สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - ตอนที่ 1620 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1460
บอดี้การ์ดในชุดดำ4คนล้อมทั้งสองคนไว้ทั้งสี่ด้าน ยามที่อยู่ที่ตรงประตูก็ก้มคำนับทั้งสองคน ซางหัวมองอย่างตาร้อน ทั้งหมดนี่เป็นสิ่งที่เธอวาดฝันมาตลอด การได้อยู่เหนือคนทั้งปวง
เธอยังคงมองไปที่อ้าวเสว่ ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าตัวเองสวย ถ้าเธอมีพ่อที่รวยเธอน่าจะมีโอกาสมากขึ้นกว่านี้
เธอเกลียดพ่อตัวเองที่เปิดโกดังซ่อมรถขึ้นมาทันใด ส่งเธอให้เรียนสูงๆแล้วทำอะไรได้ สุดท้ายก็เทียบลูกคนรวยไม่ได้!
เธอจับพลัดจับผลูตามเข้าไปด้วย เห็นอ้าวเสว่กับคุณนายเข้าไปในร้านขายของเด็กเล็กทั้งสองคนซื้อของไม่มองป้ายราคาด้วยซ้ำ แค่มองแล้วชอบก็มีคนจัดการส่งถึงบ้านตระกูลเย่แล้ว ใครก็ต่างมองพวกเขาด้วยสายตาเคารพนับถืออย่างกับเห็นเทพเจ้าความมั่งคั่ง เธอคิดว่าถ้าสายตาพวกนั้นมองมาที่เธอบ้าง
อ้าวเสว่ไปเข้าห้องน้ำ เหลือฝู้เฟิงหยีกำลังดูเสื้อผ้าคนเดียว ทันใดนั้นก็มีคนวิ่งเข้ามา เธอหันมอง “ซางหัว?”
“คุณนายคะ คุณช่วงซางหัวหน่อยนะคะ ฉันต้องการแค่แสนสาม แสนสามสำหรับบ้านตระกูลเย่เป็นแค่เศษเงิน คิดซะว่าฉันเคยรับใช้คุณนะคะ!”
ฝู้เฟิงหยีขมวดคิ้วมองสภาพที่อดยากอนาถาของเธอ “เป็นเพราะเธอ หลานของฉันเกือบไม่รอดแล้ว เธอยังคิดว่าฉันจะให้เงินเธออีกหรอ?”
“ฉันท้องได้นี่คะคุณนาย คุณนายจะให้ฉันท้องกี่คนก็ได้!”ซางหัวไม่คิดอะไรทั้งนั้นแล้ว ตอนนี้เธอจำเป็นต้องใช้เงนมาก
ฝู้เฟิงหยีไม่ชอบใจเป็นอยอ่างมาก กำลังอยากจะให้บอดี้การ์ดเอาตัวเธอไป อ้าวเสว่ออกมาจากห้องน้ำแล้ว เธอได้ยินกับคำพูดของซางหัวพอดี ไม่เพียงแค่เฉยชาต่อความอัปยศของผู้หญิงคนนี้ เธอยังพูด “’งั้นเธอก็ไปหาคนมีลูกเป็นโหลด้วยเถอะไป”
ซางหัวลังเลครู่หนึ่ง เธอถึงกับคุกเข่าลงบนพื้น “คุณนายคะ ฉันต้องการเงินแสนกว่านั่นจริงๆ เงินนั่นเป็นแค่รายได้เล็กน้อยในวันนึงของศูนย์การค้านานาชาติเท่านั้นเอง คุณนายช่วยฉันเถอะนะคะ”
“ทำไมเธอต้องคิดว่าทุกคนต้องช่วยเหลือเธอ แค่เพราะว่าเขามีเงินงั้นหรอ?”อ้าวเสว่พูดอย่างไม่เกรงใจ กลับต้องตะลึงที่ถูกซางหัวมองด้วยสีหน้าหวาดกลัวเลือดขึ้นหน้า
แววตานั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ทั้งยังราวกับว่าจะฉีกเธอเป็นชิ้นๆในวินาทีถัดมา ฝู้เฟิงหยีก็รู้สึกได้ เธอลากให้อ้าวเสว่ออกมา ใช้สายตาเรียกพี่เลี้ยงสองคนที่อยู่ข้างๆ
ซางหัวมองทั้งสองคนที่ห่างออกไปเรื่อยๆ เธอลุกขึ้นอย่างดูไม่ได้ คำพูดดีๆก็พูดไปหมดแล้ว คุกเข่าก็ทำแล้ว พวกคนรวยพวกนี้ดูโชว์แล้วกลับไม่จ่ายตังค์! พวกเขาต้องจงใจทำแบบนี้แน่ ความเกลียดชังที่ก่อตัวขึ้นในใจของเธอ ได้กัดกินหัวใจเธอขึ้นทีละน้อย
ตอนกล่างคืน
ติงยียีนอนกลับตัวไปมา ฝนกำลังตกโปรยปรายที่นอกหน้าต่าง เครื่องทำความอบอุ่นในห้องเปิดอย่างดี ไม่ต้องห่มผ้าก็ไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็น
ท้องเธอร้องจ๊อกๆ วันนี้ออกมาอย่างรีบร้อน อาหารก็ยังกินไม่อิ่ม เธออยากจะนอนแต่กลับได้ยินเสียงท้องร้องที่ดังขึ้นกว่าเดิมอีก
เธอลุกขึ้นมา แพนด้าได้ยินเสียงขยับก็รีบลุกจากพรมมานอนข้างๆเธอ เธอลูบหูแพนด้า “เป็นไง หิวแล้วหรอ?”
แพนด้าร้องหงุงหงิง เลียมือของเธอ ติงยียีรู้ว่าปกติแล้วแพนด้าจะออกไปหาอาหารกินเองได้ วันนี้เธออกไปข้างนอก มันน่าจะอยากอยู่ดูแลบ้านเลยไม่ได้ออกไปแน่ๆ
เธอลุกขึ้นมาใส่เสื้อคลุม เปิดประตูเบาๆ หันหน้ามาคุยกับแพนด้า “ไปกัน พาแกไปกินของอร่อย!”
ทั้งสองเดินย่องผ่านระเบียงทางเดิน แพนด้าวิ่งขึ้นมานิดนึงก็โดนติงยียีห้ามไว้ “ชู่ว เสียงเบาหน่อย!”
แพนด้าก็ฟังออก ลดฝีเท้าลง มองไปไม่กี่ก้าวก็หันหน้ามามองติงยียี เห็นว่าเธอเดินตามอย่างช้าๆ หางที่ใหญ่หนาของมันก็ส่ายไปมา
หางของมันแกว่งผ่านแจกันที่ไม่สูงนัก แจกันเอนลงสู่พื้น ติงยียีกรี้ดเสียงเบา รีบวิ่งเข้ามาอย่างทุลักทุเล ในวินาทีที่แจกันกำลังจะตกถึงพื้น เธอก็รับไว้ได้พอดี
แพนด้าหันกลับมา หางของมันแกว่งไปโดนแจกันในมือเธอ “เพล้ง!”แจกันแตกลงตามเสียง ติงยียีถอนหายใจเฮือก วิ่งกลับไปเอากระดาเอสี่ที่ห้อง เขียนชื่อตัวเองลงไป จากนั้นก็วิ่งกลับมาที่ตรงทางเดิน เอากระดาษวางไว้บนแก้วที่แตก แบบนี้ ในตอนที่ทุกคนทำความสะอาดก็จะได้รู้ว่าเธอเป็นคนทำ
เมื่อมาถึงห้องครัว เสียงขวดกระทบกันทำให้ติงยียีต้องหันหาต้นตอ ตอนนี้ดึกมากแล้ว คนรับใช้คนอื่นๆไม่มีทางที่จะอยู่ในห้องครัวได้เด็ดขาด
งั้นในห้องครัวนี่คือใคร?หรือว่าจะเป็นโจร ได้ยินเสียงเบาๆข้างใน ติงยียีคิดไว้ไม่ผิดแน่ว่าต้องเป็นโจร ตาของเธอค่อยๆปรับตัวกับความมืดได้แล้ว เธอมองไปโดยรอบ ในที่สุดก็ยกเก้าอี้ตัวข้างๆขึ้นมาได้
เธอส่งสัญญาณให้แพนด้า รอให้แพนด้าวิ่งเข้าไป ติงยียีก็จะยกเก้าอี้เข้าไปในห้องครัว ให้เก้าอี้เปิดสวิตซ์ไฟ เมื่อไฟในห้องครัวเปิดขึ้น “อย่าขยับ!”
เย่เหนียนโม่ยืนอยู่ข้างตู้เย็น มือของเขาถือแซนด์วิชอยู่ เขามองติงยียีที่ยกเก้าอี้อยู่ด้วยความประหลาดใจ
ติงยียียกเก้าอี้ เสื้อเลิกขึ้นมาทำให้เห็นถึงหน้าท้องขาวๆ สบตาเข้ากับเย่เหนียนโม่ เธอก็รีบวางเก้าอี้ลง ติงยียีถามอย่างประหลาดใจ “คุณก็หิวเหมือนกันเหรอ?”
เย่เหนียนโม่เอาแซนด์วิชเข้าตู้อบเงียบๆ จากนั้นก็เปิดตู้เย็นเอาไข่ไก่และบะหมี่ออกมาอีก แซนด์วิชส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ไข่ไก่ที่อยู่ในหม้อน้ำเดือดเสียงปุปุ ผสมผสานกับกลิ่นหอมของแซนด์วิช
ติงยียีจับแก้มตัวเองตื่นตากับวินาทีนี้มาก เย่เหนียนโม่เอาบะหมี่ผักวางวี่หน้าเธอ จากนั้นก็ตักซุปวางไว้บนพื้นให้แพนด้า หันกลับไปหยิบแซนด์วิชออกมาจากตู้อบ
ติงยียีซดซุป อาศัยโอกาสตอนที่เย่เหนียนโม่ไม่ทันเห็นคีบไข่ไก่ลงไปใต้โต๊ะ แพนด้าคาบเอาไข่ไก่ไป
เย่เหนียนโม่แกล้งทำเป็นไม่รู้ กินแซนด์วิชในมือตัวเองต่อไป ติงยียีได้กินซุปแล้วก็รู้สึกดีขึ้นมาอย่างมาก
สักพักเย่เหนียนโม่ก็กินแซนด์วิชในจากหมดอย่างรวดเร็ว เขาเอาจานไปวางที่ซิงค์ล้าง แล้วก้กลับมานั่งที่เดิม
“คุณทำอะไร?”ติงยียีถามทั้งที่บะหมี่ยังอยู่เต็มปาก เย่เหนียนโมเหลือบมองเธอแปปนึงจากนั้นก็เอานมออกมาจากตู้เย็นอย่างไม่รีบร้อน ดื่มไปทีละคำ
ติงยียีก้มลงกินบะหมี่ ช้าขนาดนี้ เธอดูก็รู้ว่าเขาตั้งใจจะรอเธอ “จากพรุ่งนี้เป็นต้นไป ถ้าหิวก็โทรหาผม ผมทำอาหารให้คุณกินเอง”
เสียงของเย่เหนียนโม่อยู่ๆก็ลอยขึ้นมา ติงยียีตอบกลับ “ฉันทำเองได้”
“อ๋อหรอ?”เย่เหนียนโม่พูดเน้นคำ “ก็เลยเป็นกระเพาะอักเสบ?”
ติงยียีพูดต่อไม่ถูก เย่เหนียนโม่พูดต่อ “ข้าวเย็นของทุกวันต้องกินให้หมดถ้วย”
“ฉันไม่ใช่ลูกสาวคุณนะ จะมายุ่งอะไรเยอะแยะ!”ติงยียีตอบกลับ ทั้งสองคนสบตากันอย่างรวดเร็ว คำพูดเมื่อกี้ทำให้เขินๆอยู่เหมือนกัน ทั้งสองก็ละสายตาออกพร้อมกัน
ติงยียีไม่อยากให้เขารู้ว่าตัวเองหน้าแดง จึงรีบลุกขึ้นไปที่หน้าต่าง พลางบ่น “ร้อนจริงๆเลย ฉันเปิดหน้าต่างหน่อยนะ!”
“รอเดี๋ยว!”เย่เหนียนโม่เพิ่งพูดจบ หน้าต่างก็ถูกติงยียีเปิดออก จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงหวอดังขึ้น
ติงยียีตกใจมาก เย่เหนียนโม่เดินไปปิดหน้าต่าง เสียงหวอเตือนถึงค่อยๆดับลง เขาพูด “ทั้งบ้านตระกูลเย่เนี่ยควบคุมระบบคำความร้อนจากส่วนกลาง ตั้งค่าไว้ว่าห้ามเปิดหน้าต่างตั้งแต่กลางคืนหัวรุ่งถึงตีห้าตอนเช้า ไม่งั้นเสียงหวอเตือนจะดัง”
ติงยียีรู้สึกได้ถึงเรื่องไม่ค่อยดี “เสียงเตือนดังแล้วจะเป็นยังไง?”
เย่เหนียนโม่เลิกคิ้ว เขามองไปที่ระเบียงทางเดิน พ่อบ้านหวังรีบวิ่งมาในชุดคลุมอาบน้ำ คีบรองเท้าแตะวิ่งหน้าตั้งมา ติงยียีไม่เคยเห็นพ่อบ้านในสภาพที่ไม่เรียบร้อยขนาดนี้มาก่อน
“คุณชาย !คุณยียี!”พ่อบ้านอายุมากแล้ว เขาวิ่งหอบมาที่ทั้งสองคน พลางมองไปรอบๆ “มีผู้บุกรุกหรอครับ?”
“พ่อบ้านคะ เป็นฉันเองค่ะ ฉันเป็นคนเปิดหน้าต่าง”ติงยียีก้มหน้ายอมรับอย่างละอายใจ ทำให้คนแก่คนนึงวิ่งหน้าตั้งออกมาตอนตีสามนี่มันไม่สมคววรจริงๆ
“คุณ?”พ่อบ้านชะงักไป มองไปที่ทั้งสองคนสังพักแล้วก็ส่ายหัว “คุฯชายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ งั้นผมไปนอนแล้ว”
เห็นพ่อบ้านเดินโซเซกลับไป ติงยียีรู้สึกผิดมาก เธอพูดแผ่วเบาอย่างไหล่ตก “ฉันไปนอนละ”
เย่เหนียนโม่เห็นเธอแบบนั้น ริมฝีปากของเขาก็ยิ้มขึ้นบางๆ พูดอย่างสบายใจ “มันอาจจะยังไม่จบแค่นี้”
เมื่อพูดจบ หน้าต่างและประตูก็ถูกคนเปิดออก บอดี้การ์ดเจ็ดแปดคนในชุดเต็มยศบุกเข้ามา ในมือยังมีอาวุธต้องห้ามอีกด้วย
บอดี้การืดสองคนรีบวิ่งมาปกป้องที่ข้างตัวติงยียีและเย่เหนียนโม่ ติงยียีถามเสียงเบา “ตอนนี้ทำไงดีล่ะ?”
เย่เหนียนโม่ไม่พูดอะไร ได้แต่มองดูเธอกังวลใจอยู่ด้านข้าง
บอดี้การ์ดตรวจสอบสถานที่ที่เกิดเสียงหวอดัง ถึงขนาดคีบขนสุนัขใส่ถุงพลาสติกสีขาว
ติงยียีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก กำลังจะพูดขอโทษ เย่เหนียนโม่ก็พูดช่วยเธอขึ้นมา “พวกนายมาช้าไปห้านาที ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ ก็ควบคุมสถานการณ์ไว้ไม่ได้แล้ว”
หัวหน้าบอดี้การ์ดรู้สึกละอายใจ ที่จริงแล้วเมื่อกี้ทุกคนกำลังกินหม้อไฟกันอยู่ในหอพัก ความปลอดภัยของบ้านตระกูลเย่ยังไม่มีใครที่อยากเอาตัวเข้าไปเสี่ยง กำลังกินสไบนางอยู่ก็ได้ยินเสียงหวอเตือน บอดี้การ์ดตั้งกี่คนที่แม้แต่ซิปกางเกงยังรูดไม่ดี
“จำไว้ด้วย” เย่เหนียนโม่จากท่าที่สบายๆอยู่ก็เปลี่ยนเป็นเข้มงวดขึ้นมาทันที สีหน้าแววตาก็เฉียบแหลม “อย่าให้มีครั้งต่อไปอีก”
“รับทราบครับ!คุณชาย!”บอดี้การ์ดทยอยกันกลับแบบเป็นระเบียบ ติงยียีมองเขา เขาก็หันหน้ามาพอดี ทั้งสองก็สบตากัน
เย่เหนียนโม่ละสายตาออกก่อน เขาเดินออกไปที่นอกกประตู เดินได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมาถามติงยียี “ยังกินไม่อิ่มหรอ?”
“ไม่นะ!กินอิ่มแล้ว!”ติงยียีรีบเดินตามเขาออกจากห้องครัวไป เย่เหนียนโม่เดินช้ามาก ยังกะเดินเล่นหลังกินข้าว ติงยียีเดินตามเขาอยู่ด้านหลัง มองเขาเดินผ่านห้องตัวเอง เดินต่อไปตามทางระเบียง