สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 424 โปรดแต่งตั้งรัชทายาท
ตอนที่ 424 โปรดแต่งตั้งรัชทายาท
……….
ในการพระราชทานความดีความชอบตามผลงานนั้น ผู้ที่มีผลงานมากที่สุดย่อมเป็นเฮ่อชิงเซียว
เงินทองเครื่องประดับล้ำค่า ที่นาชั้นดีและร้านค้า ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พระราชทานให้อย่างใจกว้างมาก และยังแต่งตั้งเป็นไท่จื่อไท่เป่า[1] เป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่ที่สุดที่ฮ่องเต้พระราชทานแก่ขุนนางใหญ่ เพราะเขาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน ทำให้ตำแหน่งไท่จื่อไท่เป่าจึงมิใช่ตำแหน่งว่างเปล่าไร้อำนาจ
อีกรางวัลหนึ่งที่ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้คิดว่าดีที่สุด แต่เขาเก็บไว้ในใจมิได้เอ่ยออกมา เดิมเฮ่อชิงเซียวกับอาโย่วในสายตาเขาไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ตอนนี้ หากพวกเขาขอร้องดีๆ เขาผู้เป็นบิดาใช่ว่าไม่อาจพิจารณา
ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาเมืองหลวง จ้าวเฟยฝานและบรรดาขุนพลทหารต่างได้รับพระราชทานความชอบตามลำดับ ส่วนพวกเสนาบดีกรมคลังและขุนนางบุ๋นที่ออกมาขอร้องแทนซินโย่ว เงินทองอันใดมิต้องพระราชทาน เพียงแค่รับสั่งชื่นชมจากฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็เพียงพอแล้ว
อีกส่วนก็คือวังหลัง
พระสนมเสวียนเฟยได้เลื่อนเป็นพระสนมเอกกุ้ยเฟย พระสนมลี่ผินได้เลื่อนเป็นลี่เฟย พระสนมอื่นๆ แม้ไม่ได้เลื่อนชั้น แต่ก็ล้วนได้พระราชทานเครื่องประดับแพรพรรณกันทุกคน
ในที่สุดองค์หญิงเสวียนก็ได้รับพระราชทานพระราชทินนามเป็นองค์หญิงเจียโหรว
ตอนพิจารณาราชทินนามให้แก่องค์หญิงเสวียน ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ย่อมคิดถึงซินโย่ว
“อาโย่ว เราอยากแต่งตั้งเจ้าเป็นองค์หญิงซย่ากั๋ว เจ้าคิดว่าอย่างไร”
เรื่องเก่านำมาเอ่ยซ้ำ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่คิดว่าซินโย่วจะยังคงปฏิเสธ
ซินโย่วกลับปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
“เหตุใดไม่ยินยอม อาโย่ว ไม่อยากอยู่ในวัง ก็สร้างจวนองค์หญิงไว้นอกวังได้ ไม่มีอันใดแตกต่างกับตอนนี้”
“ในเมื่อไม่มีอันใดแตกต่าง หม่อมฉันก็อยากจะรักษาสภาพตอนนี้ไว้”
หลังผ่านเหตุการณ์ตื่นตกใจในวังหลังมา ซินโย่วก็ยิ่งมองออกว่ายิ่งเข้าใกล้พระราชอำนาจ ไม่ว่าเป็นตายหรือเกียรติยศใดล้วนขึ้นอยู่กับพระดำรัสเดียวของฮ่องเต้
หากทรงสนพระทัย บุตรสาวเช่นนางมีสถานะใดก็มิสำคัญ แต่หากไม่ทรงสนพระทัย ต้องการให้ตายก็เพียงแค่พระดำรัสเดียวก็เพียงพอ
ความรู้สึกที่ชีวิตเป็นตายขึ้นกับคนผู้หนึ่งช่างย่ำแย่เสียจริง
ด้วยความเข้าใจในตัวคนผู้นี้ไม่มากนักของนาง ฮ่องเต้มีความมั่นพระทัยและแข็งกร้าว โดยเฉพาะกับพวกที่ไม่ยอมคล้อยตาม พวกเสนาบดีกรมพิธีการก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก นโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่น่าจะไม่ถูกล้มเลิกกลางทางอีกแล้ว
เมื่อไม่ต้องห่วงเรื่องนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ ซินโย่วคิดว่ารอให้ต้าซย่าส่งราชทูตออกทะเลอีกครั้งก็จะขอพระราชทานอนุญาตออกไปยังท้องทะเลกว้างใหญ่ ดีกว่าอยู่เมืองหลวงร้อยเท่า
เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะพาเฮ่อชิงเซียวไปด้วยได้หรือไม่
ซินโย่วปฏิเสธเด็ดเดี่ยว ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็มิได้บังคับ “ราชทินนามองค์หญิงซย่ากั๋ว เราจะเก็บไว้ให้เจ้า เจ้าต้องการเมื่อใดก็จะแต่งตั้งเมื่อนั้น”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยังตัดสินพระทัยร่างราชโองการเพื่อการนี้โดยเฉพาะ นอกจากผู้อาวุโสในราชวงศ์ ซินโย่วมีสถานะเหนือขุนนางหนึ่งระดับ
ราชโองการประกาศออกไป บรรดาขุนนางต่างทอดถอนใจ ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับซินโย่วมาก ต่างไม่เข้าใจความดื้อรั้นของซินโย่ว
เป็นองค์หญิงซย่ากั๋วดีๆ ไม่เอา มิใช่คนโง่หรือ
จากนั้นก็ดำเนินการลงโทษหนักพวกเสนาบดีกรมพิธีการที่ก่อการกบฏขนานใหญ่ สะเทือนเลือนลั่นติดต่อกันไปสองสามเดือนจึงได้จบลง ตระกูลใหญ่ทางใต้มากมายแทบจะถูกตัดรากถอนโคนไปหมด มีขุนนางน้อยใหญ่ที่เกี่ยวโยงกับเรื่องนี้เกือบพันคน
หลังจัดการทุกอย่างจบสิ้น ก็เป็นปลายฤดูใบไม้ร่วง ไม่ต้องรอเวลาประหารอีก จัดการประหารได้ทันที
ในบรรดาคนเหล่านี้ การจัดการโค่วเทียนหมิงทำให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ต้องครุ่นคิดมากอีกสักหน่อย
เขาตั้งใจส่งคนไปตรวจสอบบ้านเกิดโค่วเทียนหมิง ห้าสิบปีก่อนไหนเลยจะสืบกระจ่างได้ ผลสรุปที่ได้มาก็คือชาติกำเนิดโค่วเทียนหมิงไม่มีอันใดซ่อนเร้น
ผลสรุปเช่นนี้ทำให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้แอบโล่งพระทัย ไม่ว่าโค่วเทียนหมิงเคยปลอมตัวเป็นเขา หรือว่าหน้าตาเหมือนเขา สองประเด็นนี้เขาย่อมยากจะปล่อยให้คนผู้นี้ดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้
ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเฉินของเขา เป็นเรื่องที่ดีที่สุด
แต่ทว่าอย่างไรโค่วเทียนหมิงก็ถูกอุบายจังอวี้เฉินหลอก ต้องถูกกักขังไม่ได้เห็นแสงตะวันมาหลายปี ต่อมาถูกพวกเสนาบดีกรมพิธีการนำมาใช้ประโยชน์ต่อ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็รู้ว่าคนผู้นี้น่าสงสาร จึงมิได้ลงโทษไปถึงเครือญาติ เพียงแค่ปลดตำแหน่งรองเจ้ากรมต้วนและต้วนอวิ๋นเฉินบุตรชายของเขาเท่านั้น
พอได้รับราชโองการปลดจากตำแหน่ง รองเจ้ากรมต้วนไม่เพียงแต่ไม่เสียใจ แต่ยังรู้สึกว่าก้อนหินที่ทับแน่นในอกได้ร่วงลงพื้นแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าทนรับความกระทบกระเทือนนี้ไม่ไหวเป็นลมสลบไป พอฟื้นขึ้นมาก็ได้ยินรองเจ้ากรมต้วนปลอบใจข้างๆ ว่า “ท่านแม่อย่าได้เสียใจไป น้องเขยปลอมตัวเป็นฮ่องเต้ ตระกูลต้วนเราไม่ต้องพลอยโดนลงโทษประหารทั้งตระกูลไปด้วยนับว่าโชคดีมหาศาลแล้ว!”
ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงคิดไม่ตก ปาดน้ำตากล่าวว่า “เงินก็ไม่มีแล้ว ตำแหน่งขุนนางก็ไม่มีแล้ว ล้วนหมดสิ้นแล้ว…ตอนนั้นเหตุใดจึงได้ให้น้องสาวเจ้าเลือกคนเช่นนั้นได้…”
คนที่เฝ้าดูแลฮูหยินผู้เฒ่ามิได้มีเพียงรองเจ้ากรมต้วน ยังมีต้วนเหวินซงสองสามีภรรยาและพวกหลานๆ
จูซื่อได้ยินคำพูดฮูหยินผู้เฒ่า สีหน้าแม้ไร้ปฏิกิริยา แต่ในใจกลับถอนหายใจ จวนตระกูลต้วนหลายปีมานี้ล้วนอาศัยทรัพย์สินของตระกูลโค่วจึงมีชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือยได้ แต่ไม่ได้ดูแลบุตรสาวเขาให้ดี ตอนนี้ต้องมาหลุดจากตำแหน่งขุนนางเพราะตระกูลโค่ว บางทีอาจเป็นเพราะสวรรค์ลงทัณฑ์
เดิมต้วนอวิ๋นหลางก็มิใช่เกิดมาเพื่อร่ำเรียน ในที่สุดก็ลาออกจากสำนักกั๋วจื่อเจี้ยนได้ คิดไม่ถึงว่าการลงโทษนี้ไม่ได้ส่งผลต่อการแต่งงานของคุณหนูสามต้วนอวิ๋นหลิงที่หมั้นหมายไว้แล้ว ตอนนี้ฝ่ายชายยังมิได้คิดถอนหมั้น คุณหนูสี่ต้วนอวิ๋นเยี่ยนอายุยังน้อย ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องกังวล
หากจะกล่าวว่าผู้ที่เดือดร้อนเพราะโค่วเทียนหมิง ที่ยากยอมรับได้มากที่สุดก็คือต้วนอวิ๋นเฉิน
เขาเพิ่งก้าวเข้าสู่เส้นทางขุนนาง ยังมิได้แสดงความสามารถ สิบปีตรากตรำอ่านตำรามาล้วนดังสายน้ำไหลทิ้งเสียเปล่า
รองเจ้ากรมต้วนปลอบใจมารดาแล้วก็ต้องปลอบใจบุตรชายอีก “เจ้าดูเสนาบดีกรมพิธีการเป็นอย่างไร ตำแหน่งขุนนางขั้นสอง ขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก ถูกปาดเนื้อพันชิ้นตายทั้งเป็น บิดาปลงตกแล้ว เฉินเอ๋อร์ เจ้าปลงให้ได้เถอะนะ”
ตั้งแต่ยอมรับน้องเขยโค่วเทียนหมิงในท้องพระโรงวันนั้นแล้ว รองเจ้ากรมต้วนก็มีเงามืดครอบงำจิตใจมาตลอด พอคิดถึงฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็เข่าอ่อน ยืนไม่ติด ตอนนี้ไม่ต้องไปเข้าประชุม เขาก็ถึงกับแอบลอบถอนหายใจโล่งอก
ขุนนางที่กระทำผิดถูกสังหารไป ปลดจากตำแหน่งไป เปลี่ยนเป็นขุนนางหนุ่มรุ่นใหม่และเชื่อฟังเข้ามาแทนที่ ไม่นานก็ยืนกันเต็มในราชสำนัก
แต่ละพื้นที่ผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ราบรื่นต่อเนื่อง การเผยแพร่การปลูกมันหวานได้ผลสำเร็จเป็นที่น่ายินดี
ภูมิอากาศแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ มันหวานล้วนเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ดี ทำให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยอมรับคุณค่าของดินแดนโพ้นทะเล ตัดสินพระทัยไม่เพียงแต่จะให้นำมันถู่โต้วที่ซินโย่วเสนอกลับมาปลูก ยังคิดค้นหาของล้ำค่าจากดินแดนโพ้นทะเลให้มากยิ่งขึ้น
ส่วนการขายผลผลิตของต้าซย่า ก็อยู่ในแผนการของเขา
หลังกวาดล้างตระกูลใหญ่ทางใต้พวกนั้นไปแล้ว ทรัพย์สมบัติทั้งหมดก็ทำให้ผู้เป็นฮ่องเต้เช่นเขาถึงกับอ้าปากค้าง สมบัติเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากแอบค้าขายกำไรจากดินแดนโพ้นทะเล
ไม่ต้องให้ซินโย่วเกลี้ยกล่อม ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตบโต๊ะ ปล่อยให้พวกละโมบพวกนั้นแอบลอบค้ากำไรก้อนโตกันเงียบๆ มิสู้ให้ราชสำนักมาทำกำไรเอง ผู้ใดกล้าขัดขวางก็จะประหารผู้นั้น เหตุประหารหลั่งโลหิตทางเมืองฝั่งตะวันตกยังคงร้อนอยู่ มิมีผู้ใดกล้าขวาง
ยามนี้ห่างจากการลงโทษพวกเสนาบดีกรมพิธีการมาได้สองเดือนกว่าเท่านั้น อากาศเริ่มหนาวเย็น ปีหนึ่งกำลังจะผ่านพ้นไปแล้ว
ตอนฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เผยความคิดจะเปิดเส้นทางทางทะเล บรรดาขุนนางก็ออกมายื่นฎีกาพร้อมกัน ขอให้ทรงโปรดแต่งตั้งรัชทายาท
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตกน้ำครั้งนี้ บรรดาขุนนางและชนชั้นสูงตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะทูลขอให้แต่งตั้งรัชทายาท
“แผ่นดินไร้รัชทายาท แผ่นดินไม่มั่นคง ขอฝ่าบาทเห็นแค่แผ่นดินเป็นสำคัญ รีบแต่งตั้งรัชทายาท เพื่อให้บรรดาขุนนางและราษฎรร่มเย็น”
เสียงกราบทูลดังกึกก้อง “ขอฝ่าบาทรีบแต่งตั้งรัชทายาท เพื่อให้บรรดาขุนนางและราษฎรร่มเย็น”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร สีพระพักตร์นิ่งเรียบฟังคำทูลขอของบรรดาขุนนางจบลงก็ตรัสถามพระสุรเสียงนิ่งเรียบว่า “อ้อ เช่นนั้นขุนนางทุกท่านคิดว่าองค์ชายพระองค์ใดเหมาะสม”
บรรดาขุนนางยังคงมีเงาดำมืดจากจุดจบของพวกเสนาบดีกรมพิธีการครอบงำจิตใจอยู่ ไหนเลยจะกล้าเลือก รีบเตะกลับไป “ขอฝ่าบาททรงตัดสินพระทัย ฝ่าบาททรงพระปรีชา”
[1] ตำแหน่งขุนนางขั้นหนึ่งที่พระราชทานให้ขุนนางมีความชอบ แต่เป็นตำแหน่งไร้อำนาจแท้จริง
……….