สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย - บทที่ 536 มีลูกเต็มบ้าน หลานเต็มเมือง
บทที่ 536 มีลูกเต็มบ้าน หลานเต็มเมือง
บทที่ 536 มีลูกเต็มบ้าน หลานเต็มเมือง
ลู่อี้มองไปทางที่นางชี้ จึงเห็นมู่เจิ้งหานกำลังพูดคุยกับแม่นางน้อยที่แต่งกายเรียบง่ายผู้หนึ่ง ทั้งสองคนดูเหมือนกำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุข
“แม่นางเจียง นี่ก็มืดมากแล้ว ให้ข้าไปส่งท่านกลับก่อนเถอะ!” มู่เจิ้งหานเอ่ยกับแม่นางน้อยผู้นั้น
แม่นางน้อยคนนั้นหรือก็คือเจียงอีเมิ่งพยักหน้าเบา ๆ “เช่นนั้นรบกวนท่านแล้ว”
“อย่าได้เอ่ยเช่นนั้นเด็ดขาด หากท่านไม่เตือนข้า ถุงเงินของข้าคงโดนหัวขโมยชิงไปแล้ว ทว่าครั้งหน้าท่านอย่าได้สู้กับอีกฝ่ายเป็นอันขาด หากคนผู้นั้นจัดการได้ยาก ท่านจะเดือดร้อนเอาได้” มู่เจิ้งหานกล่าว
“ข้าไม่ได้โง่เสียหน่อย!” เจียงอีเมิ่งเอ่ย “เท้าของคนผู้นั้นมีปัญหา รูปร่างเตี้ยสั้น มีข้อได้เปรียบแค่เพียงปราดเปรียวว่องไวเท่านั้น ข้าประเมินกำลังขาของเขาแล้วและคิดว่าความคล่องแคล่วของข้าเหนือกว่า แค่นั้นก็เพียงพอที่จะลงมือจัดการเขาแล้ว”
“หากเขามีผู้สมรู้ร่วมคิดเล่า?” มู่เจิ้งหานยอมรับว่าแม่นางน้อยกล่าวได้ไม่ผิด หัวขโมยคนนั้น ภายใต้ความภาคภูมิแห่งโอรสสวรรค์เช่นนี้ เขายังกล้าขโมย ช่างใจกล้าไม่เบา
“ตรงนี้เป็นที่พลุกพล่าน ท่านที่เป็นเจ้าทุกข์ก็อยู่บริเวณนี้ ข้าเห็นว่าดวงตาท่านกระจ่าง ท่าทีดูมีคุณธรรม ดูไม่เหมือนคนลืมบุญคุณคน!” เจียงอีเมิ่งเอ่ยอย่างมีเหตุมีผล
มู่เจิ้งหานเกาหัวเบา ๆ “ข้ายังรู้สึกว่าท่านบุ่มบ่ามเกินไป”
“ท่านนี่จริง ๆ เลย ข้าช่วยท่าน แต่ท่านกลับบ่นข้าไม่หยุด “เจียงอีเมิ่งระเบิดหัวเราะออกมา “เอาเถอะ ข้ารู้ว่าท่านหวังดี ท่านวางใจเถิด ข้าไม่ได้หุนหันพลันแล่นเช่นนี้ตลอด”
เพราะเห็นว่าชายตรงหน้าโง่งมเพียงใด เมื่อครู่นางจึงหุนหันพลันแล่นขึ้นมา ไม่แม้แต่จะทันคิดก็ตีเจ้าหัวขโมยคนนั้นด้วยตะกร้าในมือและจัดการเขา ก่อนจะคว้าเอาถุงเงินจากมืออีกฝ่ายกลับมาคืน
“อย่างไรก็ต้องขอบคุณท่าน” มู่เจิ้งหานเอ่ย “ไปเถอะ ข้าจะส่งท่านกลับ”
มู่ซืออวี่เห็นมู่เจิ้งหานและแม่นางน้อยผู้นั้นกำลังจะไปแล้ว จึงก้าวออกไปหมายจะตาม ทว่าลู่อี้กลับคว้าแขนนางไว้ “เจ้าคิดจะทำอันใด?”
“ข้าอยากเห็นว่าพวกเขาจะไปที่ใด” มู่ซืออวี่เอ่ย “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นน้องหานเข้ากันกับแม่นางคนหนึ่งได้ดีเพียงนี้ ท่านไม่สงสัยว่าพวกเขารู้จักกันได้อย่างไรหรือ?”
“หากเป็นคนที่โชคชะตาลิขิตมา ถึงเวลานั้นเขาจะเป็นฝ่ายบอกพวกเราเอง หากพวกเรารีบร้อนปรากฏตัวตอนนี้จะทำให้พวกเขาตกใจเปล่า ๆ” ลู่อี้รั้งแขนนางไว้ไม่ยอมปล่อย “เจ้าไม่ได้อยู่กับข้านานเพียงใดแล้ว? วันนี้ไม่ว่าจะเป็นน้องชายเจ้าหรือเป็นลูกชายลูกสาวของเรา ผู้ใดก็อย่าได้คิดจะพาเจ้าไปจากข้า พวกเราไปดูทางนั้นกันเถอะ ข้าได้ยินว่าทางนั้นมีต้นบุพเพ…”
“น้องหานปีนี้อายุสิบเจ็ดแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “หากพวกเราอยู่ที่ชนบท วัยนี้ควรเอ่ยถึงเรื่องแต่งงานแล้ว”
ลู่อี้หยุดฝีเท้า
มู่ซืออวี่เดินไปไม่กี่ก้าวก็พบว่าไม่มีคนอยู่ข้างกาย นางจึงหันกลับไปมอง
“มีอันใดหรือ?”
“ฮูหยินลู่…” ลู่อี้ยิ้มน้อย ๆ “ตอนนี้ข้าอัปลักษณ์ลงหรือ? ตอนนี้เจ้าจึงใช้เวลาอยู่กับข้าน้อยลงเรื่อย ๆ แล้ว แม้กระทั่งหน้าข้ายังไม่ยอมมอง”
มู่ซืออวี่ “…”
ประโยคเช่นนี้ไม่ใช่ว่าควรเป็นสตรีเรือนหลังที่เอื้อนเอ่ยออกมาหรือ?
นางไม่อยากกลายเป็นสตรีออกเรือนที่น่าหดหู่เช่นนั้น ถึงได้ขยันหมั่นเพียรตรากตรำทำงาน และเปลี่ยนตนเองให้กลายเป็นหญิงแกร่ง!
“ใต้เท้าลู่” มู่ซืออวี่เดินเข้าไปหา ดึงแขนเขาเข้ามากอด “ท่านจะอัปลักษณ์ได้อย่างไร? ในสายตาข้า ท่านเป็นบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดในโลกหล้านี้ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรใต้เท้าลู่จึงจะมีความสุข?”
“เจ้าอยากทำให้ข้ามีความสุขหรือ?”
“แน่นอน”
ลู่อี้โน้มเข้าไปใกล้ ๆ ใบหูของมู่ซืออวี่ แล้วเอ่ยกระซิบสองสามคำ
ใบหน้าของมู่ซืออวี่กลายเป็นสีแดง นางจ้องมองเขาด้วยสายตาดุร้าย “ใต้เท้าลู่ สหายร่วมงานของท่านรู้หรือไม่ว่าภายใต้ใบหน้าเข้มงวดของท่านนี้ซ่อนเร้นวิญญาณร้ายเอาไว้?”
“พวกเขาไม่จำเป็นต้องทราบ ขอแค่เพียงฮูหยินทราบก็ใช้ได้แล้ว” ลู่อี้กอดนาง “ดึกดื่นมากแล้ว พวกเรากลับเถอะ!”
“ยังซื้อของต่อได้…”
“ฮูหยินลู่อยู่ที่ถนนแห่งนี้ ใจกลับไม่อยู่ที่นี่แล้ว ซื้อของต่อก็ไม่มีประโยชน์อันใดอีก มิสู้กลับไปเร็วหน่อย เจ้าว่าอย่างไรเล่า?”
ณ จวนสกุลลู่ ลู่ฉาวอวี่เขียนบทความด้วยความรวดเร็ว ในที่สุดก็เขียนบทความสุดท้ายเสร็จ
“นายน้อย นี่เป็นโจ๊กเห็ดหูหนูขาวใส่รังนกที่ฮูหยินสั่งห้องครัวทำไว้ ท่านลองชิมดูเถิด!” ผู้ติดตามกล่าว
“ได้”
“วันนี้ทุกคนล้วนออกไปเดินเล่นที่ตลาดกลางคืน เหตุใดนายน้อยไม่ไปเล่าขอรับ?”
“น่าเบื่อ” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยนิ่ง ๆ “เอาเวลาระหว่างนี้ไปทำอย่างอื่นได้อีกมากมายหลายสิ่ง”
“ขอรับ”
“เสี่ยวชิงเอ๋อร์นอนแล้วหรือยัง?”
“ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ ข้าน้อยจะไปถามแม่นม”
“หากนอนแล้ว เช่นนั้นก็อย่าได้รบกวนนาง หากยังไม่นอน พามาให้ข้าดู”
“ขอรับ”
แน่นอนว่าลู่จื่อชิงยังไม่นอน เด็กน้อยคนนี้กำลังอยู่ในวัยคึกคัก นางสัมผัสไปเสียทุกอย่างที่นางพบเห็น แม่นมและสาวใช้ต่างต้องคอยจ้องนางไม่ให้คลาดสายตา
มู่ซืออวี่ทำของเล่นมากมายด้วยตนเอง รวมไปถึงกระดานลื่น บ้านของเล่น อีกทั้งยังมีของเล่นอีกหลายชนิด คุณหนูตัวน้อยจึงเล่นได้อย่างเต็มที่
ผู้ติดตามอุ้มลู่จื่อชิงเข้ามาในห้องของลู่ฉาวอวี่
“ท่านพี่…” ลู่จื่อชิงป้ายน้ำลายลงบนหน้าของลู่ฉาวอวี่
ลู่ฉาวอวี่ “…”
เสียใจที่เรียกหานางตอนนี้ยังทันอยู่หรือไม่?
เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน
แน่นอนว่าเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์อายุเท่ากันกับเขา ในวัยนี้เขายังคงไม่รู้เรื่องรู้ราว จะจำได้อย่างไรว่านางชอบป้ายน้ำลายบนใบหน้าผู้อื่นหรือไม่?
ลู่จื่อชิงกะพริบดวงตากลมโตใสซื่อบริสุทธิ์ของนาง ปัดป่ายมือมาทางลู่ฉาวอวี่ “คิก ๆ อุ้ม ๆ หอม ๆ ยกสูง ๆ…”
เมื่อลู่จื่ออวิ๋นกลับมาแล้วได้ยินว่าเสี่ยวชิงเอ๋อร์อยู่ที่ห้องของลู่ฉาวอวี่ จึงรุดมาเล่นกับพี่ชายและน้องสาวของตน
“เหตุใดร่างกายเจ้าจึงมีกลิ่นผงกำมะถันแดงเล่า?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยถาม
ลู่จื่ออวิ๋น “…”
ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงแล้ว
“บางทีอาจติดมาจากตลาด”
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ เมื่อก่อนเจ้าไม่เคยโกหกพี่ชาย” ลู่ฉาวอวี่ยิ้มบาง ๆ
ลู่จื่ออวิ๋น “…”
เมื่อเผชิญกับรอยยิ้มหน้าตายของลู่ฉาวอวี่ ลู่จื่ออวิ๋นก็พ่ายแพ้หมดท่า
นางอธิบายที่มาที่ไปโดยละเอียด
“ท่านพี่ พี่ชายที่แสนดีของข้า ท่านอย่าได้บอกท่านพ่อท่านแม่เลยนะเจ้าคะ”
“เจ้ากลัวอันใด? หากท่านพ่อท่านแม่รู้เข้า เช่นนั้นเรื่องคงมิง่ายดายเพียงแค่ขู่ให้นางกลัวเช่นนี้”
“ข้ารู้ดี แต่อย่าให้เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้รบกวนพวกเขาเลย ข้าจัดการเองได้” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ท่านแม่เคยกล่าวไว้ว่า มีเพียงตนเองแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นจึงจะไร้ข้อผิดพลาด”
ลู่ฉาวอวี่พยักหน้า “วางใจเถอะ ข้าไม่พูด”
“ท่านพี่ของข้าดีที่สุดแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นกอดแขนลู่ฉาวอวี่
“ปล่อยมือ ไปอาบน้ำเสีย” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยด้วยสีหน้ารังเกียจ “กลิ่นเจ้าเหม็นยิ่งนัก หากรอท่านพ่อท่านแม่กลับมา เจ้าอาจจะปิดบังท่านแม่ได้ แต่เจ้าจะปิดบังท่านพ่อได้หรือ?”
ลู่จื่ออวิ๋นลุกขึ้นทันที “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
ลู่อี้และมู่ซืออวี่กลับมาแล้ว ทว่าพวกเขาไม่มีเวลาไปดูเด็ก ๆ ว่าเป็นอย่างไร ตอนที่กลับมา มู่ซืออวี่รู้เพียงว่าลู่จื่ออวิ๋นและลู่ฉาวอวี่อยู่ที่บ้าน ส่วนเสี่ยวชิงเอ๋อร์อยู่ที่ห้องพี่ชายของนาง จากนั้นฮูหยินลู่ก็ถูกลู่อี้พากลับไปที่ห้องแล้ว
ส่วนเกิดอันใดขึ้นภายในห้องนั้น มิต้องเอ่ยถึงบ่าวรับใช้จวนลู่ แม้กระทั่งพระจันทร์บนฟากฟ้ายังมิกล้าเอ่ย
“พ่อบ้าน ฮูหยินและนายท่านของพวกเรารักใคร่ดูดดื่มกันเช่นนี้ อีกไม่นานเราคงมีเจ้านายน้อยคนใหม่อีกใช่หรือไม่?” พ่อบ้านรองเอ่ยถามพ่อบ้านใหญ่
พ่อบ้านใหญ่ยิ้มแล้วลูบเครา “มีลูกเต็มบ้าน มีหลานเต็มเมือง นี่มิใช่เรื่องดีหรือ?”
สิ่งสำคัญที่สุดคือเด็กหลายคนล้วนเกิดจากมารดาคนเดียวกัน จึงสามารถหลบเลี่ยงความร้าวฉานภายในครอบครัวได้