สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 364 ราชสำนัก
ตอนที่ 364 ราชสำนัก
……….
จากนั้นประเด็นก็ย้อนกลับไปที่เรื่องจะรับมือภัยพิบัติจากหิมะของหมู่บ้านชายแดนอย่างไร บรรดาขุนนางต่างไม่มีกะจิตกะใจ ยามนี้ใจลอยไปไกลนานแล้ว
ซินโย่วก้าวออกมาอีกครั้ง “ฝ่าบาท หม่อมฉันคิดว่าเรื่องนี้ประชุมท้องพระโรงพรุ่งนี้ได้เพคะ จะได้รับฟังความคิดเห็นของคนมากยิ่งขึ้น”
บรรดาขุนนางเหลือบมองนาง
เมื่อครู่ฮ่องเต้ยังข่มขู่พวกเขาว่ารับฟังความคิดเห็นของคนยิ่งมากก็ไร้ความหมาย
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กลับพยักพระพักตร์ “รอรวบรวมความคิดเห็นคนหมู่มากก็ได้”
บรรดาขุนนาง “…”
“พรุ่งนี้ประชุมท้องพระโรง ซินไต้จ้าวกับซิ่วอ๋องก็มาร่วมรับฟังด้วย” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รับสั่ง
“เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” ซินโย่วกับซิ่วอ๋องรับคำพร้อมกัน
หลังประชุมหารือเสร็จ ซินโย่วเดินออกไป ขุนนางใหญ่หลายคนเหลือบมองด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“อาโย่ว” เสียงเรียกเบาๆ ดังขึ้นด้านหลัง
ซินโย่วหันหน้าไปมองก็เห็นซิ่วอ๋องเดินเข้ามา
“มีเวลาไปดื่มน้ำชาไหม” ซิ่วอ๋องถามขึ้นพร้อมเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “นโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ของเจ้า ข้าอยากทำความเข้าใจมากขึ้นอีกสักหน่อย”
“เกี่ยวกับนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ ที่ควรเอ่ยถึงก็เอ่ยไปเมื่อครู่แล้ว นโยบายใหม่นี้ไม่ได้มีอันใดซับซ้อน ประเด็นอยู่ที่การผลักดัน” ซินโย่วปฏิเสธคำเชิญซิ่วอ๋องอ้อมค้อม
แม้ว่าซิ่วอ๋องแสดงท่าทีสนับสนุนนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ แต่อย่างไรนางก็ยังไม่อาจปล่อยวางความระวังตัวจากคนที่ทำให้นางจำต้องกลับคืนสู่สถานะบุตรสาวผู้นี้
พอถูกปฏิเสธ ซิ่วอ๋องก็มิได้มีท่าทีเก้กังแต่อย่างใด “อาโย่วจะกลับสำนักฮั่นหลินย่วน หรือว่า…”
“กลับสำนักฮั่นหลินย่วน”
“ข้าไปส่งเจ้า”
ซินโย่วยกมือชี้ไป “ด้านหน้านี้แล้วเพคะ”
“พบกันพรุ่งนี้”
ซินโย่วรีบก้าวเข้าไปในสำนักฮั่นหลินย่วนก่อนจะผ่อนลมหายใจเบาๆ
ไม่ว่าพรุ่งนี้เป็นอย่างไร ยามอยู่ต่อหน้าขุนนางส่วนใหญ่ คนผู้นั้นจะยืนยันผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่หรือไม่ แต่ก็คงไม่ล้มคว่ำลงง่ายๆ
“ซินไต้จ้าว”
ได้ยินเสียงเรียก ซินโย่วก็หันไปมอง
เซี่ยเฉิงอันหัวหน้าสำนักฮั่นหลินย่วน เมื่อครู่ตอนหารือเขาก็อยู่ด้วย
ซินโย่วก้าวเข้ามา “หัวหน้าเซี่ย”
“หากซินไต้จ้าวมีเวลาว่าง ขอเชิญมาดื่มน้ำชาสนทนาเกี่ยวกับนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่สักหน่อย ข้าอยากขอคำแนะนำสักเล็กน้อย”
เชิญดื่มน้ำชาเหมือนกัน แต่ซินโย่วพยักหน้ารับคำเชิญของหัวหน้าเซี่ยอย่างไม่ลังเล
“วันนี้ในพระตำหนัก ซินไต้จ้าวเอ่ยถึงนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ ทำให้ข้าตื่นรู้ขึ้นมา” หัวหน้าเซี่ยกล่าวประโยคแสดงท่าทีสนับสนุน
ซินโย่วนึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง
นางรู้ว่าแม้เขาเป็นฝ่ายตรงข้ามกับผู้ได้รับประโยชน์จากนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ แต่ก็ยังสนับสนุนนโยบายใหม่นี้ โลกนี้มักมีคนที่เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว เห็นแก่แผ่นดินและราษฎรมากกว่าตนเอง
คนเช่นนี้แม้ว่ามีน้อย แต่ย่อมต้องมี
แต่การได้รับการสนับสนุนจากหัวหน้าเซี่ยเร็วเช่นนี้ ยังคงเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง
หัวหน้าเซี่ยมองอาการตกใจของซินโย่วออก ยิ้มกล่าวตามตรงว่า “ตระกูลเซี่ยนับว่าเป็นคหบดีในราชวงศ์ก่อน ต่อมาก้าวผ่านความรุ่งเรืองและตกต่ำ มาถึงวันนี้ได้ล้วนเพราะพระเมตตา ราษฎรยากลำบาก สงครามโหดร้าย ข้าเคยประสบมาแล้ว มาถึงอายุปูนนี้ก็อยากเห็นลูกหลานและแผ่นดินยืนยาวต่อไปมากกว่า”
หัวหน้าเซี่ยส่ายหน้าเล็กน้อย “คำพูดนี้ควรเป็นข้ากล่าวกับซินไต้จ้าว”
เดิมสาวน้อยตรงหน้ามีชีวิตที่สูงส่งสุขสบายไร้กังวล แต่กลับเลือกเส้นทางที่ยากลำบากที่สุด
“ซินไต้จ้าวเคยคิดถึงความยากลำบากของการผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ไหม”
“ผู้รับหน้าที่ไปปฏิบัติ ผู้ใดเหมาะสม”
“กระแสวิพากษ์วิจารณ์วันหน้าย่อมรุนแรง จะรับมืออย่างไร”
…
หัวหน้าเซี่ยถามคำถามจริงจังมากมาย ซินโย่วตอบได้อย่างละเอียด หากไม่สะดวกเอื้อนเอ่ยก็จะตอบคร่าวๆ
สุดท้ายหัวหน้าเซี่ยประสานมือ “ขอบคุณซินไต้จ้าวที่ไขข้อสงสัย”
ซินโย่วคำนับกลับ “หัวหน้าเซี่ยยินดีรับฟังข้าน้อย เป็นโชควาสนาของข้าน้อย”
พอถึงเวลาเลิกงาน หัวหน้าเซี่ยก็ไปพบเมิ่งจี้จิ่ว ถกเรื่องนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่
บรรดาขุนนางและชนชั้นสูงที่สนใจนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่เช่นหัวหน้าเซี่ยมีมากมายนับไม่ถ้วน ค่ำคืนนี้ในห้องหนังสือหลายจวนและในร้านน้ำชาร้านอาหารลับตาเริ่มมีเสียงถกครึกครื้นกันขึ้นมา
ในห้องรับรองร้านน้ำชาเงียบสงบแห่งหนึ่ง มีคนนั่งล้อมวงกันสีหน้าย่ำแย่อย่างมาก บรรยากาศก็เคร่งเครียด
“ไม่อาจปล่อยให้ดำเนินนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ได้อย่างเด็ดขาด นี่คือการขุดถอนรากฐานของพวกเรา”
“วันนี้ฝ่าบาทตรัสแล้ว คัดค้านไปก็ไร้ความหมาย”
“พรุ่งนี้ประชุมท้องพระโรง หากมีคนคัดค้านกันมาก บางทีฝ่าบาทอาจเปลี่ยนพระทัย”
“คัดค้าน?” เสียงคนพูด หนึ่งแค่นเยาะ “ผู้ใดกล้าออกมาคัดค้านกัน ไม่เห็นคุกที่ถูกจองจำจนล้น คนที่ถูกลากไปประหารที่เมืองหลวงฝั่งตะวันตกรอบแล้วรอบเล่าหรือ”
เมืองฝั่งตะวันตกมีการประหารต่อเนื่อง ดาบที่ฟันจะทื่อหมดแล้ว ภายใต้ภาวะข่มขู่คุกคามนี้ ผู้ใดกล้าคัดค้านความคิดฮ่องเต้ ผู้ใดจะไม่ไตร่ตรองกันให้มากอีกสักหน่อย
“นังเด็กนั่นเลือกเวลาได้ประเหมาะจริง!”
ระยะนี้เรื่องราวสัพเพเหระบนท้องถนนน้อยมาก นับประสาอันใดกับบรรดาขุนนางเจ้าหน้าที่ล้วนรู้ว่าคนที่ถูกประหารก็คือสหายขุนนางและญาติมิตรของพวกเขา สถานการณ์น่าสะพรึงนี้แค่คิดก็พอนึกภาพได้
ความเงียบผ่านไปครู่หนึ่ง เสนาบดีกรมพิธีการก็เอ่ยว่า “ฝ่าบาทเรียกประชุมขุนนางหกกรมและเก้าหน่วยงานมาตัดสินใจ พรุ่งนี้แม้มีคนคัดค้าน เกรงว่าก็คงไร้ประโยชน์”
“หรือว่าจำต้องยอมรับไป”
“ผู้ใดว่าจะยอมรับ” เสนาบดีกรมพิธีการลูบเครา
เขามีชาติกำเนิดจากตระกูลใหญ่ทางใต้ ตระกูลเขามีที่นามากมาย ทันทีที่ดำเนินนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่นี้ ย่อมไม่ต่างอันใดกับการขูดเนื้อเถือหนังเขา
“ความหมายของท่านเสนาก็คือ”
“หลายราชวงศ์ที่ผ่านมา แม้ผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ผ่านมาครึ่งทางก็ล้มเหลวได้ นโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่อ้างว่าเพื่อประชา แต่ประชาจะรับหรือไม่ก็ยังไม่แน่”
คนในที่นั้นได้ยิน แววตาก็อดส่องประกายวาบไม่ได้
คำพูดนี้ถูกต้อง
ราษฎรไม่รู้หนังสือ ต่างไม่เข้าใจเรื่องใดทั้งสิ้น นโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ดีหรือไม่ มักต้องรอฟังคนรู้หนังสือ
เดิมตระกูลขุนนางเก่าแก่ทรงอิทธิพลก็มองนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่เป็นเรื่องเลวร้าย รอราษฎรออกมาร่วมคัดค้าน เรื่องที่มีแต่เสียงด่าทอและไร้ผลประโยชน์นี้ ผู้ใดจะกระทำต่อได้อีก
ปล่อยให้ความจริงทำลายนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ล้มเหลวกลางทาง ปลอดภัยกว่าคัดค้านฝ่าบาทมากกว่า
วันต่อมาตอนประชุมท้องพระโรง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ประทับลงบนบัลลังก์มังกรแล้วก็ทอดพระเนตรลงมายังบรรดาขุนนาง
ตามความเคยชินเดิม ขุนนางระดับห้าขึ้นไปในเมืองหลวงต้องตื่นแต่ยามไก่ขัน มาเข้าร่วมประชุมท้องพระโรง นอกจากนี้ยังมีก็ยังมีขุนนางที่ปรึกษาแต่ละหน่วย ขุนนางตรวจสอบระดับล่างและขุนนางระดับล่างอื่นๆ อีก รวมทั้งเชื้อพระวงศ์อีกด้วย
ปกติประชุมท้องพระโรง ย่อมมีผู้ขาดการประชุมอยู่บ้าง แต่วันนี้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กวาดสายพระเนตรมองไปก็รู้สึกคล้ายว่ามีคนมากกว่าปกติ
ชิ! คนใส่ใจนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่มากจริง
หลังหารือราชกิจทั่วไปเสร็จ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ตรัสถึงภัยพิบัติหิมะชายแดน “ขุนนางทุกท่าน มีแผนรับมือหรือไม่”
เงินในท้องพระคลังมีจำกัด หากใช้กับการนี้มากเกินไป การอื่นก็ย่อมต้องถูกลด
บรรดาขุนนางบ้างก็นิ่งเงียบ บ้างก็พูดจาไร้สาระ บ้างก็เอ่ยถึงวิธีการรับมือสองสามทางที่พอใช้ได้ รองเจ้ากรมต้วนยืนอยู่ท้ายแถว นึกถึงเมื่อวานตอนเลิกงานได้พบกับซินโย่วโดย ‘บังเอิญ’ ก็ก้าวออกมา
“กระหม่อมรองเจ้ากรมพระราชยานหลวงต้วนเหวินซง มีเรื่องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้นิ่งเรียบ แสดงท่าทีให้เขาพูดต่อไป
“ชายแดนเกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของแผ่นดิน ไม่อาจละเลย กระหม่อมยินดีบริจาคสมบัติของโค่ว ชิงชิงหลานสาวกระหม่อมทั้งหมดเพื่อสั่งสมบุญกุศลให้นางพ่ะย่ะค่ะ”
พอเอ่ยเช่นนี้ แววตาบรรดาขุนนางมองไปทางรองเจ้ากรมต้วนก็ผิดแผกไป
เจ้าแซ่ต้วนนี้หมายความอย่างไร จะบริจาคเงินอีกแล้ว?
เอะอะก็ต้องควักกระเป๋า มีขุนนางปกติที่ใดต้องแบ่งเบาภาระราชสำนักเช่นนี้ด้วย
รับรู้ได้ถึงสายตาไม่พอใจของสหายขุนนาง รองเจ้ากรมต้วนได้แต่โอดครวญในใจ
เขาเองก็ไม่อยาก!
การก้าวออกมาครั้งนี้ไม่เพียงแต่เสียเงินทอง ยังล่วงเกินสหายขุนนางด้วยกัน แต่เงินก้อนนี้เก็บไว้ไม่ได้ และการล่วงเกินสหายขุนนางดีกว่าล่วงเกินฮ่องเต้มากนัก…
“อ้อ รองเจ้ากรมต้วนจะบริจาคเท่าไรนะ” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พยายามฝืนบังคับสีพระพักตร์ แต่ก็ยังอดเผยท่าทางประหลาดใจระคนยินดีไม่ได้
รองเจ้ากรมต้วนก้มศีรษะเล็กน้อย “กระหม่อมบริจาคแทนหลานสาวสี่แสนตำลึงพ่ะย่ะค่ะ”
……….