สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 418 ตรวจค้น
ตอนที่ 418 ตรวจค้น
……….
ซิ่วอ๋องไม่ได้ถอย “เสด็จพ่อ อาโย่วนิสัยแข็งกร้าว ไม่ได้อ่อนโยนเหมือนหญิงสาวทั่วไป แต่ทว่าความคิดของนางล้วนเพื่อประชา ขอทรงเมตตา ละเว้นโทษตายของนางพ่ะย่ะค่ะ”
“แค็ก แค็ก แค็กๆ พวกเจ้าบีบคั้นเราหรือ”
ทุกคนพากันรีบคุกเข่า “พวกกระหม่อมมิบังอาจ”
“มีอันใดมิบังอาจ หากพวกเจ้าคิดถึงเราจริง ก็คงไม่มารบกวนการพักผ่อนของเรา!” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กริ้วหนัก ทรงไอไปไล่บรรดาขุนนางไป
พวกเมิ่งจี้จิ่วมารวมตัวกันนอกประตูวัง ไม่ได้กลับไป
“ดูท่าทาง ฝ่าบาทตัดสินพระทัยจะพระราชทานโทษตายซินไต้จ้าวแน่นอนแล้ว”
เสนาบดีกรมคลังได้ยินคำพูดเมิ่งจี้จิ่วก็พึมพำเบาๆ ว่า “ฝ่าบาททรงพระประชวรใช่หรือไม่ จึงได้พระสติไม่สมบูรณ์เช่นนี้ได้”
เมิ่งจี้จิ่วกับหัวหน้าเซี่ยหันไปมองเขาพร้อมกัน
เสนาบดีกรมคลังมีสีหน้าระแวง “ทั้งส่องท่านคงไม่ไปทูลฟ้องกระมัง”
เมิ่งจี้จิ่วถอนหายใจ “ยามนี้แล้ว เสนาบดีอวี๋ก็อย่ามัวล้อเล่นเลย”
“เช่นนั้นทั้งสองท่านคิดว่า ที่ข้าพูดมีความเป็นไปได้หรือไม่”
“แม้เป็นเช่นนี้ แล้วจะทำอย่างไรได้” เมิ่งจี้จิ่วยิ้มเฝื่อน
คงไม่อาจกล่าวว่าตอนนี้ฮ่องเต้ประชวรจนเลอะเลือน ราชโองการไม่นับเป็นผลกระมัง
ฮ่องเต้ก็มิได้หมดพระสติไม่รู้สึกพระองค์ เมื่อครู่ยังเพิ่งพบกับบรรดาขุนนางบุ๋นบู๊ กล่าวเช่นนี้มิใช่ว่าล่วงเกินเบื้องสูงหรือ
หัวหน้าเซี่ยที่เงียบมาตลอดลูบเคราเบาๆ มองไปยังอีกทางหนึ่ง “ตามหลักองค์หญิงเจาหยางก็ควรได้ข่าวแล้ว เหตุใดจึงไร้ปฏิกิริยา”
องค์หญิงเจาหยางโปรดปรานซินโย่ว บรรดาขุนนางล้วนประจักษ์ พากันอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
ยามนี้ขันทีหลี่เหวยกำลังอยู่ในตำหนักกันเฉวียนกง เผชิญหน้ากับพระสนมเสวียนเฟย
“พระสนมเสวียนเฟย บ่าวรับพระบัญชาปฏิบัติงาน ขอพระสนมได้โปรดให้ความร่วมมือ”
“หลี่กงกงรับพระบัญชาปฏิบัติงาน ข้าไม่กล้าขัดขวาง แต่กงกงนำขันทีมามากมายจะตรวจค้นตำหนักกันเฉวียนกง ขออภัยที่ข้าไม่อาจยอมรับได้ ข้าได้รับพระเมตตาจากฮ่องเต้ มีหน้าที่จัดการงานในวังหลัง หลี่กงกงทำเช่นนี้จะให้ข้าดำรงเกียรติต่อไปได้อย่างไร”
พระสนมเสวียนเฟยไม่ให้หลี่เหวยตรวจค้น คิดว่าเสียหน้าก็เรื่องหนึ่ง อีกอย่างก็คือนางเป็นผู้นำพระสนมวังหลัง หากนางปล่อยให้ขันทีตรวจค้นตำหนักบรรทมง่าย ๆ พระสนมอื่นๆ ก็คงยิ่งอับจนหนทาง
ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงเก็บซ่อนตัวซินโย่วไว้ไม่ได้แล้ว
พระสนมเสวียนเฟยคิดได้ดี แต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อหลี่เหวยไม่ยอมรับน้ำใจ “ฮ่องเต้ตรัสว่า จะต้องหาตัวซินโย่วให้ได้ ผู้ใดไม่อาจขัดขวาง พระเกียรติพระสนมเสวียนเฟยก็คงไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่ารับสั่งฮ่องเต้กระมัง”
“หลี่กงกง!” พระสนมเสวียนเฟยพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน นอกจากโมโหแล้วก็คือรู้สึกคาดไม่ถึง
แม้หลี่เหวยเป็นมหาขันที แต่สำหรับราชวงศ์แล้วก็แค่บ่าว ตอนนี้เขาเหิมเกริมไม่ให้เกียรตินางผู้เป็นพระสนมวังหลังเช่นนี้ ไม่คิดถึงวันหน้าบ้างหรือ
หรือว่า พระพลานามัยฮ่องเต้เลวร้ายยิ่งกว่าที่ทุกคนคิดไว้มาก… พอคิดถึงความเป็นได้นี้ พระสนมเสวียนเฟยยังคิดว่าเหลวไหล
แม้ตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายที่สุด แต่ต้าซย่าก็ยังคงเป็นต้าซย่าของตระกูลเฉิน หลี่เหวยเป็นเพียงบ่าวไม่อาจพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้
“พระสนมเสวียนเฟย รบกวนหลีกทาง” หลี่เหวยชักสีหน้า กลุ่มขันทีด้านหลังก็กรูกันออกมาตรวจค้นโดยรอบ
พระสนมเสวียนเฟยยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าดำทะมึน
ค้นหาทั่วทุกซอกมุมก็ไม่ได้ผลอันใด
“พระสนมเสวียนเฟย รบกวนแล้ว”
พระสนมเสวียนเฟยกัดฟัน “ข้าจะไปทูลถามฮ่องเต้”
“พระสนมเสวียนเฟยเชิญตามสบายพ่ะย่ะค่ะ” มาถึงยามนี้ หลี่เหวยแม้แต่วาจาตามมารยาทก็คร้านจะเอ่ย นำกลุ่มขันทีหันหลังจากไปทันที
พระสนมเสวียนเฟยคิดแล้วก็รีบก้าวออกไป แต่ไม่ได้ไปตำหนักเฉียนชิงกง ทว่าเร่งไปตำหนักฉือหนิงกง
หลี่เหวยนำกลุ่มขันทีไปตรวจค้นตำหนักหนึ่งอยู่ ผู้บัญชาการเฝิงเหนียนประจำกองกำลังองครักษ์จิ่น หลินในวังก็พลันได้รับรายงานด่วน
“ใต้เท้า ทหารจวนองค์หญิงใหญ่ล้อมจวนเฝิงไว้แล้ว!”
“ขอรับ ทหารขององค์หญิงเจาหยาง!”
“นางคิดกบฏ?” เฝิงเหนียนยังไม่ทันตั้งสติได้จากอาการตื่นตกใจรุนแรง
การล้อมจวนไว้ไม่ว่าเป็นจวนเขาหรือจวนผู้ใด แต่นี่คือเมืองหลวง นอกจากฮ่องเต้รับสั่งเคลื่อนกำลัง มิเช่นนั้นผู้ใดกล้าเคลื่อนกำลังทหาร แม้แต่องค์หญิงเจาหยางพระขนิษฐาฮ่องเต้ ก็มีความผิดฐานก่อกบฏ
“ใต้เท้า องค์หญิงเจาหยางนำกำลังทหารบุกเข้าไปในจวนเฝิง ขอท่านรีบตัดสินใจควรจัดการเช่นไร!” พ่อบ้านที่หนีออกจากจวนเฝิงได้ วิ่งมาตลอดทางกำลังหอบหายใจ ขณะกำลังรายงานก็จะร้องไห้ออกมาแล้ว
เฝิงเหนียนไม่มีเวลามาวิเคราะห์ความบังอาจเหิมเกริมขององค์หญิงเจาหยาง หวั่นเกรงว่าคนในจวนทั้งคนแก่และเด็กล้วนตายด้วยน้ำมือฝ่ายตรงข้าม สั่งการให้ลูกน้องคุ้มกันประตูวังให้ดี ก่อนนำกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินกลุ่มหนึ่งเร่งไปยังจวนเฝิง
กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเป็นหนึ่งในกองกำลังองครักษ์ เป็นกำลังหลักในการรักษาประตูวัง และยังมีหน้าที่คุ้มกันบรรดาขุนนางและชนชั้นสูงยามประสบเหตุร้าย เฝิงเหนียนนำกำลังไปต้านองค์หญิงเจาหยางที่นำกำลังล้อมจวนเฝิง นางไม่กลัวเป็นที่ครหาของผู้คนหรือ
ขณะที่เขากำลังเคลื่อนกำลังกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน ก็มีพลุลูกหนึ่งกระจายกลางท้องฟ้า
นอกประตูเมือง กองกำลังทหารดำทะมึนเคลื่อนเข้ามาใกล้ประตูเมือง ทำเอาเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองรีบปลดกลอนลง
“ข้าคือผู้บัญชาการจ้าวเฟยฝานประจำกองกำลังรักษาเมืองหลวง รับคำสั่งลายพระหัตถ์ฝ่าบาท นำกองกำลังรักษาเมืองหลวงเข้าเมืองหลวงจับกุมโจรชั่ว!”
ทหารคุมประตูเมืองมองดูคนที่เชิงกำแพงเมืองอย่างละเอียดทีหนึ่ง เป็นผู้บัญชาการกองกำลังรักษาเมืองหลวงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็ลังเลไม่กล้าปล่อยเข้ามา ตรวจสอบลายพระหัตถ์อย่างละเอียดอีกครั้ง
อักษรในสารเป็นลายพระหัตถ์เป็นลายพระหัตถ์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้หรือไม่เขาไม่รู้ แต่ทว่าตราหยกตัวแทนฮ่องเต้สั่งเคลื่อนกำลังทหารนั้นถูกต้อง
ลายพระหัตถ์ไม่มีปัญหา คนนำทัพมาก็รู้จัก ทหารคุมประตูเมืองหลวงจึงเปิดประตูเมืองตามธรรมเนียม
ยามนี้ฟ้ายังไม่มืด ทหารจำนวนมากเข้าเมืองหลวง ชาวบ้านไม่สนใจใคร่รู้อันใด รีบพากันหลีกทางให้
กองกำลังรักษาเมืองหลวงเข้าเมืองหลวงมาก็แบ่งเป็นหลายกอง รีบไปยังสถานที่เป้าหมายต่างกัน กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินภายใต้การนำของเฝิงเหนียนก็มาถึงจวนเฝิง
ยามนี้จวนเฝิงอยู่ภายใต้การควบคุมของทหารจวนองค์หญิงใหญ่ ในจวนมีแต่เสียงร้องไห้ดังระงม
เฝิงเหนียนมององค์หญิงเจาหยางในชุดเกราะ สีหน้าก็ดำทะมึนถามว่า “องค์หญิงใหญ่นำทหารในจวนด้วยตนเองมา คิดก่อกบฏหรือ”
“ก่อกบฏ?” องค์หญิงเจาหยางแค่นเยาะ “เฝิงเหนียน คนก่อกบฏน่าจะเป็นเจ้ามากกว่า ข้าถามเจ้า ฮ่องเต้ตัวปลอมในวังแท้จริงคือผู้ใด”
พอถามออกไปเช่นนี้ ก็มีเสียงแตกตื่นดังขึ้นในกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน
เฝิงเหนียนสีหน้าแปรเปลี่ยน ส่งเสียงดังขึ้น “องค์หญิงเจาหยางคิดก่อกบฏ พูดจาเหลวไหลทำลายขวัญทหาร จับตัวไว้!”
ทหารประจำจวนองค์หญิงใหญ่ควบคุมจวนเฝิงไว้ได้อย่างง่ายดาย แต่ในฐานะกองกำลังองครักษ์จิ่น หลิน ไม่ว่าจำนวนคนหรือว่าอาวุธล้วนเทียบกันไม่ได้
ในความคิดของเฝิงเหนียน การกระทำขององค์หญิงมิได้น่ากลัว
แต่ตอนกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินหันกลับไปล้อมทหารจวนองค์หญิงใหญ่ ก็มีทหารกลุ่มใหญ่กรูกันเข้ามาดังสายน้ำไหลทะลัก ร่วมกับทหารจวนองค์หญิงใหญ่สกัดกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินที่เฝิงเหนียนนำมาไว้ตรงกลาง
เฝิงเหนียนเห็นการเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้ สีหน้าก็แปรเปลี่ยน จำคนที่นำกำลังมาได้ทันที “หลิวเจิน?”
หลิวเจินก็คือผู้ช่วยของผู้บัญชาการจ้าวเฟยฝานประจำกองกำลังรักษาเมืองหลวง เป็นบุคคลที่มีฝีมืออยู่ระดับต้นๆ
“ลายพระหัตถ์ฝ่าบาท ผู้บัญชาการเฝิงเหนียนประจำกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินสมคบคิดกับโจรชั่ว คิดก่อการกบฏ มีคำสั่งให้กองกำลังรักษาเมืองหลวงเข้าเมืองหลวงจับกุมโจรชั่ว!” หลิวเจินยกลายพระหัตถ์ขึ้นสูงพร้อมกับตะโกนดัง
กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินที่ยอมทุ่มเทชีวิตเพื่อเฝิงเหนียนแท้จริงถูกเขาทิ้งไว้ในวังเพื่อคุมสถานการณ์ใหญ่เอาไว้ กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินที่ติดตามมาตอนนี้แม้ว่าฟังคำสั่งของเขา แต่ทว่าส่วนใหญ่ก็มิได้คิดก่อกบฏ
หลิวเจินสำแดงลายพระหัตถ์ ทำให้กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินที่ล้อมรอบป้องกันเฝิงเหนียนไว้ตรงกลางพากันสับสนขึ้นมาทันที
……….