สุดยอดรัชทายาท - ตอนที่ 32 ความยากลําบากขององค์ชาย
นิยาย สุดยอดรัชทายาท ตอนที่ 32 ความยากลําบากขององค์ชาย
ไม่รู้ว่าผู้ใดที่อยู่บริเวณนั้นร้องตะโกนขึ้น
เดิมที่ผู้คนต่างจ้องมองไปยังองค์ชาย ราวกับเขาเป็นผู้กอบกู้สถานการณ์ ทว่าตอนนี้พวกเขาเห็นเพียงบุรุษหนุ่มรูปงามที่ “โหดเหี้ยม”
สําหรับประชาชนแล้วการกระทําขององชายนั้นช่างโหดร้ายทําให้หลายคน เกิดความรู้สึกหวาดกลัวขณะที่ชางอู่ซินไม่รู้สึกผิดแต่อย่างใด
เมื่อนางมาพร้อมอาหารทุกคนควรรู้สึกขอบคุณ แต่พวกเขากําลังทําในสิ่งที่ขาดความรับผิดชอบ ดังนั้นเพื่อป้องกันมิให้คนเหล่านี้ขโมยอาหาร เธอจึงสังหารใครบางคนให้ดูเป็นเยี่ยงอย่าง
เวลานั้นเล้งหยูเฟิงมองไปยังประชาชนทั้งหลายพร้อมขยับร่างเข้าหาองค์ชายอย่างเชื่องช้า เพื่ออารักขาความปลอดภัยขององค์ชายขอขอ
ขณะฮวนม่อเฉอจับพัดที่เอวของเขา และสิ่งนี้มิใช่เครื่องประดับตกแต่ง ทว่าเป็นอาวุธที่ใช้สังหารผู้คนได้ในพริบตา
ฝ่ายไปเส้าหลินเริ่มสั่งทหารให้ปกป้อง องค์ชายและอาหารอย่างเต็มกําลัง
รองเท้าหุ้มข้อสีขาวคู่ยาวของชางอู่ซินเหยียบเลือดที่เพิ่งนองบนพื้นและยังคงยืนนิ่งเฉยอยู่ต่อหน้าประชาชน ขณะที่พลเมืองทั้งหลายเงียบงันลงในทันที และมองไปยังเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกผิดเป็นครั้งแรก
ชางอู่ซินมิได้ใส่ใจที่จะดูการแสดงออกของพวกเขาและเริ่มกล่าวว่า “ขอบคุณสําหรับความช่วยเหลือของท่านฮวน และเล้งหยูเฟิงค่าสามารถโน้มน้าวให้จักรพรรดิทรงอนุญาตให้นําอาหารมาที่เมืองเพิ่งโจว และระหว่างทางต้องผ่านภูเขาที่มีโจรร้ายมากมายแต่ข้ามิเคยคิดที่จะล่าถอย
โดยมิเคยมีความคิดที่จะมอบหมายให้ผู้อื่นทํางานนี้เนื่องจากรู้ดีว่ามีขุนนางทุจริตมากมายบนแผ่นดิน หากข้าปล่อยให้ใครบางคนทํางานนี้ แม้อาหารจะมาถึงเพิ่งโจว แต่มันคงไม่สามารถช่วยชีวิตของทุกคนได้
เล้งหยูเฟิงและฮวนม่อเฉอหันมามองหน้ากันและกัน โดยคิดว่าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขาคือแรงบันดาลใจโดยแท้
“ข้ามิได้หยุดหรือเลิกช่วยเหลือพวกเจ้าแม้แต่ทหารสามพันนายก็ยังมิยอมแพ้ ในที่สุดเมื่อทหารของข้าและข้ามาถึงที่นี่ เราก็มีความสุขเพราะเราสามารถนําอาหารมาให้และช่วยเหลือชีวิตพวกท่านได้
ด้วยคํากล่าวข้างต้นทําให้ราษฎรบางคนมีการหลั่งน้ําตาแล้ว ชั่วพริบตาพวกเขาทั้งหมดหมอบลงกับพื้นและมองขึ้นไปยังเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกอับอาย และเริ่มโทษตัวเองสําหรับพฤติกรรมอันน่ารังเกียจของตนเอง
“เดิมที่เมื่อข้าได้เห็นใบหน้าที่มีความสุขของพวกท่าน ข้าเริ่มคิดว่าทุกอย่างช่างคุ้มค่า แต่แทนที่จะปฏิบัติตามคําแนะนําของข้า และทําตามกฎพวกท่านกลับตัดสินใจขโมยอาหารที่ข้าและผู้ใต้บังคับบัญชาของข้านํามาให้
พวกเจ้าใช้ความหิวโหยเป็นเหตุผลสําหรับการขโมยอาหารแต่ไม่เคยคิดว่าข้ารู้ สึกอย่างไรหรือเหล่าทหารทั้งหมดรู้สึกเช่นไร! เมื่ออาหารมาถึงแล้วพวกเจ้าจะทําสิ่งใดก็ได้ตามใจชอบเช่นนั้นหรือ?”
เมื่อชางอู่ซินกล่าวจบ ทหารได้จัดขบวนรถม้าพร้อมกับอาหารและติดตามองค์ชายไป
ไปเส้าหลินมองไปยังองชายด้วยความประหลาดใจและอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเด็กหนุ่ม ขณะที่เขายังคงกังวลว่าองชายจะสังหารผู้ใดอีก อย่างไรก็ตามคํากล่าว และวลีขององชายไม่เพียงสามารถแก้ปัญหาได้เท่านั้นแต่ยังรวบรวมหัวใจของพลเมืองได้อีกด้วย
เล้งหยูเฟิงผ่อนคลายร่างกายที่ตึงเครียดของเขาและชื่นชมองค์ชายซึ่งอยู่เบี้องหน้า เห็นได้ชัดว่าองชายรูปร่างผอม บางทว่าจิตใจที่มั่นคง แม้จะประสบกับเรื่องที่ต้องกังวลมาก แต่เขามีความฉลาดและแข็งแกร่งมากพอที่จะแก้ปัญหาได้และมีเพียงองค์ชายท่านนี้เท่านั้นที่สามารถทําสิ่งเหล่านี้สําเร็จ
ฮวนม่อเฉอสัมผัสที่ด้ามพัดด้วยรอยยิ้มที่มุมปากซึ่งอ่อนโยนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขารู้อยู่เสมอว่าองค์ชายมีความชาญฉลาดและเขาเคยเห็นความมีไหวพริบของพระองค์มาก่อนกระทั่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาต้องการติดตามคนผู้นี้
ช่างน่าทึ่งเสียจริง!
“องค์ชาย” เสียงของผู้คนทั้งเมืองดังแทรกสองขึ้นและน้ําเสียงนั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและรู้สึกผิด โดยผู้ที่คุกเข่าลงกับพื้นซึ่งกําลังอ้อนวอนเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าต่างมีน้ําตาคลอเบ้า
ก่อนหน้านี้พลเมืองทั้งหมดถูกรังแก โดยเจ้าหน้าที่ของทางการเมื่อเวลาผ่านพันไปพวกเขาจึงสูญเสียความมั่นใจต่อขุนนางทั้งหลาย และสูญเสียความคิดที่จะเคารพเชื่อฟัง
ดังนั้นเมื่อองค์ชายปรากฏตัวในเมือง พร้อมกับอาหารพวกเขาจึงตื่นเต้นที่จะมีโอกาสรอดชีวิต แต่เมื่อองค์ชายสังหารผู้ที่ปล้นอาหารพวกเขาจึงหวาดกลัว เพราะรู้สึกว่ามันจะกลายเป็นจุดจบของพวกเขาเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังคงเกรงว่าองค์ชายจะมีความแค้นในใจที่ควบคุมมิได้
อย่างไรก็ตามเมื่อองค์ชายยืนอยู่ที่เดิม และพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ของเขา ท้ายที่สุดพระองค์ย่อมเอาชนะใจประชาชนได้
องค์ชายยังเยาว์วัยและกล่าวเกี่ยวกับความยากลําบากของเขาไปพร้อมกัน พระองค์กล่าวด้วยวิธีที่นุ่มนวล แล้วพวกเขาจะทําสิ่งใดได้?
พวกเขาสนใจเพียงอาหารและเครื่องนุ่งห่มเท่านั้นแต่พวกเขาลืมความตั้งใจดั้งเดิมขององค์ชาย พวกเขาแย่งชิงอาหารกัน และเมื่อเห็นว่าองค์ชายสังหารบางคนในกลุ่มพวกเขาจึงรู้สึกโกรธและหลงลืมไปว่าตนเองเนรคุณเพียงใด
จากนั้นเสียงให้ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน ขณะที่นางเดินกลับอย่างเด็ดขาดและผู้ที่กําลังร้องไห้อยู่เบื้องหลังร้องตะโกนร้องเรียกองค์ชาย แต่เห็นว่าเด็กหนุ่มปราศจากความลังเลใจที่จะจากไป
แต่ในที่สุดขณะที่องค์ชายกําลังนําทหารหลายพันนายออกจากประตูเมืองทันใดนั้น เด็กชายร่างผอมบางได้แทรกตัวออกมาจากฝูงชน
เขาอายุประมาณเพียงเจ็ดหรือแปดปี และล้มลงกับพื้นด้านข้างบิดามารดา ขณะเฝ้าดูผู้ที่มาช่วยพวกเขาขณะคิดว่าชายหนุ่มตรงหน้ากําลังโกรธใครบางคน
ทันใดนั้นเด็กน้อยได้พระออกจากอ้อมแขนของบิดาและวิ่งไปที่ด้านข้างขององค์ชายหนุ่มรูปงาม
ทว่าเขาจะเข้าใกล้องค์ชายได้อย่าง ไร?
คนเหล่านี้ย่อมมิสามารถทําร้ายองค์ชายได้ เนื่องจากมีทหารจํานวนมากอยู่โดยรอบ ขณะที่ฮวนม่อเฉอมองเห็นแววตาของเด็กน้อยและอดมิได้ที่จะมองด้วยรอยยิ้มโดยมิได้ปริปากกล่าวคําใด
“เจ้าคือใคร?” ไปเส้าหลินหยิบดาบออกมาแล้วชี้ไปที่เด็กซึ่งกําลังเข้าใกล้องค์ชาย ด้วยใจหมายที่จะแทงเฉพาะร่างบอบบางของเด็กน้อยเท่านั้น
“อ้า!!!” บิดามารดาของเด็กมองดูฉากนั้นด้วยความสยดสยอง แม้พวกเขาต้องการออกมาช่วยเหลือบุตรของตนเองเขา ว่าทํามิได้เพราะพวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่ไม่รู้จักวรยุทธ์
นอกจากนี้ทหารยังมิสามารถช่วยเด็กน้อยได้ ดังนั้นพวกเขาจึงทําได้เพียงเฝ้ามองบุตรชายตายด้วยคมดาบอันเย็นชา
เล้งหยูเฟิงมองดูการเคลื่อนไหวของไปเส้าหลินขณะที่อีกฝ่ายกําลังจะโจมตีเด็กน้อย
อึดใจสุดท้ายที่เด็กกําลังจะตายร่างในชุดคลุมสีขาวได้ทะยานเข้าไปราวกับลมกระโชกแรงอุ้มเด็กร่างผอมบางขึ้นมา ทําให้เด็กรอดพ้นจากคมดาบ
เวลานั้นบิดามารดาของเด็กแทบจะหมดสติ และเมื่อเห็นเด็กได้รับการช่วยเหลือ พวกเขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ผู้คนที่นั่นเห็นองค์ชายช่วยชีวิตเด็กจึงโล่งใจเช่นกัน ขณะพวกเขายังคงประหลาดใจในความเมตตาขององค์ชาย และเริ่มศรัทธาในตัวพระองค์
หลังจากปล่อยเด็กลง องค์ชายยกเท้าขึ้นและเตรียมจะจากไปอีกคราแต่เด็กเริ่มกอดขาของพระองค์ไว้
“พี่ชาย อย่าไป!” เด็กชายกล่าวขณะกอดขาขององค์ชายไว้แน่นด้วยแววตาอ้อนวอนให้เขาอยู่ต่อ
ขณะที่เล้งหยูเฟิงมองไปยังองค์ชาย โดยไม่แสดงออกสิ่งใด
“องค์ชาย อย่าไปเลย” จากนั้นเสียงอึกทึกของผู้คนเริ่มดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง “องค์ชายอย่าไป”
ในเวลานี้เด็กน้อยที่องค์ชายช่วยชีวิตเอาไว้เป็นลมหมดสติไป และทุกคนเห็น ว่าพระองค์ทรงหยุดฝีเท้าตนเอง ก่อนจะอุ้มเด็กไปที่บริเวณประตู ขณะที่ไปเส้น ลินร้องตะโกนว่า “องค์ชาย ท่านหมอกำลังรอพระองค์อยู่ที่ประตูเมืองพะย่ะค่ะ”