าอายุพันปีในโลกก่อน แต่ในโลกนี้ เธอก็เป็นแค่สาววัยยี่สิบต้นๆสินะ
ดูเหมือนว่าเธอจะยังอาศัยอยู่กับครอบครัวด้วย
ถ้าเธอพาชั้นที่ดูยังไงก็ไม่ใช่คนญี่ปุ่นกลับบ้านไปด้วยก็คงจะมีคำถามเยอะแยะเลยล่ะนะ
แต่ว่า ครอบครัวเหรอ… ว่าไงดีล่ะ ก็เป็นเรื่องปกตินั่นแหละ ยังไงเธอก็กลับชาติมาเกิดใหม่นี่นา แต่ได้ยินอย่างนั้นก็โล่งใจชอบกล
ดูเหมือนว่าเธอจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวของเธอในโลกนี้นะ
สีหน้าตอนที่พูดถึงครอบครัวก็ดูจะสดใสดีด้วย
“โรงเตี๊ยมนี้ออกจะเก่าไปบ้าง แต่ราคาก็ถูกดีแถมยังมีบ่อน้ำพุร้อนให้ด้วย เดี๋ยวค่อยมาลงทีหลังแล้วกัน”
โฮ่…น้ำพุร้อนเรอะ…!
ถ้าแบบนั้นก็คงจะเป็นบ่อหญิงสินะ
ไม่ได้ถ้ำมองมานานแล้ว ก็ขอจัดซักหน่อยแล้วกัน
ถึงตัวจะเป็นผู้หญิง แต่จิตใจของชั้นยังคงมีปืนใหญ่นีโออาร์มสตรองไซโคลนเจ็ทอารฒสตรองอยู่นะเออ
แต่ถึงชั้นจะหื่นยังไง ชั้นก็ไม่มีอารมณ์อะไรขึ้นมาตอนเห็นร่างเปลือยของตัวเองหรอกนะ ก็คงแหงล่ะ
จากนั้นชั้นก็เล่าเรื่องของทางฝั่งนั้นหลังการปราบ”แม่มด”สำเร็จไปแล้วให้ฟัง
ชั้นปลกเกษียณจากตำแหน่งเซนต์และปล่อยให้อัลเฟรียเป็นผู้รับช่วงต่อ
จากนั้นก็พูดถึงคนอื่นๆอย่างเช่นเวอร์เนลและเอเทอร์น่าว่าพวกเขาใช้ชีวิตยังไงต่อบ้าง… แล้วก็พูดถึงจักรพรรดิไซต์นัลตาที่โดนชั้นจัดการทีเดียวจอดด้วย…
ยามาโตะซังก็เล่าให้ฟังจากมุมมองของเธอว่าเป็นยังไงบ้างตั้งแต่กลับชาติมาเกิดในโลกนี้
“ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเหมือนเรื่องตลกเลยล่ะ ตัวชั้นที่มีชีวิตอยู่มาเป็นพันปี กลับต้องมานั่งเรียนกับพวกเด็กมนุษย์เนี่ย แถมยังต้องมาเรียกเด็กอ่อนที่อายุไม่ถึงหนึ่งในสิบของตัวชั้นในชาติที่แล้วว่าเป็นครูอีก แต่ก็นะ การศึกษาของโลกนี้น่ะพัฒนากว่าที่ฟิโอริอย่างทาบไม่ติดเลย ก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะเลยล่ะ…เอาจริงๆชั้นก็คาดไว้อยู่แล้วล่ะนะว่าเธอจะสามารถจัดการกับวิญญาณของไซต์นัลตาได้อย่างไม่คนามือน่ะ”
“อย่างที่คิดเลย โปรเฟตะรู้เรื่องของเขาอยู่แล้วสินะคะ?”
“ใช่แล้วล่ะ แต่ก็คิดว่าถึงปล่อยไว้ก็ไม่เป็นไรล่ะนะ ต่อให้เธอไม่ไปเจอกับเจ้านั่นเข้า ก็คงไม่มีโอกาศได้ออกมาจากใต้ก้นทะเลนั่นหรอก ตอนแรกก็คิดที่จะบอกหลังจากจบเรื่องทั้งหมดแล้วน่ะนะ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ทำ”
ว่าแล้วเชียวว่าเธอรู้จริงๆด้วย
เหตุผลก็ตามที่คาดเป๊ะเลย
ถึงจะเป็นต้นเหตุของทุกอย่าง แต่ถ้าไม่ได้ออกมาอาละวาดอะไรล่ะก็ ก็ไม่ถือว่าเป็นเป้าหมายหลักในการกำจัด ไม่มีเหตุผลที่จะต้องบอกเรื่องไซต์นัลตาเลยทั้งๆที่ยังปราบอเล็กเซียไม่สำเร็จ
เป็นเพราะว่าชั้นตายทันทีหลังปราบอเล็กเซียได้ จากนั้นพอชั้นคืนชีพขึ้นมาในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย โปรเฟตะก็ตายหลังจบการต่อสู้นั้น
ก็เลยไม่มีจังหวะดีๆจะบอก
พอมาคิดแล้วมันก็แปลดีนะ
ชั้นตายในโลกนี้แล้วไปเกิดใหม่ที่ฟิโอริ ส่วนโปรเฟตะก็ตายในฟิโอริแล้วมาเกิดใหม่ที่โลกนี้
พวกเราทั้งสองคนเป็นคนที่น่าจะตายไปแล้วแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับมานั่งคุยกันทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ได้
เราทั้งสองคนไม่เคยได้ไปสัมผัสโลกหน้าแบบจริงๆสักทีนะเนี่ย
“โปรเฟตะ…คิดว่าที่นี่คือ’โลกหน้า’จากมุมมองของคนที่ฟิโอริหรือเปล่าคะ?”
ก่อนหน้านี้ชั้นเชื่อว่าที่ฟิโอริมีโลกหลังความตายอยู่
เป็นเพราะว่านั่นเป็นเซ็ตติ้งที่โลกนั้นมีอยู่ในสมัยที่ยังเป็นเกม
แต่ถ้าเรื่องนั้นเป็นแค่จินตนาการของยามาโตะ และเธอมองว่าโลกที่เธอมาเกิดใหม่คือโลกหน้าล่ะ?
ถ้าแบบนั้นแนวคิดของชั้นที่มีมาตั้งแต่เริ่มนี่คือผิดหมดเลยนะ
ถ้ามีอะไรผิดพลาดล่ะก็ ชั้นอาจจะได้ตายถาวรไปแล้วก็ได้
“ไม่หรอก ที่ชั้นมาเกิดที่โลกนี้เป็นแค่เรื่องบังเอิญน่ะ แต่ที่ฟิโอรินี่มีสถานที่วิญญาณจะไปอยู่หลังจากที่จบชีวิตไปแล้วแน่นอน นั่นเป็นสิ่งที่ชั้นสัมผัสได้ในสมัยที่ยังเป็นโหรน่ะ เซนต์คนอื่นๆก็ดูจะรู้สึกได้เหมือนกัน ต้องบอกว่าเป็นเพราะเจตจำนงค์ของโลกอะไรแบบนั้นล่ะมั้ง? สักวันเธอเองก็จะรู้สึกได้อย่างแน่นอน”
โหรคือตัวแทนของเจตจำนงค์แห่งโลก
เป้นเพราะว่ามีตำแหน่งนี้อยู่ จึงคิดได้แค่ว่าฟิโอรินั้นเป็นสถานที่ที่มีจิตสำนึกเป็นของตนเอง
และจิตสำนึกนั้นก็บอกโปรเฟตะและพวกเซนต์ว่า “โลกหลังความตายมีอยู่จริงนะเออ”
ถ้าแบบนั้นก็น่าจะมี…แต่ก็ไม่ค่อยชัวร์เหมือนกัน…
โลกนั้นมันออกจะโง่ๆหน่อยนี่นะ
ถึงจะมีอยู่จริง ก็อาจจะไม่ใช่สวรรค์แบบที่ชั้นวาดฝันไว้ก็ได้
เอาจริงๆฟิโอรินี่ก็งี่เง่าเหมือนกันนะ ถ้ามันทำหน้าที่ดีๆมาตั้งแต่แรก โศกนาฏกรรมและวังวนอุบาทว์นั่นก็อาจจะไม่เกิดขึ้นตั้งแต่แรกแล้ว
ตอนแรกสร้างอีฟมา จากนั้นเธอก็เกิดคลั่ง อันนั้นพอจะโยนให้เป็นความผิดของไซต์นัลตาได้
พออีฟออกอาละวาด ก็สร้างเซนต์มาจัดการเธอ ถือว่าแก้ปัญหาได้ดี
แต่พอเซนต์คนแรกโดนความรู้สึกด้านลบกัดกินจนกลายเป็นแม่มดหลังจากปราบอีฟ ทำไมถึงไม่สร้างเซนต์คนต่อไปให้ออกมามีภูมิต้านทานความรู้สึกด้านลบมากกว่านี้หน่อยล่ะเฮ้ย รุ่นแล้วรุ่นเล่าผ่านไปก็ไม่เคยอัพเดท จนมันบ่มเพราะจนกลายเป็น”แม่มด”ขึ้นมาเนี่ย
โลกหลังความตายที่อธิบายไว้ในเกมนี่จะถูกบอกว่าเป็นเหมือนทุ่งดอกไม้
แต่อันนั้นมันก็เป็นแค่จินตนาการของโปรเฟตะ
แถมข้อมูลของในเกมนั่นก็มาจากโปรเฟตะในโลกรูทแบดเอนดิ้งด้วย
โอกาสที่โลกหลังความตายจะต่างออกไปจากที่โปรเฟตะหวังไว้ก็มีอยู่สูง
อาจจะแค่หวังให้พวกคนที่ตายจากไปมีชีวิตที่สงบสุขในโลกหน้าก็ได้
เอาจริงๆ ที่ชั้นเคยคิดว่า “มีโลกหน้าอยู่นี่นา ไว้ชั้นตายแล้วค่อยไปสบายทีหลัง” นี่เป็นความคิดที่บ้าบอพอตัวเลยนะเนี่ย…
ต้องบอกว่าไอคิวชั้นตกลงไปตอนที่วิญญาณโดนแบ่งเป็นสองส่วนแหงเลย
พอลองมองจากมุมมองของฟุโดว นิอิโตะแล้ว เอลริส(ตัวชั้น)นี่เป็นตัวละครที่บ้าๆบอๆยังไงชอบกล
ประมาณว่าความฉลาดของชั้นเจ็ดในสิบส่วนอยู่ที่ฟุโดว อีกสามส่วนอยู่ที่เอลริสงี้เหรอ…
เอาจริงๆตอนนี้ก็ใช่ว่าชั้นจะเป็นคนฉลาดอะไรน่ะนะ
“คิดอะไรอยู่เหรอ?”
“เปล่าค่ะ แค่กำลังคิดน่ะค่ะว่าโลกหลังความตายนี่เป็นอย่างไรกัน”
“เป็นที่ยังไงเหรอ…มันเป็นสถานที่ที่ถ้าเราไม่เคยไปเองก็คงจะบอกไม่ได้ล่ะนะ แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ยังมีเวลาอีกสักพักกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็น ไม่ลองไปเข้าบ่อน้ำพุร้อนกันดูล่ะ?”
สุดท้ายแล้ว ชั้นก็ไม่รู้อะไรเพิ่มอยู่ดี
ก็นะ ยังไงตัวชั้นในตอนนี้ก็ไม่ได้คิดจะตายอยู่แล้ว
คงจะยอมตายไม่ได้หรอก หลังจากที่เห็นเลย์ล่าร้องไห้ขนาดนั้นให้กับความตายของชั้นน่ะ…
เอาเถอะ หมดช่วงคิดมากแล้ว! ได้เวลาหรรษากับน้ำพุร้อน
ชั้นไม่ต้องตายเพื่อที่จะไปถึงสวรรค์หรอกเฟ้ย อุเฮะเฮะ
.
แหงะ มีแต่ยายแก่ง่ะ
พวกคนหนุ่มสาวคงจะไปโรงแรมหรูใกล้ๆหมดแล้ว สวรรค์ไม่มีจริง
ยามาโตะซังที่ลงแช่กับชั้นก็นับได้ว่าเป็นสาวสวยพอสมควรนั่นแหละ แต่ยังไงดีล่ะ พอรู้ว่าเธอเคยเป็นเต่าที่อายุกว่าพันปีมันก็นะ…
คงให้หื่นด้วยไม่ไหวหรอก
สุดท้ายชั้นก็แค่แช่น้ำร้อนแบบธรรมดาๆ
มันก็รู้สึกดีล่ะนะ แช่น้ำสบายๆเนี่ย
ไว้กลับไปที่ฟิโอริค่อยไปเจาะหาน้ำพุร้อนธรรมชาติดีกว่า แล้วเดี่ยวจะพาเลย์ล่ากับเอเทอร์น่าไปด้วย
“เธอนี่เข้ากับยูคาตะอย่างที่คิดเลยนะ ไม่สิ ต้องบอกว่าเธอนี่ใส่อะไรก็ขึ้นมากกว่า”
“ชุดนั้นเองก็เข้ากับโปรเฟตะเหมือนกันนะคะ”
“ขอบคุณที่ชมนะ เอ้า ใกล้ได้เวลาทานข้าวแล้ว กลับห้องกันเถอะ”
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ ทั้งชั้นและยามาโตะซังก็เปลี่ยนมาใส่ชุดยูคาตะ
จะให้ใส่ชุดวันพีซสีขาวในโรงเตี๊ยมสไตล์ญี่ปุ่นแบบนี้ก็แปลกจริงๆนั่นแหละ ชุดนี้เข้ากับบรรยากาศมากกว่า
ตอนที่กำลังเดินกลับห้องนี่ก็มีคนจ้องมาหาชั้นเยอะแยะเลย แต่ชินแล้วล่ะ
จากนั้นก็เป็นเวลาอาหารเย็น
มีทั้งซาชิมิ เทมปุระ หมูย่างกระทะร้อน แล้วก็ไข่ตุ๋น เป็นแบบที่โรงเตี๊ยมพวกนี้ชอบเสิร์ฟกัน
“เป็นไงล่ะ ตกใจมั้ย? ที่นี่น่ะกินปลาดิบกันด้วยนะ ลองดูก่อนสิ ชั้นรับประกันความปลอดภัยได้เลย ลองใส่วาซาบิดูก็ได้”
ยามาโตะซังพูดด้วยท่าทางภูมิใจ ดูเหมือนจะอยากเห็นรีแอคชั่นของชั้นมาก
อยากจะเห็นรีแอคชั่นแบบคนจากต่างโลกเรอะ?
ก็มีในไลท์โนเวลนี่นะ พวกคนจากต่างโลกที่กินซาชิมิหรือซูชิแล้วก็ทำท่าแบบว่า “ไม่นึกเลยว่าปลาดิบๆจะอร่อยได้ขนาดนี้”
เข้าใจเลยแหละ ชั้นก็ชอบเห็นรีแอคชั่นคนอื่นในฟิโอริที่กินเค้กเป็นครั้งแรกเหมือนกัน
ว่าไปแล้วยามาโตะซังเองก็เป็นนักเขียนบทนี่นา
คงจะคาดหวังกับรีแอคชั่นจากชาวต่างโลกอย่างชั้นน่าดูเลย
ส่วนตัวยามาโตะซังเองนี่…เมื่อก่อนเป็นเต่านี่นา กินปลาดิบๆนี่คงจะไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไร
จะว่าไปนี่ รสนิยมการกินของเธอจากชาติที่แล้วนี่คงจะติดมาด้วยสินะ
เอาเถอะ ยังไงนี่ก็เป็นซาชิมิที่ญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
ชั้นเอาปลามากุโร่มาใส่วาซาบิเล็กน้อย จากนั้นก็จิ้มลงไปที่โชยุ
…ใส่วาซาบิมากเกินไปรึเปล่านะ? ไม่สิ คิดว่าลิ้นของชั้นแค่ต่างจากในชาติที่แล้วเฉยๆ แต่ก็ยังอร่อยแหละ
เอาจริงๆนี่ชั้นเป็นพวกที่ชอบละลายวาซาบิลงไปในโชยุก่อนกินนะ
ก็รู้แหละว่าเป็นมารยาทที่ไม่ดี ชั้นเลยไม่ทำต่อหน้าคนอื่น แต่ถ้าอยู่คนเดียวก็จะกินแบบนั้นนั่นล่ะ
ถ้ากินจริงๆเลย รสวาซาบิมันจะโดดขึ้นมากลบรสปลาน่ะสิ
ยิ่งเป็นพวกปลาที่รสชาติเบาๆนี่ ยิ่งถูกรสของวาซาบิและโชยุกลบได้ง่าย
ถ้าเอาไปละลายกับโชยุตั้งแต่แรกล่ะก็ รสชาติจะเบาลงมาก ทำให้ชั้นได้รับรสของทั้งตัวปลาและซอส
ก็เป็นรสนิยมส่วนตัวล่ะนะ คนปกติไม่ค่อยจะกินแบบนั้นกัน
ซาชิมิที่ชั้นชอบที่สุดก็คือแซลม่อนนะเออ รสหวานของมันทำให้ติดใจเลย
“อืม…อร่อยดีค่ะ’
“ปิฎิกิริยาธรรมดาจังนะ…”
“ชั้นเคยทานปลาดิบที่จาปอนมาก่อนน่ะค่ะ”
“อ้า ที่โน่นก็มีประเทศแบบนั้นนี่นะ ก็คงไม่แปลกอะไร”
ที่ฟิโอริมีประเทศญี่ปุ่นเก๊อยู่
วัฒนธรรมการกินของที่นั่นก็คล้ายๆญี่ปุ่น ตอนที่ไปปราบปีศาจก็ได้กินทั้งซาชิมิและเทมปุระที่ฝั่งนั้นมาแล้ว
พอพูดไป…มันต้องเป็นฝีมือของใครสักคนที่ไปเกิดใหม่จากโลกนี้แหงเลย
ต้องเป็นใครสักคนที่มีความรู้ในการทำโชยุและมิโสะด้วย
“จะว่าไป ทำไมถึงพูดภาษาญี่ปุ่นคล่องจัง? เรียนตอนมาที่นี่เหรอ?”
“ค่ะ และชั้นก็ได้คุยกับฟุโดวซังตั้งหลายครั้งด้วยนี่คะ”
ก็…ไม่ได้โกหกนะ
ชั้นเรียนภาษาญี่ปุ่นจากโลกนี้จริงๆ และชั้นก็ได้คุยอะไรหลายอย่างกับฟุโดว นิอิโตะด้วย
ถ้าพูดมากไปกว่านี้จะความแตกเอาได้ ชั้นเลยหันกลับมากินต่อ
ชั้นเอาตะเกียบคีบเทมปุระขึ้นมา
เทมปุระนี่มีแบบที่กินทอดเดี่ยวๆหรือกินกับซุป ชั้นเป็นพวกที่ชอบแบบที่กินกับซุปน่ะนะ
มันกินง่ายกว่าน่ะ ถ้ากินแบบเดี่ยวๆมันค่อนข้างจะแห้ง
ยิ่งพวกที่เอามาขายตามซุปเปอร์นี่ยิ่งแห้งใหญ่ แต่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ พวกอาหารที่ขายตามซุปเปอร์นี่ก็นั่งตากอยู่ตรงนั้นมาหลายชั่วโมงแล้วด้วย
ถ้ากินกับซุปก็จะไม่รู้สึกว่ามันแห้งจนเกินไป แต่จะปล่อยไว้ในน้ำนานๆไม่ได้นะ ไม่งั้นมันจะสูญเสียความกรอบแล้วกลายเป็นเหี่ยวแทน
เทมปุระที่ชั้นชอบที่สุดคือกุ้งเหมือนคนปกติ…โทษที โกหกน่ะ ชั้นชอบเทมปุระผักแบบฟักทอง มันเทศ หรือมะเขือม่วง
ชั้นเป็นพวกติดหวานจริงๆนั่นแหละ
เทมปุระของที่นี่ก็กรอบกร่อยดี ต้องบอกว่าคุณภาพของเทมปุระนี่วัดกันที่ความกรอบเลย
ต่อไปก็หมูย่าง ธรรมดาไปหน่อยก็จริง แต่เนื้อก็เป็นแบบที่คุณภาพดี
ยิ่งเอาไปเทียบกับเนื้อในฟิโอรินี่คือเป็นฟ้ากับเหวเลย
คือเนื้อหมูที่โน่นก็กินได้แหละ แต่ก็ไม่มีการปรุงแต่งหรือให้อาหารอะไรที่ทำให้เนื้อมันอร่อยขึ้น
ก็แค่ให้พวกของเหลือไป พอฤดูหนาวมาถึงกับจับแดร๊ก แค่นั้นแหละ
ชั้นเคี้ยวเนื้อในขณะที่ระลึกถึงหมูผู้เสียสละ ขอบคุณฮะคุณหมู เนื้ออร่อยมากเลย
ชั้นกินข้าวเปล่าควบไปด้วย แต่รสชาตินี้ทำให้ชั้นประทับใจเลยนะเนี่ย
ที่ฟิโอริก็มีข้าวนั่นแหละ แต่ความแตกต่างนี่ทำเอาพูดไม่ออกเลย
ข้าวของทางฝั่งนี้นี่ผ่านการปรับปรุงสายพันธุ์มาแล้วไม่รู้กี่รุ่น ผ่านหยาดเหงื่อของชาวนามาแล้วไม่รู้กี่คน
ในชาติที่แล้วนี่ชั้นคงไม่คิดอะไร แต่หลังจากที่ไปเกิดใหม่ในยุคกลางแบบนั้น ทำให้ชั้นคิดได้ว่าข้าวนี่มันหรูหราแค่ไหน
ข้าว หย่อยฮับ
ชั้นเอาตะเกียบขึ้นมาคีบไข่ตุ๋นกิน ซึมซับรสอ่อนๆนั้นเข้าไป
อาหารตะวันตกก็ดีนะ แต่อาหารญี่ปุ่นนี่ก็ไม่แพ้กันเลย
ถ้าเป็นในชาติก่อนนี่ชั้นชอบสเต๊กมากกว่าซาชิมิ กุ้งทอดมากกว่าเทมปุระ และพุดดิ้งมากกว่าไข่ตุ๋น แต่ในตอนนี้ชั้นเข้าใจดีแล้ว ว่าทุกๆจานนั้นมีเอกลักษณ์และข้อดีเป็นของตัวเอง