สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค - ตอนที่ 107 Sequel: เซนต์เก๊ตะลุยญี่ปุ่น 7
ตั้งแต่ที่ส่งเมลไปหายามาโตะ ทามากิก็ผ่านมาได้ราวๆชั่วโมงนึงแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการตอบกลับมา
เอาเถอะ การที่คนวัยทำงานจะเช็คเมลแค่วันละครั้ง บางทีเธออาจจะเป็นพวกที่เช็คเมลตอนเช้าก็ได้
หรือไม่ก็เธออาจจะคิดว่านี่เป็นอีเมลที่น่าสงสัย เห็นมาเป็นพวกนักต้มตุ๋นอะไรอย่างนั้นก็ได้
ตอนนี้ก็คงทำได้แค่รอไปก่อน…แต่ถ้ายังไม่มีการติดต่อกลับมาภายในสามวันล่ะก็…อันนั้นชั้นก็คงยอมแพ้เรื่องที่จะเจอเธอไปล่ะนะ
ก็ใช่ว่าชั้นมีเหตุผลที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องพบกับเธอให้ได้ด้วย
ก็แค่อยากจะเจอโปรเฟตะอีกครั้งแล้วก็ขอบคุณอย่างเป็นทางการ…ก็แค่สนองความต้องการของตัวเองนั่นแหละ
ชั้นเป็นฝ่ายที่จะรู้สึกดีขึ้นถ้าได้ขอบคุณไปนี่นา ทางโปรเฟตะไม่ได้อะไรสักหน่อย
ถ้าเธอคิดว่าเมลนี่เป็นสแปมหรือแค่รำคาญไม่อยากมาเจอชั้น ก็คงช่วยอะไรไม่ได้ล่ะนะ
อีกหนึ่งชั่วโมงผ่านไป…ถ้าอย่างนี้ ชั้นเปิดหาแกรนด์รูทของ”บุปผานิรันดร์”ดูไปพลางๆดีกว่า
ถึงจะยอมแพ้เรื่องซื้อเครื่องคอนโซลแล้วก็เถอะ แต่ก็ยังหาดูในเน็ตได้นี่นา
แต่…น่าอายว่ะ…! นี่มันน่าอายกว่าที่ชั้นคิดอีกนะเนี่ย…!
ตัวชั้นในเกมนี่คือออร่าเซนต์จ๋ามาเลย แต่พอมาดูผ่านมุมมองของตัวเองนี่ มันเหมือนโดนเอาเรื่องน่าอับอายมาประจานยังไงไม่รู้
โดยเฉพาะตอนที่ค่าความชอบในเกมขึ้นแล้วเอลริสในเกมแก้มแดงแบบเขินๆน่ะ
คุณเต่า?! นี่ชั้นเคยทำอะไรแบบนี้ด้วยเรอะ?! ไม่เคยใช่มั้ย บอกทีว่าชั้นไม่ได้ทำอะไรน่าอายแบบนี้?! นี่มันเฟคกันชัดๆ!
ตอนที่ดูผ่านสายตาของฟุโดว นิอิโตะนี่ชั้นไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้เลยนะ มีหัวเราะเยาะด้วยซ้ำ
ทั้งๆที่เรียกได้ว่าเป็นคนเดียวกัน แต่ฟุโดวในตอนนั้นไม่มีความทรงจำของเอลริสอยู่เลย เลยได้แต่คิดว่า “ตัวชั้นอีกคนทำตัวเป็นนางเอกด้วยล่ะ 555” แล้วก็มองเป็นเรื่องของคนอื่น
แต่ตัวชั้นในตอนนี้มีความทรงจำของทั้งสองฟาก
ที่ชั้นทำอยู่ตอนนี้ก็เหมือนการทรมาณตนเองด้วยความอับอาย
แย่ล่ะ หน้าชักจะเริ่มร้อนแล้วเนี่ย…
อีแบบนี้ทนไม่ไหวแล้วเฟ้ย! ชั้นกดออกจากหน้าวิดีโอเพื่อมาเช็คแมลอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะมีการตอบกลับมาแล้ว
ดีล่ะ ไม่ต้องดูต่อแล้วเฟ้ย! ตูหยุดล่ะ! สต๊อป!
ในเมลบอกว่าให้ไปเจอกันพรุ่งนี้ที่คาเฟ่เดิม เวลาเดิม
ไม่มีเขียนสถานที่และเวลามาให้ในอีเมล เพราะว่าถ้าเป็นฟุโดว นิอิโตะตัวจริงน่าจะรู้สถานที่นั้นอยู่แล้วสินะ
ดูเหมือนว่าเธอจะระแวงอยู่จริงๆด้วย
แต่แค่นั้นน่ะชั้นจำได้อยู่แล้ว
ชั้นส่งเมลตอบกลับไป จากนั้นก็ออกจากเน็ตคาเฟ่
ตอนที่ออกมาก็มีลูกค้าหลายคนที่หันมามองชั้น แต่แค่นี้ชินแล้วล่ะ
หลังจากนั้นชั้นก็ไปตระเวนซื้อพวกของที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรและเมล็ดพันธุ์ จากนั้นก็เดินทางกลับมาไปที่ฟิโอริอีกครั้ง บ้านไม้ของชั้นออกจะอยู่ไกลกว่าหน่อย ชั้นเลยไปค้างที่ปราสาทเซนต์แทน
อัลเฟรียมาขอให้ชั้นช่วยทำอาหารให้กิน เอาเถอะ ถือว่าเป็นค่าที่พักแล้วกัน
ถ้าทำได้นี่ชั้นก็อยากกินที่คนอื่นทำให้โดยที่ชั้นไม่ต้องลงแรงอะไรมากกว่าล่ะนะ
แต่เรื่องนั้นเห็นจะยาก
อาจจะนอกเรื่องไปบ้าง แต่ชั้นคิดนนะว่าคนที่คิดค้นแป้งฮอตเค้กสำเร็จรูปขึ้นมานี่ต้องเป็นเทพแหงๆเลย
ขนาดชั้นที่เป็นมือสมัครเล่นด้านอาหารยังทำออกให้เพอร์เฟ็คต์ได้ง่ายๆ
ทำให้คิดถึงพวกรายการตะลอนชิมที่ฉายช่วงดึกๆเลยนะเนี่ย
ตอนที่เห็นฮ็อตเค้กหนาๆในทีวีนี่ก็ทำเอาอยากกินบ้าง แต่พอไปซื้อส่วนผสมมาจากร้านสะดวกซื้อนี่ก็กลายเป็นว่าทำออกมาบางเกินไปเป็นแพนเค้กแทน
เพิ่งเคยซื้อแป้งฮอตเค้กสำเร็จรูปมาใช้นี่แหละ
ถึงจะเรียกสลับไปมาว่าแพนเค้กกับฮอตเค้กนี่ ชั้นก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันต่างกันยังไงน่ะ เรียกถูกรึเปล่ายังไม่รู้เลย
ชั้นเลยเรียกอันที่ใช้แป้งฮอตเค้กว่าฮอตเค้ก ส่วนที่เหลือก็เรียกว่าแพนเค้ก
แป้งฮอตเค้กสำเร็จรูปถูกผสมกับไข่และนมถั่วเหลืองไว้เรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็แค่เทใส่กระทะ
ที่เหลือก็แค่ปล่อยให้มันสุกบนกระทะ คอยกะเวลาพลิกให้ถูก ทำจนกว่าจะสุกทั้งสองด้าน
เอาฮ็อตเค้กสองชิ้นมาวางโปะกัน วางเนยไว้ด้านบน จากนั้นก็ราดเมเปิ้ลไซรัป
ที่วางไว้สองชิ้นทับกันก็เพื่อความสวยงามเท่านั้นแหละ
ได้ยินว่าใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้าทำได้ด้วยนะ แต่ชั้นไม่ได้ซื้อมันกลับมาฟิโอริด้วยหรอก ไม่เข้ากับวัฒนธรรมของโลกนี้เลย
ชั้นเอาฮ็อตเค้กที่ทำเสร็จไปเสิร์ฟให้อัลเฟรียที่นั่งน้ำลายไหลยืดอยู่
ว่าไงดีล่ะเนี่ย…เหมือนให้อาหารน้องหมาเลยแฮะ…
“เชิญเลยค่ะ”
ทันทีที่ชั้นอณุญาติให้เธอทานได้ อัลเฟรียก็หันไปสวาปามเค้กบนจานโดยไม่สนใจคนรอบข้างเลย
ก็ไม่ใช่มายาทที่ดีหรอกนะ แต่น่ารักดี ถือว่าใมห้ผ่าน คนน่ารักทำอะไรก็ไม่ผิด
แต่ถ้าชั้นโอ๋เธอมากเกินไปก็อาจจะอ้วนเอาได้ ต้องทำอย่างพอเหมาะ
ชั้นถามพวกองครักษ์ที่รับใช้อัลเฟรียว่าจะกินด้วยมั้ย ถ้าอยากก็จะทำให้
คาดไม่ถึงเลยว่าทุกๆคนจะอยากกินกันหมด…ส่วนผสมที่ซื้อมาจากญี่ปุ่นนี่ใช้หมดในมื้อเดียวเลยนะเนี่ย
เดี๋ยวเถอะอัลเฟรีย หันไปจ้องจานคนอื่นหลังกินเสร็จแล้วนี่ไม่ดีนะ
…ทำท่าจะจิ๊กของที่อยู่บนจานอัศวินคนข้างๆแล้วแน่ะ แต่ก็โดนหลบได้ เป็นเด็กที่ไม่ไหวเลยน้า…
“นี่เอลริส มาอยู่ที่ปราสาทนี้กับเราเถอะ แล้วก็มาเป็นเจ้าสาวให้เราด้วยเลย!”
ก็น่าสนอยู่ แต่ชั้นเป็นเจ้าสาวเรอะ…
แต่ถ้าชั้นมาอยู่กับอัลเฟรียนี่ ชีวิตนีทของชั้นก็จบกันพอดีสิ
เอาจริงๆอัลเฟรียรู้รึเปล่าเถอะว่าเจ้าสาวคืออะไรน่ะ
นี่เธอเกือบจะได้แต่งงานก่อนที่จะโดนจับผนึกจริงๆเหรอเนี่ย…?
วันถัดมาชั้นก็กลับมาที่ญี่ปุ่น มาหายามาโตะซังอยู่ที่ร้านกาแฟเดิม เวลาเดิม
พอชั้นเข้าร้านมา ทั้งพนักงานทั้งลูกค้าหันมาทางนี้แล้วก็ซุบซิบกันใหญ่เลย
ในจำนวนนั้นคือลูกค้าผู้หญิงผมสีดำคนหนึ่ง…ชั้นเดินไปยังโต๊ะที่ผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ ส่วนเธอก็ทำหน้าเหวอแบบสุดๆ
“เอะ…เอลริส…?”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะโปรเฟตะ ชื่อของคุณที่ฝั่งนี้คือยามาโตะ ทามากิสินะคะ?”
ชั้นส่งยิ้มให้กับเธอที่ยังช็อคอยู่
เธอคงคิดว่าจะได้เจอกับฟุโดว นิอิโตะ ไม่ใช่ตัวชั้น(เอลริส)มาเอง
เธอนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง
“ตามชั้นมา ที่นี่มันเด่นเกินไป”
จากนั้นเธอก็จับมือชั้นแล้วลากออกไป
แน่นอนว่าเธอไปลืมที่จะชำระเงินก่อนด้วย ที่ๆเธอพาชั้นไปก็คือรถของเธอที่จอดอยู่
เป็นรถสีแดงที่ดูมีระดับพอตัวเลยนะเนี่ย
“ไปนั่งตรงที่นั่งผู้โดยสา…เอ่อ ที่นั่งข้างๆชั้นน่ะ แล้วก็คาดเข็มขัดนิรภัย…ใช่ ใช่ ที่ยาวๆตรงนั้นน่ะ…ไม่เป็นไร เดี๋ยวชั้นทำให้เอง”
ดูเหมือนเธอไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ชั้นเข้าใจดี เลยจับชั้นนั่งแล้วคาดเข็มขัดให้เองเลย
จากมุมมองของเธอ ชั้นเป็นคนจากต่างโลกที่เพิ่งมาที่โลกนี้นี่นะ
คงจะคิดว่าชั้นไม่รู้จักของอย่างเข็มขัดนิรภัย
หลังจากที่ออกรถมาได้สักพัก เธอก็เริ่มถามชั้น
“เธอคือเอลริส…ตัวจริงเลยใช่มั้ย?”
“ค่ะ ถูกต้องแล้วค่ะ”
“ตอนที่เห็นข่าวของเธอบนเน็ตก็ตกใจมากเลย…เดี๋ยวสิ ก่อนหน้านั้น รู้ได้ยังไงว่าชั้นเป็นใครน่ะ?”
“ชั้นคาดเดาได้จากที่ฟุโดวซังเคยบอกชั้นไว้น่ะค่ะ และท่าทีของคุณเมื่อครู่ก็ทำให้แน่ใจ”
ยามาโตะซังจอดรถที่ข้างทางและเอามือนวดหว่างคิ้ว
คงจะรู้นะว่าชั้นไม่คิดที่จะบอกความจริงที่ว่าเอลริสและฟุโดว นิอิโตะเป็นคนคนเดียวกันหรอก
คิดดูดีๆสิ
ตอนที่ชั้นเป็นนักเรียกของสถาบันอัศวินนี่ ชั้นเข้าออกห้องน้ำหญิงเป็นกิจวัตรเลยใช่มั้ยล่ะ?
ร่างกายชั้นเป็นผู้หญิงนี่นา จะทำแบบนั้นก็ไม่แปลกอะไร
แต่ถ้าชั้นบอกความจริงที่ว่าเนื้อในชั้นเป็นผู้ชายไปล่ะก็ พฤติกรรมแบบนั้นจะทำให้ชั้นโดนตราหน้าว่าเป็นโรคจิตทันทีเลย
ไงก็เถอะ ชั้นก็ไม่เคยคิดที่จะเปิดเผยตัวจริงอยู่แล้วล่ะนะ
ยังไงซะชั้นก็รับบทบาทของเอลริสไปจนถึงจุดสุดท้าย ไม่คิดจะมาพลิกอะไรตอนนี้หรอก
จะว่าหัวแข็งก็ได้นะ แต่คนเล่นละครลิงอย่างชั้นก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกันเว้ย
ชั้นอุตส่าห์สร้างและรับบทบาทของเอลริสมาได้ตั้งขนาดนี้ มันสายเกินกว่าที่จะกลับลำได้แล้ว…
ก็คงจะเอาความลับนี้ลงหลุมไปด้วยนั่นแหละ
“ใช่แล้ว ฟุโดวซังและอิจูอินซังบอกว่าเอลริสมาโผล่ที่ฝั่งนี้ด้วยนี่นา…แต่ก็ยังบอกด้วยว่าเธอมาด้วยรูปแบบของวิญญาณ แต่เอลริสที่อยู่ที่นี่เป็นร่างเนื้อจริงๆไม่ผิดแน่…แล้วทำไม…?”
ยามาโตะซังเริ่มพึมพำกับตัวเองแล้ว
โอ้ เธอสับสนน่าดูเลยแฮะ
แต่เธอเองก็มาจากฟิโอริเหมือนกัน เลยตั้งสติกับเรื่องพวกนี้ได้เร็วกว่าคนทั่วไป
อยู่มาตั้งพันปีนี่นะ แค่นี้ไม่เท่าไรหรอก
สักพักหนึ่ง เธอก็เงยหน้าขึ้นแล้วหันมาหาชั้นด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายกว่าเดิม
“ก็มีอะไรให้คิดเยอะนะ แต่ว่า…ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เอลริส ดีใจที่ได้พบกันอีก”
“ชั้นก็เหมือนกันค่ะโปรเฟตะ ดีใจที่ได้เห็นคุณมีสุขภาพแข็งแรง”
จะชมว่าคนที่ตายแล้วมาเกิดใหม่มีสุขภาพแข็งแรงนี่ก็ยังไงอยู่นะ แต่ก็ผ่านมานานขนาดนั้นแล้ว คงไม่เป็นไรหรอก
ชั้นอธิบายเรื่องช่องว่างมิติให้โปรเฟตะฟังและเหตุผลที่ชั้นสามารถเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างโลกได้
ยามาโตะซังนั่งกอดอกส่งเสียง หืม จากลำคอ
“มีที่แบบนั้นอยู่ด้วยสินะ…อัลเฟรียไม่เคยบอกอะไรชั้นเลย”
“โปรเฟตะไม่รู้เรื่องนั้นหรือคะ?”
“อา คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่อีฟบอกลูกสาวของเธอคนเดียวน่ะ”
ถึงแม้โปรเฟตะจะมีความสามารถในการเฝ้ามองโลก แต่ก็จำเป็นต้องรู้สถานที่ก่อนถึงจะสามารถสังเกตได้สินะ
เพราะไม่รู้เรื่องนั้นก็เลยไม่เคยเห็น เรื่องนั้นคงช่วยอะไรไม่ได้
“แต่นั่นก็สมเหตุสมผลขึ้นมาเลย คิดว่าวิญญาณของชั้นก็คงจะถูกส่งผ่านช่องว่างนั้นมายังโลกแห่งนี้ และนั่นก็คงจะเป็นเหตุผลที่ชั้นสามารถจำเรื่องราวในชาติที่แล้วได้ด้วย”
อย่างที่เธอบอกเลย คนที่มาเกิดใหม่ข้ามโลกดูจะจำเรื่องในชาติก่อนได้จริงๆนั่นแหละ
ถ้าปล่อยไว้แบบนั้น คนที่เกิดในโลกนั้นโดยที่จำเรื่องราวของชาติก่อนได้ก็อาจจะมีเพิ่มขึ้นมาอีก จำเป็นต้องอุดรูให้เสร็จจริงๆนั่นแหละ
เดี๋ยวกลับไปก็จะให้อัลเฟรียจัดการผนึกช่องว่างละกัน
“ถึงอย่างนั้น…”
ยามาโตะซังหันมามองชั้นพร้อมกับหรี่ตา
“ถึงจะพอรู้มาบ้างจากชาติที่แล้วก็เถอะ แต่เพราะได้มาใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์เองถึงได้เข้าใจ รูปร่างหน้าตาของเธอนี่เป็นอุดมคติของคำว่าเซนต์จริงๆนั่นแหละ”
เหอะ ชั้นน่ะรักษาความงามอยู่สม่ำเสมอนะ ต้องเพอร์เฟ็คต์อยู่แล้วสิ!
เพราะว่าเนื้อในเป็นของเก๊ ภายนอกเลยต้องสมจริงยิ่งกว่าตัวจริงยังไงล่ะ
เหมือนในเกมมนุษย์หมาป่าไง คนที่สวมบทเป็นมนุษย์หมาป่านี่ดูจะบริสุทธิ์มากกว่าชาวบ้านอีกใช่มั้ยล่ะ
เพราะว่าชาวบ้านเป็นชาวบ้านมาตั้งแต่แรกแล้ว พวกเขาเลยไม่มีความจำเป็นต้องแสดงละครอะไร
แต่เพราะหมาป่าเป็นตัวปลอมแฝงเข้ามา จึงต้องพยายามทำตัวให้สมกับเป็นชาวบ้านเพื่อหลอกทุกคน
อาจจะพูดช้าไปบ้าง แต่ที่ชั้นไม่เคยโดนจับได้เลยมาตลอดหลายปีนี้นี่ถือว่าสุดยอดเลยนะเนี่ย
“เอาจริงๆมันเป็นไปได้ยังไงล่ะนั่น ที่ฝั่งโน้นนี่ผลิตภัณธ์บำรุงผิวหรือเสริมความงามอะไรก็ไม่มี เครื่องสำอางก็ระดับต่ำหว่าของทางฝั่งนี้ไปเป็นศตวรรษ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอคงความงามระดับนั้นเอาไว้ได้ยังไง…”
ชั้นแค่หัวเราะเพื่อเป็นการบ่ายเบี่ยงคำถามไป
นั่นไง เวทมนต์นี่สะดวกดีใช่มั้ยล่ะ
ถ้าเอาง่ายๆ ชั้นก็แค่ใช้เวทย์น้ำเพื่อทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้ออยู่ตลอดเวลา ใช้เวทย์รักษาเพื่อคงสภาพและความงามของผิวเอาไว้อยู่ตลอด
เมดในปราสาทเคยบอกว่า “น่าอิจฉาจังที่ท่านเอลริสสามารถคงความงามเอาไว้ได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย” แต่ตรงข้ามกันต่างหาก ชั้นคอยรักษาดูแลตัวเองอยู่แทบจะไม่ขาดสายสักครั้ง
ถ้าเวทย์รักษามีพลังมากพอ ต่อให้เป็นแขนขาขาดก็ยังรักษาได้ ชั้นจึงสามารถควบคุมความงามของร่างกายเอาไว้ได้จนถึงระดับเซลล์เลย
ถึงแม้ในร่างชั้นจะไม่มีเวทย์ความมืดหลงเหลือแล้ว ชั้นก็ยังสามารถคงอายุภายนอกเอาไว้ไม่ให้เพิ่มขึ้นได้
เอาจริงๆต่อให้ชั้นปลดเวทย์พวกนั้นออก ชั้นก็คงจะไม่กลายเป็นคนขี้เหร่อะไรหรอกนะเออ
ก็ใช่ว่าชั้นใช้เวทย์เพื่อคงสภาพร่างนี้เอาไว้ซะเมื่อไหร่
ถ้าชั้นคลายเวทย์พวกนั้นออก รูปร่างหน้าตาชั้นก็ยังไม่เปลี่ยนไป
แต่ถ้าปล่อยไว้หลายๆวันโดยไม่ดูแลล่ะก็ ก็จะเกิดของอย่างผิวหยาบขึ้นได้ ร่างกายมนุษย์ก็แบบนั้นแหละ
ทั้งๆที่เอลริส(ตัวจริง)ไม่ใช่คนที่ขี้เหร่โดยกำเนิด แต่เพราะเธอไม่ดูแลตัวเอง เอาแต่กินจนอ้วน เลยกลายเป็นรูปร่างแบบนั้นยังไงล่ะ
กลิ่นตัวก็อีกเรื่องนึง เวอร์เนลในเกมเคยบรรยายไว้ว่า “เอลริสใส่น้ำหอมหลากหลายชนิดมากเกินไปจนกลิ่นปนกันมั่วและกลายเป็นกลิ่นที่น่าสะอิดสะเอียน”
ถึงชั้นจะมีร่างกายสาวงามแบบนี้ แต่ถ้าไม่ดูแลให้ดี สักวันมันก็จะเสื่อมโทรมเอาได้
“ทางที่ดีก็อย่าเดินเพ่นพ่านในเมืองให้มากนักดีกว่านะ ถึงความปลอดภัยในประเทศนี้จะดีกว่าในฟิโอริก็เถอะ แต่ก็ยังมีพวกที่ชอบทำอะไรบ้าๆมาให้เห็นไม่ขาดเลย ต้องบอกว่ามีพวกคนเลวเยอะกว่าที่ฟิโอริซะอีก เอาจริงๆ…รูปร่างหน้าตาของเธอนี่ก็มากพอที่จะทำให้ใครสักคนทิ้งเหตุผลไปได้เลยนะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ ชั้นจะระวังตัวค่ะ”
“อา จำไว้แล้วกันนะ”
หลังจากที่พูดแบบนั้น ยามาโตะก็ดึงสมาร์ทโฟนออกมาจากกระเป๋า
ดูเหมือนจะเอาออกมาเช็คปฏิทิน
“นี่…ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ เราไปหาที่เงียบกว่านี้เพื่อคุยกันมั้ย? ถ้าจะให้ดีก็ทั้งวันเลย ชั้นอยากจะรู้ด้วยว่าที่โลกนั้นเป็นยังไงบ้างตั้งแต่ที่ชั้นตายไปน่ะ นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย…ไม่สิ เรื่องนั้นเอาไว้คุยกันทีหลังดีกว่า”
คงจะเช็คตารางของพรุ่งนี้สินะ
ก็ถือว่าเสนอมาได้จังหวะเหมาะเหม็งเลย
ที่ชั้นมาที่นี่ก็เพื่อที่จะพบกับเธออยู่แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธนี่นะ
ชั้นพยักหน้าตอบเธอไปอย่างเงียบๆ