สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค - ตอนที่ 105 Sequel: เซนต์เก๊ตะลุยญี่ปุ่น 5
เอลริสเองจ้า วันนี้ไม่ได้ไปญี่ปุ่นนะเออ แต่มาสำรวจเกาะร้างที่ไหนสักแห่งทางฝั่งฟิโอรินี่แหละ
มันเริ่มมาจากตอนที่ชั้นเห็นผู้พิทักษ์นั่งซ่อมรถจักรไอน้ำอยุ่
มันทำให้ชั้นฉุกคิดขึ้นมาได้น่ะ…ว่าเจ้านี่มันเป็นของที่อยู่กันคนละระดับกับเทคโนโลยีของโลกนี้เลยไม่ใช่รึไง?
ชั้นก็เคยคิดว่านั่นน่าจะเป็นวิทยาการสูงสุดของโลกฝั่งนี้แล้วนะ…แต่มันก็ก้าวกระโดดไกลเกินไป
ที่นี่มีวิทยาการอยู่แค่ในระดับยุโรปยุคกลาง…ไม่สิ ดีไม่ดีจะด้อยกว่านั้นอีก เพราะแม่มดและปีศาจทำให้มนุษยชาติถดถอยลงไปจากเมื่อพันปีก่อนเสียอีก
การเดินทางปกติบนโลกนี้จากเมืองนึงไปยังอีกเมืองจะใช้แค่รถม้า จะให้คิดว่าคนในยุคสมัยนี้สามารถคิดค้นอะไรอย่างถรจักรไอน้ำขึ้นมาน่าจะเป็นไปไม่ได้เลย…ถ้าแบบนั้น คำถามก็คือ มันมาจากที่ไหนกัน?
ชั้นคิดความเป็นไปได้ทั้งหลายขึ้นมา
ความเป็นไปได้ที่ 1: อารยธรรมบนโลกนี้เคยไปถึงระดับนั้นมาก่อน แต่ก็ค่อยๆเสื่อมถอยไปตามเวลา
หรือก็คือเมื่อหนึ่งพันปีก่อน มีวิทยาการที่ก้าวหน้าเพียงพอที่จะสามารถผลิตรถจักรขึ้นมาได้ แต่อารยธรรมเหล่านั้นก็สูญสิ้นไปด้วยฝีมือของแม่มด
แต่ถ้าอย่างนั้น ก็น่าแปลกที่จะไม่มีร่องรอยของอารยธรรมพวกนั้นหลงเหลืออยู่เลย…
นอกจากนี้ถ้าตัวรถมันถูกสร้างขึ้นมาตั้งนานขนาดนั้นแล้ว ก็ไม่น่าจะยังสามารถใช้งานได้มาจนถึงปัจจุบัน
ความเป็นไปได้ที่ 2: มีเพียงประเทศหรือสถานที่เดียวเท่านั้นที่มีวิทยาการก้าวหน้าในระดับนี้
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีไม่ได้แพร่กระจายไปทั่วโลก
ในยุคที่ญี่ปุ่นยังถือดาบแกว่งไปมากันอยู่เลย ก็มีประเทศอื่นในโลกที่เริ่มคิดค้นบอลลูนร้อนขึ้นมาได้แล้ว
หรือกระทั่งในยุคปัจจุบันที่ชาวญี่ปุ่นมีสมาร์ทโฟนให้ใช้กันถ้วนหน้า ก็อาจจะยังมีชนเผ่าในแอฟฟริกาที่ยังล่ากวางด้วยหอกอยู่เลยก็ได้
ถ้าอย่างนั้น บนโลกนี้ก็อาจจะมีประเทศใดสักที่ที่มีวิทยาการล้ำหน้าถึงระดับนั้นแต่ไม่ได้เผยแพร่ออกไป
แต่ว่า…ตัวชั้นนี่ก็เคยบินรอบโลก ไปมาแล้วก็แทบจะทุกประเทศนะ แต่ไม่เคยเห็นประเทศไหนที่มีระดับเทคโนโลยีสูงถึงขนาดนั้นเลย
ความเป็นไปได้ที่ 3: มีคนอื่นมาเกิดใหม่ที่โลกนี้
ตัวชั้นเองก็เป็นคนที่กลับชาติมาเกิดใหม่จากญี่ปุ่นนี่นะ
จะให้คิดว่ามีคนอื่นที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็ไม่แปลก
อาจจะเป็นพวกตัวเอกจากไลท์โนเวลแนว “ตูข้ากลายเป็นผู้ไร้เทียมทานด้วยสกิลเสกของ” หรือใครสักคนที่มีความรู้และทักษะการสร้างมากพอที่จะสามารถสร้างรถจักรไอน้ำขึ้นมาได้
แต่ก็ไม่มีเอกสารอะไรหลงเหลืออยู่จากเมื่อพันปีที่แล้วที่สามารถบ่งบอกได้ว่าคนแบบนั้นมีตัวตนอยู่รึเปล่านี่นา
แต่ว่า เรามีคนที่เคยใช้ชีวิตในยุคสมัยหนึ่งพันปีก่อน…อัลเฟรียนั่นเอง
พอถามเธอไปแบบนั้น ก็ได้คำตอบมา
“อา เอลริสน่าจะไม่รู้ล่ะนะ ในอดีตเคยมีประเทศที่เจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่งที่สร้างสิ่งประดิษฐ์แปลกๆออกมามากมายเลยล่ะ รถจักรนั่นเองก็เป็นของที่ประเทศนั้นมอบให้กับอาณาจักรบิลเบอรี่ ถึงตอนนั้นจะไม่ได้ใช้ชื่อนี้ก็เถอะ แต่ประเทศนั้นนี่คิดว่าโโนจมลงทะเลจากการโจมตีของท่านแม่ไปแล้วน่ะนะ พวกคนที่เหลือรอดก็หนีไปสร้างเป็นประเทศใหม่ที่ชื่อว่า จาปอน ขึ้นมา”
จาปอนก็คือประเทศที่เหมือนกับญี่ปุ่นในฝั่งฟิโอริแห่งนี้
ในนิยายโลกแฟนตาซีนี่ก็มักจะมีประเทศฝั่งตะวันออกที่เหมือนกับญี่ปุ่นอยู่ล่ะนะ
ถึงจะเป็นประเทศเกาะ แต่ก็อยู่ค่อนข้างจะใกล้กับทวีปใหญ่ ทำให้การติดต่อและเดินทางเป็นไปได้ง่ายกว่าที่อื่น
ชั้นเคยคุยกับราชาของประเทศนั้นมาแล้วตัวต่อตัวด้วยล่ะ
แต่พูดตรงๆนะ…ประเทศนั้นดูจะไม่ได้ก้าวหน้าอะไรถึงขนาดนั้นเลย
ตอนที่ชั้นไปปราบปีศาจที่โน่น คนในประเทศนั้นก็ดูจะมีระดับวิทยาการอยู่แค่ราวๆยุคเอโดะ ไม่สิ ยุคเซนโกคุเลยด้วยซ้ำ
ชั้นเลยไม่ถามลุงไอนส์เกี่ยวกับเรื่องนี้
“ขอรับ จาปอนเป็นประเทศที่มีวิทยากรก้าวหน้าถึงระดับนั้นอย่างแน่นอน รถจักรที่ทางเราใช้งานอยู่ก็เป็นหลักฐานอย่างดี มันถูกสร้างและบำรุงด้วยวิทยาการของทางนั้น แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะ…หวาดกลัวในการใช้งานวิทยาการเหล่านั้น บอกว่า วิทยาศาสตร์จะนำมาซึ่งคำสาปแห่งแม่มด”
โอ้ รถจักรมันมีที่มาอย่างนี้นี่เอง
ก็ว่าแล้วว่ารถจักรของเมื่อพันปีก่อนมันอยู่ไม่ได้นานถึงขนาดนี้หรอก มันน่าจะพังไปนานแล้ว
หรือก็คือจาปอนเป็นประเทศที่มีระดับเทคโนโลยีก้าวหกน้ากว่าประเทศอื่นๆ
แต่ดูเหมือนว่าเป็นเพราะว่าแม่มดคนแรกเห็นเทคโนโลยีพวกนั้นเป็นอันตรายต่อตัวเธอ จึงบุกโจมตีประเทศดั้งเดิมอย่างไม่หยุดหย่อนจนล่มสลายไป จนกลายเป็นแผลใจให้กับประเทศ
แต่ถ้าเป็นแม่มดปกตินี่ก็ไม่น่าจะถึงกับจมประเทศให้หายไปได้ทั้งเกาะนา ถ้ามีพลังเวทย์พอๆกับตัวชั้นก็ว่าไปอย่าง คิดว่าน่าจะโดนสึนามิถล่มมากกว่าจะเป็นฝีมือของแม่มด
พอได้ข้อมูลพวกนั้นมาแล้ว ชั้นก็มายังเกาะที่ว่านั่น เศษซากของประเทศที่เคยมีวิทยาการก้าวหน้าในครั้งอดีต
ถึงจะถูกบอกว่าจมหายไปทั้งเกาะ แต่ส่วนยอดของภูเขาบนเกาะนั้นยังคงชูขึ้นมาเหนือน้ำอยู่
ก็นะ ถึงจะรู้ที่มาของรถจักรแล้ว ก็ใมช่ว่าชั้นจะทำอะไรได้สักหน่อย
ชั้นไม่ใช่อัจฉริยะอะไรนี่นา ถึงจะขุดเจอแบบแปลนอาวุธโบราณนี่ชั้นก็เอาไปทำอะไรไม่ได้หรอกนะเว้ย
ที่มานี่ก็ไม่ได้มาหาอะไรหรอก ก็แค่สงสัยเฉยๆน่ะ
มันก็ไม่น่าจะมีอะไรเหลืออยู่แล้วนี่นะ
ว่าแล้วชั้นก็กางบาเรียหุ้มทั้งตัวไว้และดำลงไปใต้น้ำ
อุวะ…มืดว่ะ มองอะไรไม่เห็นเลย
ช่วยไม่ได้ ชั้นเลยใช้เวทย์แสงเพื่อให้ความสว่างรอบด้าน พอมองไปรอบๆก็เจอแต่ซากปรักหักพังจมน้ำอยู่
ถึงแม้สถาปัตยกรรมจะไม่ใช่ระดับเดียวกับยุคสมัยใหม่ แต่ก็พอจะนับเป็นของจากยุคเรเนอซองต์ได้เลยนะเนี่ย
มีซากรถแบบเก่าอยู่ด้วย ไอ้รถแบบที่เคยเห็นในหนังขาวดำน่ะ ดูเหมือนว่าจะเป็นสถานที่ที่มีวิทยาการสูงจริงๆนั่นแหละ
น่าเสียดายนะเนี่ย…ถ้าแม่มดไม่ได้ทำลายที่นี่จนหายไปล่ะก็ อารยธรรมในฟิโอริแห่งนี้คงจะพัฒนาไปไหนต่อไหนแล้ว คงไม่ต้องมาติดแหงกอยู่ในยุคกลางแบบนี้
…เออ อาจจะถือว่าโชคดีก็ได้นะ ถ้าปล่อยให้วิทยาการก้าวหน้าต่อไปล่ะก็ อาจจะมีใครสร้างนิวเคลียร์ขึ้นมาก็ได้
อาจจะเป็นเพราะโลกอยากจะหยุดอนาคตแบบนั้นไว้เลยสร้างแม่มดขึ้นมาก็ได้นะ?…เออ คงจะคิดมากไปเองแหละ
ชั้นว่ายน้ำไปมาเพื่อเฝ้าดูอารยธรรมที่โดนแม่มดคนแรกจมลงมาใต้น้ำ
มีของอย่างรถถังกับปืนจมอยู่ด้วยนะเนี่ย
แม่มดนี่เป็นตัวอันตรายจริงๆนั่นแหละ ชนะประเทศที่มีอาวุธก้าวหน้าถึงขนาดนี้ได้เนี่ย
อาจจะส่งปีศาจเข้ามาเป็นทอดๆเพื่อบั่นทอนกำลังล่ะมั้ง
ในระหว่างที่ว่ายน้ำอยู่ ชั้นก็เห็นตึกหลังใหญ่ที่สุด
พอชั้นว่ายเข้ามาด้านในผ่านจุดที่คิดว่าน่าจะเป็นหน้าต่าง ก็มาถึงโถงใหญ่แห่งหนึ่ง
ไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร หินอ่อนล่ะมั้ง ถ้าเป็นในยุคสมัยนั้นนี่ก็คงจะอลังการน่าดูเลย
มีบัลลังก์ที่พังอยู่ด้วย บนบัลลังก์นั้นมีอะไรเขียนไว้ก็ไม่รู้
ไหนดูดิ๊…?
“เราพ่ายแพ้แล้ว”
“จากความพยายามในการวิจัยของเรา ในที่สุดจักรวรรดิไซต์นัลตาก็สามารถคิดค้นเวทมนตร์ที่สามารถควบคุมมิติได้ รวมถึงรับรู้ถึงการคงอยู่ของโลกต่างมิติ เราจึงสร้างช่องว่างมิติขึ้นมาที่ฟุกุเทนที่มีตำแหน่งใกล้เคียงกับต่างโลกมาที่สุด และแล้ว เราก็ได้รับพลังใหม่มา”
“พลังแห่งความโกรธ ความเกลียดชัง ความริษยา จิตสังหาร…ความทะเยอทะยาน ความดื้อรั้น ความโหยหา อารมณ์ที่พวกเราขาดไป นั่นทำให้พวกเราเข้าใจได้ ว่าจนถึงตอนนี้ โลกใบนี้พยายามที่จะปิดกั้นพวกเราออกจากความรู้สึกเหล่านั้น”
“จากการที่ดูดซับความรู้สึกเหล่านั้นขึ้นมา ทำให้พวกเราเปลี่ยนไป ดีขึ้น แข็งแกร่งขึ้น”
“ความต้องการที่จะแข็งแกร่งนำมาซึ่งการสร้างอาวุธ ความต้องการที่จะรับประทานอาหารที่ดีนำมาซึ่งการสร้างอาหาร ความต้องการที่จะอยู่อย่างสุขสบายนำมาซึ่งความก้าวหน้า ด้วยการวิวัฒนาการนี้ ไม่ช้าก็เร็ว โลกใบนี้จะตกเป็นของเรา”
“อา โลกเอ๋ย นี่เจ้าหวาดกลัวพวกเราถึงขนาดนี้เชียวรึ!”
“เจ้าถึงกับส่งตัวแทนของเจ้ามาเพื่อปราบพวกเรา นังแม่มดที่ความสามารถในการควบคุมมิติ พลังเดียวกันกับที่พวกเราไขว่คว้ามาได้อย่างยากลำบาก”
“แต่ว่าเมล็ดพันธุ์แห่งความชั่วร้ายได้ถูกปลูกฝังไปแล้ว”
“ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะจงรักภักดีต่อโลก แต่เธอก็มีความสามารถในการดูดซับความชั่วร้ายรอบด้านได้เช่นเดียวกับตัวข้า และสักวันหนึ่ง เธอก็จะตกลงสู่ความมืดมิดนั้นไป”
“ผู้หญิงที่โง่เขลาเอ๋ย ในเวลาไม่นาน เจ้าจะกลายเป็นผู้ทำลายโลกใบนี้ที่ตัวเจ้ารัก”
—อืม ยาวว่ะ
บัลลังก์มันก็ขนาดแค่นี้ ยังจะอุตส่าห์เขียนซะยืดยาวมาได้นะ
ไม่ใช่ไดอารี่ของแกนะเว้ย
พอจะเข้าใจล่ะ แสดงว่าช่องว่างมิติของฟุกุเทนเป็นต้นเหตุที่ทำให้โลกสร้างแม่มดขึ้นมาตั้งแต่แรกสินะ
ว่าไปเก้าอี้ตัวนี้ดูจะมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์นะเนี่ย เดี๋ยวเอากลับไปให้ลุงไอนส์ด้วยแล้วกัน
“ผู้โง่เขลาใดที่กล้าแตะต้องบัลลังก์ของตัวข้า…”
พอจะยกเก้าอี้ขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงมาจากด้านหลัง
ตอนแรกก็ว่าจะเมินไปอ่ะนะ แต่ก็หันไปดูหน่อยก็ดี
ที่ตรงนั้นเอง พลังเวทย์สีดำควบรวมแน่นและสร้างขึ้นมาเป็นรูปร่างของมนุษย์
เอ๋? นี่ชั้นต้องสู้เหรอ?
น่ารำคาญอ่ะ ขอกลับบ้านเลยได้ป่ะ?
“ตัวข้าคือ จักรพรรดิไซต์นัลตา…ผู้นำมาซึ่งการวิวัฒนาการของมนุษยชาติผ่านความรู้สึกอันมืดมิด…”
“…อาฮะ”
“ข้ารอคอยมานานแล้ว…ผู้ที่มีพลังเวทย์เทียบเคียงได้กับแม่มดเอ๋ย ในที่สุดโอกาสนี้ก็มาถึง ข้าจะใช้ร่างของเจ้าเป็นที่สถิต เพื่อเริ่มต้นการล้างแค้นต่อโลกใบนี้…”
อา งี้เอง ลุงคนนี้เป็นแบบเดียวกับอีฟสินะ ที่ยังเหลือสติทิ้งไว้ในโลกผ่านความรู้สึกด้านลบ
กะจะใช้ร่างสถิตเพื่อออกไปอาละวาดเล่นล่ะสิ
ถึงแม้จะสร้างออกมาเป็นรูปร่างคล้ายมนุษย์แล้ว ชั้นก็เห็นเป็นแค่เงาอันใหญ่ๆจ้องมาทางนี้เอง
อุวะ นี่คือบอสลับสินะ
บางครั้งเกมก็ชอบมีอะไรแบบนี้สินะเนี่ย
จะมีสถานที่ที่เข้าได้เฉพาะหลังจบเกมไปแล้ว แล้วก็จะมีบอสลับที่ออกมาบอกว่า “จริงๆแล้วตูนี่แหละคือต้นตอของความชั่วร้ายที่แมท้จริง” แล้วก็อธิบายปมเรื่องที่ยังไม่เคลียร์จนถึงจุดนั้น แล้วผู้เล่นก็จะแบบว่า “อ้า อย่างนี้นี่เอง”
แต่บางทีมันก็ทำให้ผู้เล่นคิดว่า “นี่เอ็งหายไปไหนมาทั้งเรื่อง?” เหมือนกันนะ
เออ จักรพรรดิไซ…ตา…ซารุตะปล่อยออร่าอะไรสักอย่างออกมา เหมือนว่าการต่อสู้กับลาสต์บอสที่แท้จริงจะเริ่มขึ้นแล้ว
อะเหื้อ…แรงกดดันอะไรกันนี่…!
“Aurea Libertas + แสงจากจิตใจผู้คน”
“อ๊าาาาาาาาาาากกกกกกกกก!!!”
เย่ ไปเลยเวทมนตร์ของชั้น ศัตรูตายเรียบร้อย
ก็นะ พวกบอสที่มีดีแค่แรงกดดันก็งี้แหละ