สุดยอดรัชทายาท - ตอนที่ 31 มาถึงแล้ว
ตอนที่ 31 มาถึงแล้ว
ในยามเย็นเมื่อพระอาทิตย์กําลังจะลาลับเส้นขอบฟ้า บนเขากลางป่ามีเมือง ขนาดเล็กแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงไปทางทิศใต้และขาดแคลนอาหาร
เวลานี้มีกองทหารหลายพันคนและขบวนเกวียนซึ่งเต็มไปด้วยธัญพืช
ผู้คนหลายพันคนพักอยู่บริเวณนั้น ขณะบุรุษซึ่งยืนอยู่บนที่สูงสวมชุดดํายืน อยู่บนยอดเขาอย่างสับสนด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น และร่างสั่นสะท้านภายใต้หัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ
เล้งหยูเฟิงรออยู่ที่นี่มาสองวันแล้ว แต่เขายังไม่เห็นองค์ชายและขบวนผู้ติดตาม อันที่จริงเขาไม่เคยวิตกกังวลถึงเพียงนี้มาก่อนในชีวิต ขณะสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่าองค์ชายได้รับบาดเจ็บหรือไม่
ยิ่งเขาครุ่นคิดเรื่องนี้มากเท่าใดรอยย่นบนใบหน้าก็ยิ่งแน่นขึ้นเท่านั้น สีหน้าของเขาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความกังวล
ในวันนั้นเขาจําใจพาทหารออกมาทั้งที่เขาต้องการอารักขาองค์ชายต่อไป
นับตั้งแต่เขาแยกทางจากองค์ชายมาพร้อมกองทหาร เขารู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลาเมื่อตระหนักว่าตนกําลังละเลยหน้าที่ของตัวเอง
ส่งผลให้เวลานี้เขามีเพียงความกังวลกับความเสียใจอย่างไม่ลดละ และหลายวันที่ผ่านมาเขาเริ่มรู้สึกเศร้าใจแบบที่มิเคยรู้สึกมาก่อน
ไม่ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับองค์รัชทายาท เขาย่อมมิใช่ผู้ที่ไม่เชื่อฟังคําสั่ง
หลังจากเล้งหยูเฟิงไตร่ตรองอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ตั้งใจที่จะไปหาองค์ชาย! เขาต้องการปกป้ององค์ชายและที่สําคัญกว่านั้นคือเขามต้องการอยู่ห่างจากพระองค์
“หลานจิน!” เล้งหยูเฟิงร้องตะโกนออกไป และเหอหลานจินซึ่งอยู่ไม่ไกลรีบมาที่ด้านข้างท่านแม่ทัพของเขาทันที
“เจ้ารับหน้าที่จัดการคนเหล่านี้และดูแลความปลอดภัยของอาหาร!”
เล้งหยูเฟิงกล่าวขณะที่เตรียมพร้อมที่จะจากไป ทว่าถูกหลางจนหยุดไว้ เล้งห ยูเฟิงจึงมองมาที่เขาด้วยความรําคาญ แต่เขาห็นอีกฝ่ายชี้ไปที่ระยะไกลพร้อมก ล่าวว่า “องค์ชาย พวกเขากําลังมาแล้ว!”
โดยไม่คาดคิดองค์ชายที่ทุกคนกําลังกล่าวถึงกําลังเสด็จมาและอยู่ต่อหน้า เล้งหยูเฟิง “องค์ชาย!”
และเขาพยักหน้าเพื่อให้ทุกคนลุกขึ้น จากนั้นเขามองไปยังเล้งหยูเฟิงซึ่งอยู่ใน สภาพนิ่งเงียบตั้งแต่มาถึงราวกับเขามีความวิตกกังวลอยู่ในใจ
“เล้งหยูเฟิง ท่านเป็นอะไรไป?” ฮวนม่อเฉอกล่าว
เล้งหยูเฟิงหันกลับมาทันที
“องค์ชาย!”
ผิวขาวราวกับข้าวสาลีของเล้งหยูเฟิงมีสีแดงระเรื่อและก้มศีรษะลงทันที
อย่างไรก็ตามองค์ชายพบว่ามันช่างแปลกประหลาด เพราะอาการเช่นนี้คล้ายคลึงกับฮวนม่อเฉอผู้ซึ่งอยู่ข้างตัวเขา
“ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่ทัพเล้งของเรา?” ชายผู้นั้นฝืนยิ้มอย่างไม่เต็มใจและเดินมาที่ด้านข้างของเล้งหยูเฟิง ขณะที่ต้องการสอบถามเล้งหยูเฟิงว่าเขาป่วยหรือไม่?
หรือว่าเขารู้สึกไม่สบายใจ?
เราจําเป็นต้องตามหมอมาให้หรือไม่?
“มิได้เป็นอะไร!” เล้งหยูเฟิงถอยห่างออกไปสองสามก้าว จากนั้นเขากล่าวด้วยความตื่นตระหนกว่า “ข้า ข้าสบายดี!”
ข้าเพียงได้กลิ่นหอมจากร่างขององค์รัชทายาท ทุกคืนเมื่อเขาถูกเรียกให้ไปปกป้ององค์ชาย เขาจะได้กลิ่นหอมจากเรือนร่างของพระองค์
“องค์ชายทรงพระประชวรหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เล้งหยูเฟิงเอ่ยถามขณะที่แก้มแดงของเขากลับคืนสู่สีผิวข้าวสาลีดั้งเดิม
เล้งหยูเฟิงมองไปยังใบหน้าซีดเซียวขององค์รัชทายาท และทันใดนั้นเขาพลันตระหนักว่าองค์ชายทรงพระประชวร
เวลานี้ยังคงมีความรู้สึกกังวลอยู่ในใจของฮวนม่อเฉอด้วยความเป็นห่วงองค์ชาย แม้จะไร้การซักถามแต่ความกังวลที่แสดงออกมาจากดวงตาของเขานั้นเป็นความจริง
“เล้งหยูเฟิง จงพาคนไปที่เมืองเพิ่งโจวบัดนี้ ทางการจะส่งมอบอาหารให้ในวันพรุ่งนี้และแจ้งให้พวกเขาช่วยควบคุมความปลอดภัยในเมืองด้วย!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เล้งหยูเฟิงพยักหน้าและไปจัดกองกําลัง เขาตระหนักว่ามีความขาดแคลนอา หารอย่างหนักในเมือง หากมีอาหารปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันในเมืองเพิ่งโจว
ย่อมส่งผลให้เกิดความโกลาหลอย่าง แน่นอน เนื่องจากผู้คนจะต้องลุกขึ้นมา แย่งอาหาร ดังนั้นในการแจกอาหารจะมีผู้เสียชีวิตจํานวนมาก
“พระองค์มีสิ่งใดให้กระหม่อมช่วยบ้าง พ่ะย่ะค่ะ…” ชวนม่อเฉอกล่าว
“เช่นนั้นจงเข้าไปในเมืองเพื่อพาท่าน หมอมารวมกันแล้วรอคําแนะนําเพิ่มเติม!”
ฮวนมอเฉอคาดเดาได้แล้วว่าองค์ชายต้องการทําอะไร เขาจึงพยักหน้าแล้วรีบ
นางไม่ได้ตั้งใจจะชื่นชมช่วงเวลาที่พระอาทิตย์อัสดง นางออกเดินทางมาถึงสถานที่แห่งนี้ด้วยเวลาหนึ่งหรือสองเดือนแล้ว นี่เป็นก้าวแรกของข้า ในอนาคตนางจะเดินหน้าต่อไป นางจะต้องทํา! เพื่อความมั่งคั่งและฐานะ
ในที่สุดแสงแดดอันอบอุ่นได้สาดส่องผ่านช่องว่างของใบไม้สีเขียวมรกตและเรืองรองอยู่ในป่ากว้างท่ามกลางสายหมอกเย็นสบายในยามเช้า
เมื่อคืนนี้ชางอู่ซินยังคงต้องการที่จะนอนบนต้นไม้สูงอย่างไม่ใส่ใจและมียุงชุมมาก แม้นางจะสวมเสื้อแขนยาว แต่ยังคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่นางจะถูกกัดหลายครา
ชางอู๋ซินมิใช่คนที่ไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้ แต่นางเป็นคนที่โหดร้ายกับตัวเองอย่างมาก
“องค์ชาย เราจะเข้าไปในเมืองแล้ว หรือ?” ไปเส้าหลินสวมเครื่องแบบ และ ทหารหลายพันนายยืนอยู่ที่นั่นพร้อมชุด เกราะ แม้พวกเขาจะยืนนิ่งแต่สัมผัสได้ ว่าคนเหล่านี้ให้เกียรตินางอย่างน่าตกใจ
ชางอู๋ซินหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดร่องรอยยุงกัดหลายตัวที่หลังมือของตน จากนั้นนางใช้กําลังฉีกผ้าเช็ดหน้าสีขาวให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างโหดเหี้ยม จากนั้นนางยืนพิงต้นไม้แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้น “เจ้าพร้อมหรือไม่?”
ไปเส้าหลินมิทราบว่าเหตุใดองค์ชาย ถึงมีอาการตื่นเต้น และสังเกตเห็นว่าใน วันนี้จิตใจขององค์ชายเป็นสิ่งที่คาดเดามิได้
“ท่านแม่ทัพได้ประกาศข่าวแล้วว่าองค์ ชายจะเข้าเมืองในเช้าวันนี้ เวลานี้ประชาชนนําโดยแม่ทัพเล้งกําลังรอองค์ชาย!” ไปเส้าหลินรายงานต่อไปว่า “สําหรับท่านฮวนได้พบหมอที่ดีที่สุดในเมืองแล้ว และกําลังรอคําสั่งขององค์ชายพ่ะย่ะค่ะ!”
ไปเส้าหลินรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าไม่เพียงคนเช่นแม่ทัพเล้งหยู เฟิงเท่านั้นที่จะเชื่อฟังคําสั่งขององค์ชาย กระทั่งท่านฮวนเองที่ไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคนในราชสํานักยังสุภาพและอ่อนน้อมต่อพระองค์
เช่นนั้นอย่าถามว่าเหตุใดไปเส้าหลิน ถึงคิดว่าองค์ชายจะได้ครอบครองบัลลัง
เหตุผลนั้นง่ายมาก เนื่องจากกฎของราชวงศ์ระบุว่าหากผู้ใดก็ตามเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์และไม่สามารถครองบัลลังก์ได้คนผู้นั้นต้องตาย และองค์ชายคือผู้ที่เข้มแข็ง ดังนั้นย่อมสามารถต่อสู้เพื่อตําแหน่งนั้นได้อย่างแน่นอน
ไปเส้าหลินเคยเป็นเหมือนบิดาของเขาที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้เพื่อบัลลังก์ แต่ตอนนี้เขาต้องการที่จะยืนเคียงข้างองค์ชายและเชื่อในสายตาของตนเอง
“องค์ชาย! องค์ชาย!”
ชางอู่ซินและทหารนับพันที่มีขบวนรถม้าบรรทุกอาหารยังไม่ได้เข้าเมืองเพิ่งโจวได้ยินเสียงกรีดร้องแห่งความโกลาหลในเมืองเท่านั้น โดยเสียงกรีดร้องเหล่านั้นเต็มไปด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า
“องค์ชายมาแล้ว! เราจะมีอาหารแล้ว! พวกเรารอดแล้ว!”
นางเห็นคนหิวโหยกําลังร้องไห้คร่ําครวญ และเมืองเพิ่งโจวมีทั้งความหวังและความสิ้นหวัง ขณะทุกคนคุกเข่าต่อหน้าองค์ชาย
ผู้คนหิวโหยมานานแล้วกระทั่งมีชาวเมืองเสียชีวิตเป็นจํานวนมาก และหลายคนต้องอพยพออกจากเมืองไป
กระนั้นขุนนางฝ่ายปกครองผู้ชั่วร้ายกลัวว่าสถานการณ์ในเมืองจะทําให้ราชสํานักล่วงรู้ ดังนั้นขอทานทุกคนที่ออกจากเมืองจะต้องตายตกไปตามกัน
จากนั้นผู้คนในเมืองเริ่มรู้สึกสิ้นหวังทีละน้อย โดยสิ่งที่พวกเขาสามารถกินได้เพียงเพื่อประทังชีวิตนั้นถูกกินไปจนหมดสิ้น แต่มันยังไม่เพียงพอ ทําให้จํานวนผู้ที่อดอยากอาหารตายยังคงเพิ่มขึ้นทุกวัน
“องค์ชาย!” ผู้ที่ยืนอยู่ข้างหน้าคือเล้งหยูเฟิง
องค์ชายตระหนักว่าอีกฝ่ายไม่ต้องคํานับเมื่อเผชิญหน้ากับจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ และมีเพียงเล้งหยูเฟิงกับฮวนม่อเฉอ เท่านั้นที่มิต้องถวายบังคมต่อหน้าองค์จักรพรรดิ
อันที่จริงนางมิต้องการให้ผู้คนแสดงความเคารพ และเมื่อนางพยักหน้า พวกเขาก็ออกมา ในเวลานี้ฮวนม่อเฉอได้มาถึง “องค์ชาย สถานที่สําหรับแจกจ่ายอาหารอยู่ไม่ไกลนัก! และหมอรออยู่ตรงนั้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อช่างอู๋ซินพยักหน้าให้กับผู้คน พวกเขาทั้งหมดยืนขึ้นและเดินตามขบวนรถม้าไป เล้งหยูเฟิงกล่าวกับผู้คนว่า “ทุกคนไปที่อาคารนั้น ที่นั่นมีอาหาร ทุกคนไปกินข้าวกันเถิด!”
หลายคนตามรถม้าไป แต่มิมีผู้ใดกล้าเดินนําหน้าองค์ชาย อย่างไรก็ตามในเวลานี้หลายคนพุ่งตัวเข้าไปหาทหาร และไปที่รถม้าอาหาร และมีบางคนเริ่มหยิบถุงบรรจุข้าวสารแล้ว
ทหารล้วนเป็นนักรบที่มีความเชี่ยวชาญและสามารถเอาชนะคนเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย แต่การเริ่มต่อสู้จะทําให้สถานการณ์เลวร้ายลงและเกิดการจลาจล ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะนิ่งเฉยเสีย
เล้งหยูเฟิงมองดูผู้คนที่ก่อความวุ่นวายซึ่งต่อสู้เพื่ออาหารพร้อมขมวดคิ้ว และเตรียมที่จะเข้าไปสกัดกั้น ทว่าถูกองค์ชายห้ามไว้
องค์ชายมองดูผู้คนที่กําลังต่อสู้เพื่ออาหารขณะนั่งอยู่บนรถม้าด้วยขาเรียวเล็กที่แกว่งไปมาท่ามกลางไอเย็นที่แผ่ออกจากร่างอันบอบบาง และทันใดนั้น พลันเกิดเสียงดัง…เฉียง
นางดึงดาบของทหารที่ยืนอยู่ตรงจุดนี้นออกมาอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะเงื้อขึ้น แล้วฟาดฟันชาวบ้านหลายคนที่กําลังต่อสู้เพื่ออาหาร
ชั่วพริบตาเลือดสีแดงสดได้ย้อมพื้นไป ทั่วบริเวณด้วยศพจํานวนหนึ่งอยู่หน้ารถม้า…