สาวใช้ตัวป่วนของท่านแม่ทัพ - ตอนที่ 7
หลังจากต้องเจ็บตัวในวันนั้นแล้ว เหม่ยหวาก็กลับมานั่งคิดทบทวนกับเรื่องที่เกิดขึ้น นางยังคงจดจำรอยยิ้มอันร้ายกาจของนายท่านได้ติดตา เหตุใดนางถึงได้รู้สึกแปลก ๆ ไม่เคยรู้สึกว่ารอยยิ้มของบุรุษใดจะมีเสน่ห์เหมือนรอยยิ้มนี้ ก่อนจะคิดอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้นางจึงส่ายศีรษะไปมา เพื่อสลัดความคิดอันน่าละอายเหล่านั้นออกไปจากสมอง
ถึงแม้ว่าจะโดนทำร้ายจนเลือดตกยางออก แต่นางก็ทำตัวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงอะไร เพียงแค่ระวังตัวมากขึ้นเท่านั้น นางยังคงจำคำมั่นสัญญาของคุณหนูซินอวี่ได้ดี ว่าหากทำให้ท่านแม่ทัพหยางยิ้มได้จะมีของรางวัลให้
“คุณหนูเจ้าคะ”
“อ้าว ว่าอย่างไรเหม่ยเหมย”
“บ่าวมาทวงคำสัญญาเจ้าค่ะ”
“สัญญาอะไรหรือ”
“ก็สัญญาว่าหากบ่าวทำให้นายท่านยิ้มได้ คุณหนูจะมีรางวัลให้เจ้าค่ะ”
“อ๋อ เรื่องนั้นเอง ว่าแต่เจ้าทำให้ท่านพี่ยิ้มได้แล้วหรือ”
“ได้แล้วเจ้าค่ะ นายท่านยิ้มให้บ่าวเมื่อวาน หลังจากยิงธนูเฉียดใบหูบ่าวอย่างใดเล่าเจ้าคะ”
“ท่านพี่ยิ้มเพราะสะใจใช่ไหม”
“เจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นถือว่าไม่นับ เจ้าต้องทำให้เจ้าพี่ยิ้มเพราะมีความสุข ข้าถึงจะมีรางวัลให้”
“คุณหนูก็รู้ดีว่านายท่านเย็นชามากแค่ไหน จะยิ้มแบบนั้นให้บ่าวได้อย่างไรเจ้าคะ”
“ไม่รู้ล่ะเจ้าต้องทำให้ได้ แล้วค่อยมาทวงเอารางวัลกับข้า”
“บ่าวจะทำให้ได้เจ้าค่ะ” เหม่ยหวากล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจัง
คุณหนูซินอวี่ยิ้มอย่างรู้สึกสนุก ไม่เคยมีสาวใช้คนไหนที่กล้าหาญอย่างนี้มาก่อน รู้สึกว่าสตรีนางนี้ล่ะเหมาะที่จะต่อกรกับนิสัยอันเย็นชาและถือตัวของพี่ชายได้
ขณะเดินตรงไปยังเรือนที่พักของนายท่าน เหม่ยหวาก็เอาแต่คิดหาวิธีที่จะทำให้เขายิ้มให้ อะไรกันนะที่จะทำให้บุรุษคนหนึ่งยิ้มได้ นอกจากเรื่องขำขันแล้วยังจะมีเรื่องอะไรอีกนะ คิดยังไม่ทันจบสิ้นกระบวนการนางก็เดินมาถึงแล้ว
ตอนนี้จื่อถงกำลังนั่งอยู่ในห้องหนังสือ เขากำลังตั้งใจตวัดปลายพู่กันลงบนกระดาษอย่างบรรจง น้ำหมึกสีดำปรากฏเป็นอักษรงดงาม จนทำให้คนที่แอบยืนดูอยู่นั้นรู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง เหม่ยหวาไม่เคยได้มีโอกาสเรียนหนังสือ ส่วนหนึ่งก็เพราะฐานะทางบ้านยากจน หากไม่ใช่ลูกเศรษฐีหรือขุนนาง สตรีก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสเรียนหนังสือกันสักเท่าไหร่
“นายท่านเจ้าคะ”
จู่ ๆ ก็มีเสียงมารบกวนสมาธิ ทำให้ปลายพู่กันเป๋ไปอีกทาง สิ่งที่ตั้งใจมากลับกลายเป็นศูนย์ กระดาษแผ่นนั้นมันใช้งานไม่ได้อีกแล้ว เขาจะต้องเขียนใหม่ และเหตุผลนี้ทำให้จื่อถงหันขวับไปมองยังต้นเสียงด้วยสายตาที่อำมหิต
“อยากตายหรือยังไง! ไม่มีตาดูหรือว่าข้ากำลังเขียนหนังสืออยู่”
“เห็นเจ้าค่ะ บ่าวยืนดูอยู่ตั้งนาน” นางพูดแล้วยิ้มตาหยี ราวกับไม่ได้รู้สึกว่าตนเองเป็นฝ่ายผิดอะไร
“เจอกับเจ้าทีไร ข้ามีแต่เรื่องให้ปวดกบาล ออกไป! ข้าไม่มีสมาธิ”
“บ่าวจะนั่งดูเฉย ๆ เจ้าค่ะ บ่าวสัญญา บ่าวชอบดูเวลานายท่านเขียนหนังสือ นะเจ้าคะ ให้บ่าวอยู่ด้วยเถอะ บ่าวจะไม่ทำเรื่องเดือดร้อนให้นายท่านแน่นอน” เหม่ยหวาคลานเข้ามานั่งห่างจากโต๊ะทำงานไม่ใกล้ไม่ไกล เว้นระยะห่างไว้เผื่อว่าจะโดนนายท่านทำร้ายอีก
“ก็ได้ แต่ห้ามพูดจนกว่าข้าจะถาม”
“เจ้าค่ะ”
เมื่อได้รับอนุญาตแล้วนางก็ยิ้มแป้น ยื่นใบหน้าเข้าไปดูฝีมือการตวัดปลายพู่กันเป็นตัวอักษรของนายท่านอย่างตั้งใจ ไม่รู้จ้องมองไปอีท่าไหนนางถึงได้เบนสายตาจากแผ่นกระดาษขึ้นไปมองหน้านายท่านผู้แสนเย็นชา กรอบหน้าคมคาย ผิวกายขาวสะอาดหมดจรดไม่แพ้สตรี นางนึกแปลกใจว่าเหตุใดท่านแม่ทัพที่ออกรบ ทำการศึก อยู่แต่ในสนามฝึกอย่างนี้ถึงได้มีผิวพรรณดีเหลือเกิน ยิ่งมองใบหน้าอันไร้รอยยิ้ม ยิ่งรู้สึกน่าค้นหา ไม่อาจละสายตาไปไหนได้ นางตกอยู่ในภวังค์อย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งนายท่านหันขวับมามองหน้านาง สายตาทั้งสองคู่ประสานกันแวบหนึ่ง นางแทบจะหุบยิ้มไม่ทัน
“หน้าข้ามีอะไรงั้นหรือ ถึงได้จ้องขนาดนั้น”
“ปะ…เปล่าเจ้าค่ะ บ่าวแค่บังเอิญมองก็เท่านั้น”
“แน่หรือ ไม่ใช่ว่าคิดอะไรลึกซึ้งกับข้าหรอกนะ”
“เปล่านะเจ้าคะ บ่าวไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย บ่าวยังเด็กไม่เคยคิดเรื่องอย่างนั้นเลยนะเจ้าคะ”
“เห็นอย่างนี้ข้าก็เลือกนะ เตือนเอาไว้ก่อนว่าอย่ามาให้ท่าข้า เพราะข้าไม่มีวันเอาสาวใช้มาทำเมียหรอก”