สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย - บทที่ 1134 ตอนพิเศษ (35-1)
บทที่ 1134 ตอนพิเศษ (35-1)
บทที่ 1134 ตอนพิเศษ (35/1)
โจรกลุ่มหนึ่งขี่ม้ายืนอยู่เบื้องหน้า
โจรทุกคนดูโหดเหี้ยม จ้องมองทหารที่อยู่ตรงหน้าอย่างมุ่งร้าย
ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “ทุกท่านหมายความว่าอย่างไร?”
“เจ้าคิดว่าดาบในมือเรามีไว้ประดับกายเท่านั้นหรือ? ถึงได้ถามออกมาเช่นนั้น” หัวหน้าโจรกล่าว “วางกล่องเหล่านี้ลง แล้วบิดาจะไว้ชีวิตพวกเจ้า!”
“หากพวกเจ้าจากไปตอนนี้ ข้าต่างหากที่จะใจดีไว้ชีวิต!” ลู่ฉาวจิ่งยิ้มเยาะ
“ดีนี่ วันนี้พบคนไม่กลัวตาย พี่น้องทั้งหลาย แสดงฝีมือดาบเราให้พวกเขาดูหน่อย” หัวหน้าโจรกวัดแกว่งดาบเล่มใหญ่แล้วควบม้าพุ่งเข้ามา
โจรคนอื่น ๆ ตามมาติด ๆ ตะโกนเสียงดังแล้วรีบวิ่งเข้ามาหาพวกเขา ดูจากรอยยิ้มอันชั่วร้ายบนใบหน้าแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้เห็นทหารเหล่านี้อยู่ในสายตา
ทหารเริ่มวิตกกังวล
หัวหมู่จางกล่าว “กลัวอะไร? ลูกผู้ชายอกสามศอก แต่ละคนก็ไม่ได้ด้อยกำลังไปกว่าพวกเขา อย่างเลวร้ายที่สุดหากเราต่อสู้ก็ต้องทำให้ปลาตายตาข่ายขาด”
นายร้อยหลี่เอ่ย “โจรพวกนี้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลา พวกเราจะเป็นคู่ซ้อมของพวกมันได้อย่างไร?”
ขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน เหล่าโจรก็ห้อตะบึงเข้ามาแล้ว
ลู่ฉาวจิ่งเอ่ยกับทหารที่อยู่ข้างหลัง “หากสู้ตาย ยังมีโอกาสรอดจากดาบของพวกเขา หากยอมแพ้เช่นนี้ก็มีแต่ทางตัน ทุกท่านอย่าได้ลืม นายกองเซี่ยวบอกเราว่า กล่องอยู่คนอยู่ กล่องไม่อยู่พวกเราตาย หากจะตาย ก็ไม่สู้วอดวายไปพร้อมกับพวกเขา!”
“สู้! มีเพียงต้องสู้เท่านั้น”
“พวกเราไม่มีทางอื่นแล้ว”
ลู่ฉาวจิ่งรีบวิ่งเข้าไปพร้อมดาบในมือ
เขาเหวี่ยงดาบเพียงครั้งเดียว โจรทั้งสามก็ตกลงมาจากหลังม้า
เดิมทีเหล่าทหารไม่มีความมั่นใจ คราวนี้จู่ ๆ ก็ได้รับความมั่นใจขึ้นมาเมื่อเห็นภาพดังกล่าว
ที่แท้โจรเหล่านี้เป็นเพียงคนธรรมดา เพียงแต่พวกเขาไม่คิดถึงชีวิตจึงได้ดูน่ากลัว
ขอเพียงพวกเขาสู้ตายมากกว่าโจรเหล่านั้น บางทีพวกเขาอาจจะต่อสู้จนหาทางออกได้จริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ลู่ฉาวจิ่งยังมีฝีมือร้ายกาจ มีขุนเขาลูกใหญ่นี้อยู่ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางชนะ
ชิ้ง!
หัวหมู่จางมองดาบของโจรที่ฟันลงมา
พริบตานั้น เขาราวกับเห็นหน้าม้าหัววัวในตำนาน
เขามองดูดาบที่เหวี่ยงลงมาด้วยความหวาดหวั่น
ก่อนจะเห็นว่าคมดาบเข้ามาใกล้ศีรษะตนมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาควรรีบหลีกหนี หากหลีกหนีในยามนี้คงสามารถกู้ชีวิตกลับมาจากวังพญายมได้
อย่างไรก็ตาม…
หัวหมู่จางกลับแข็งทื่อไปทั้งตัว
ขาทั้งสองข้างดูเหมือนจะไม่ใช่ขาของเขาอีกต่อไป พวกมันสั่นตลอดเวลา
เขาปิดตาลง
หลังจากรอพักหนึ่ง ความเจ็บปวดที่คาดไว้ก็ไม่เกิดขึ้น
เขาค่อย ๆ ลืมตามอง
ก่อนจะเห็นลู่ฉาวจิ่งยืนบังอยู่ตรงหน้า ในมือถือดาบของโจรผู้นั้นไว้แล้ว
“ท่าน…”
“พี่จาง ไม่เป็นไรกระมัง?” ลู่ฉาวจิ่งถาม
หัวหมู่จางอ้าปากค้าง ใช้เวลานานกว่าจะหาเสียงของตนเจอ “ข้าไม่เป็นไร”
ลู่ฉาวจิ่งกล่าว “ทางนี้มอบให้ข้าจัดการ ท่านไปช่วยพี่หลี่เถอะ”
หัวหมู่จางกล่าว “ขอบคุณ”
ภายใต้ความกล้าหาญของลู่ฉาวจิ่ง ไม่นานพวกโจรก็พบว่าเตะแผ่นเหล็กเข้าให้แล้ว
หัวหน้าโจรมองดูลู่ฉาวจิ่งอย่างไม่ยอมแพ้ เขากัดฟันเอ่ย “บิดาจะจำเจ้าไว้!”
“ไป!”
กลุ่มโจรจากไปแล้ว
เมื่อโจรจากไป สิ่งที่เหลือจึงมีเพียงความยุ่งเหยิงและฝุ่นผงเท่านั้น
ทหารไม่สนใจว่าตนเองจะสกปรกหรือไม่ พวกเขานั่งลงบนพื้นพลางหอบหายใจอย่างหนัก
“ข้าเกือบตายที่นี่แล้ว”
“ขอบคุณนายร้อยลู่”
ลู่ฉาวจิ่งปาดเหงื่อ “บอกตรง ๆ ข้าก็แสร้งทำเป็นไม่กลัวเช่นกัน”
“ท่านมีฝีมือยอดเยี่ยมเพียงนี้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น”
“ข้าเป็นเพียงไม้ประดับ จะเทียบกับคนที่เคยเลียเลือดจากคมมีดได้อย่างไร? ในสถานการณ์นั้น ข้าทำได้เพียงกัดฟันทน” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “ขอเพียงโจรพวกนั้นยังยืนหยัดอยู่ได้อีกสักระยะก็จะพบว่าข้าได้พยายามเต็มที่และใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มทีแล้ว”
เมื่อทหารได้ยินสิ่งที่เขาพูดก็รู้สึกขอบคุณลู่ฉาวจิ่งมากยิ่งขึ้น
ท้ายที่สุดการพยายามอย่างเต็มที่ ถึงขนาดช่วยพวกเขาโดยไม่สนความปลอดภัยของตัวเองก็แสดงให้เห็นว่าคนผู้นี้ให้ความสำคัญกับพี่น้องเพียงใด หากบอกว่ามีกำลังเหลือเฟือในการจัดการโจรเหล่านั้น นั่นจะแสดงน้ำใจมากมายเพียงนี้ได้อย่างไร?
“นายร้อยลู่ ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?”
ลู่ฉาวจิ่งเป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุด
แม้จะไม่ได้ถามอายุของเขาแต่ก็บอกได้จากรูปร่างหน้าตาที่ดูแล้วไม่ถึงยี่สิบปี เทียบกับนายทหารคนอื่น ๆ แล้ว อายุเท่านี้ถือเป็นลูกชายได้เลย
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ทุกคนล้วนเชื่อมั่นในตัวลู่ฉาวจิ่ง
ดูจากชื่อที่เรียกขานสิ ตอนนี้ลู่ฉาวจิ่งกลายเป็นนายท่านลู่ไปแล้ว
ชายหนุ่มกล่าว “พวกเราไปจากที่นี่ก่อนเถอะ เกรงว่าโจรพวกนั้นจะมีพวกพ้องคนอื่น ๆ หากพวกเขากลับมาพร้อมกับกำลังเสริม เราคงทำได้เพียงรอคอยความตาย ตอนนี้พวกเราเร่งหาที่ที่ปลอดภัยก่อนมืดเพื่อพักผ่อนจะดีกว่า”
คนทั้งกลุ่มรีบเดินทางต่อไป
ก่อนฟ้ามืด พวกเขาก็พบศาลาพักม้าแห่งหนึ่ง
ศาลาพักม้าแห่งนี้ค่อนข้างเก่าและผู้จัดการศาลาพักม้าก็แก่แล้ว ทั้งยังหูไม่ดี พวกเขาจึงต้องร้องตะโกนเสียงดังถึงจะสื่อสารกันรู้เรื่อง
“ท่านผู้เฒ่า ที่นี่มีโรงหมอหรือไม่?”
“อะไรนะ? โรงพักม้า นี่อย่างไรโรงพักม้า!”
“โรงหมอ!”
“โรงศพ? ผู้ใดเสียหรือ ไยจึงต้องการโรงศพเล่า?”
ลู่ฉาวจิ่ง “…”
หัวหมู่จางก้าวออกมาเอ่ย “นายท่านลู่ ช่างเถอะ อาการบาดเจ็บของทุกคนไม่ได้ร้ายแรง เพียงแค่ทำแผลก็เป็นอันใช้ได้แล้ว”
ลู่ฉาวจิ่งมองทหารที่อยู่ตรงหน้าแล้วเอ่ย “ไม่ได้ อากาศร้อน หากไม่รักษาแผลให้ดี ๆ จะอักเสบได้ง่าย เอาอย่างนี้ พวกท่านรอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปสำรวจดูรอบ ๆ หากเจอท่านหมอเท้าเปล่าสักคนก็ยังดี”
“ดึกดื่นเพียงนี้ อีกอย่างท่านก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” หัวหมู่จางกล่าว “หาลูกน้องสักคนมาจัดการก็ได้ จำเป็นต้องไปตามหาเองที่ใดกัน?”
“ดูคนที่อยู่ภายใต้คำสั่งของข้าสิ พวกเขาแทบทั้งหมดได้รับบาดเจ็บ มีเพียงข้าเท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร ข้าไม่อาจปล่อยให้พวกเขาไปยามนี้ พี่จาง ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงข้า ไม่ต้องกังวล ข้าจะกลับมาโดยเร็ว” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “เพียงแต่ตอนที่ข้าไม่อยู่ พี่น้องเหล่านั้นต้องให้ท่านดูแลแล้ว ท่านเป็นผู้ที่อาวุโสที่สุด พวกเราถือว่าท่านเป็นพี่ใหญ่”
หัวหมู่จางกล่าว “ไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี”
ลู่ฉาวจิ่งออกไปแล้ว
นายร้อยหลี่จึงเอ่ยกับหัวหมู่จาง “เจ้าปล่อยให้เขาออกไปคนเดียวจริง ๆ หรือ? เจ้าลืมที่นายกองเซี่ยวกำชับไว้แล้วหรือไร?”
“ข้าไม่ลืม” หมู่หัวจางกล่าว พร้อมโบกมือให้ทหารที่อยู่ไม่ไกล
พวกเขาฟังคำสั่งของหัวหน้าจางและลอบติดตามลู่ฉาวจิ่งไปเงียบ ๆ
นายร้อยหลี่เอ่ย “นายร้อยลู่เก่งเพียงนั้น ลูกน้องเจ้าจะไหวหรือ?”
“เรื่องอื่นไม่อาจมั่นใจ แต่ลูกน้องผู้นี้เก่งในการอำพรางตัวตน ขอเพียงเขาอยากตามผู้ใด คนผู้นั้นไม่มีวันคลาดสายตาเขาไปได้ ฝีมือนายกองเซี่ยวยอดเยี่ยมใช่หรือไม่ คนผู้นี้ติดตามเรียนวิชากับนายกองเซี่ยว”
“เช่นนั้นก็ใช้ได้”
หัวหมู่จางมองไปทางประตูด้วยอารมณ์ที่สลับซับซ้อน
เมื่อออกมาข้างนอก นายกองเซี่ยวมอบหมายหน้าที่เฝ้าดูลู่ฉาวจิ่งให้เขา เขาต้องจดบันทึกทุกความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายไปตลอดทาง ถึงตอนนั้นค่อยรายงานให้นายกองเซี่ยวทราบ ยิ่งมีรายละเอียดมากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น
แต่ทันทีที่ออกมาข้างนอก หัวหมู่จางก็เป็นหนี้ชีวิตลู่ฉาวจิ่งแล้ว ขอให้อีกฝ่ายไม่ทำอะไรผิดก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่รู้ว่าควรอธิบายสถานการณ์ต่อนายกองเซี่ยวอย่างไร
นายร้อยหลี่กับหัวหมู่จางเป็นหูตาที่ส่งมาดูลู่ฉาวจิ่ง
คนหนึ่งอยู่ในที่สว่าง อีกคนอยู่ในที่มืด
ผู้เฒ่าศาลาพักม้ายกอาหารมาแล้วเอ่ย “เด็กหนุ่มผู้นั้นอยู่ที่ใดแล้วเล่า”
เสียงของเขาดังมากราวกับกลัวผู้อื่นไม่ได้ยิน
หัวหมู่จางปิดหูตนแล้วกล่าวอย่างหมดความอดทน “ประเดี๋ยวก็กลับมา”