นิยาย สามีข้า… คือพรานป่า ตอนที่ 384 เรื่องราวของอู่เทียนสิง
ฉู่เทียนสิ่งกําหมัดแน่นจนเล็บจิกลึกลึงไปในฝ่ามือ เลือดสีแดงไหลชโลมจนหยดลงพื้น
หยุนเถียนเถียนเข้าห้องจึงได้เห็นภาพนั้น มู่หรงหยุนเคอกําลังแสยะยิ้ม ส่วนเทียนสิ่งที่กําลังโกรธแค้นพลางจ้องมองเขาด้วยแววตาจะกินเลือดกินเนื้อ
เป็นฉากที่ดูแล้วรู้สึกลําเอียงอย่างไรพิกล หยุนเคอกําลังข่มเหงรู่เทียนสิงอยู่เช่นนั้นหรือ?
“เดี๋ยวสิหยุนเคอ! ฉูู่เทียนสิ่งเจ็บไปหมดแล้วไยจึงไปรังแกเขาด้วย!”
มู่หรงหยุนเคอหันมาเห็นแววตาของหยุนเถียนเถียน เขารู้สึกโกรธจนไม่อาจเอ่ยคําใด
“เจ้า… ช่างเถอะ! ข้าไม่รู้นะว่าเจ้ากําลังคิดการใดอยู่ เจ้าไม่รู้สินะว่าคนที่ช่วยมาเป็นคนใหญ่คนโตแค่ไหน? เขาคือองค์ชายที่เจ็ดจากต้าฉู่ย่างไรเล่า!”
หยุนเถียนเถียนตาเบิกกว้างด้วยไม่เชื่อหูตัวเอง
ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงได้สติก่อนจะเร่งรัดถามองค์ชายจากแคว้นอื่นผู้นี้ “ฉู่เทียนสิ่ง…ข้าจะช่วยท่านไม่ว่าจะอย่างไร ข้าบอกให้ท่านเร่งรักษาให้หายดีเสียแล้วจงกลับไปทวงทุกอย่างที่ต้าฉู่ คืนเถิด”
รู่เทียนสิ่งมองหญิงผู้มีพระคุณอย่างสงสัยและไม่เข้าใจว่านางต้องการสื่ออะไร
“ข้าขอบอกท่านก่อน… แม้ข้ากับมู่หรงหยุนเคอจะรักกัน กระนั้นหยุนเคอก็เป็นถึงองค์ชาย เช่นนั้นแล้วเขาอาจสมคบกับหญิงอื่นเพื่อปองร้ายข้าจนไม่อาจอยู่เป็นสุขก็ได้…หากท่านได้กลับไปที่ต้าฉูู่และได้บรรดาศักดิ์กลับมา ข้าอาจต้องไปพึ่งท่านบ้างหากหยุนเคอกระทําตัวเลวร้ายกับข้า”
“เมื่อถึงตอนนั้นท่านคงจะได้เป็นพระราชโอรส หรืออย่างต่ําก็เป็นอ๋อง… หากมีท่านคอยปกป้องข้าก็ไม่จําเป็นต้องกลัวว่าจะถูกเขาพาตัวกลับไป”
สีหน้าของหยุนเคอบึงตึงทันทีเพราะเขาไม่ได้ตั้งใจจะเปิดเผยตัวตนของเด็กหนุ่มผู้นี้ และไม่เพียงแต่จะทําให้หยุนเกียนเถียนรู้สึกระแวงระวังเท่านั้น เพราะหยุนเถียนเถียนก็คิดเช่นนั้นจริง ๆ
“สาวน้อย…เจ้าอย่าได้เพ้อพกอีกเลย! บัดนี้องค์ชายที่เจ็ดมีสภาพไม่ต่างอะไรกับสุนัขกําพร้าถูกทั้งพี่น้องและคู่หมั้นหักหลังเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าเขาจะกลับไปเป็นใหญ่อีกครั้งได้หรือไม่!”
หยุนเถียนเถียนเชิดหน้า “เช่นนั้นเจ้าก็ประเมินเขาต่าไปแล้ว…ฉู่เทียนสิ่งเพิ่งถึงจุดตกต่ําแล้วไยเขาจะกลับมารุ่งโรจน์ไม่ได้! ฉู่เทียนสิง…ข้าตรองดีแล้วว่าท่านคงไม่เจตนาหลบซ่อนตลอดไปใช่หรือไม่?”
“ท่านจงกลับไปฆ่าพวกมันล้างแค้นเสีย! ความโฉดชั่วทั้งหลายล้วนดํารงมาแต่สมัยเก่าก่อน แล้ว ตราบใดที่ท่านได้หวนคือสู่อานาจทุกสิ่งก็อาจพลิกผันได้เพียงแต่…”
จู่ๆ มู่หรงหยุนเคอก็กล่าวตัดบทนาง “หยุนเสียนเถียน… เจ้าปล่อยวางเสียเถอะ! นั่นมิใช่เรื่องที่เจ้าจะชี้ถูกชี้ผิดผู้ใด เพราะสุดท้ายแล้วผู้ชนะก็ย่อมเป็นฝ่ายถือความชอบธรรม!”
หยุนเสียนเถียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างไม่มั่นอกมั่นใจ “ข้ามองจู่เทียนสิงแล้ว เขาคงมิใช่คนอายุสั้นทั้งที่เขาได้ผ่านเรื่องหนักหนาเช่นนี้แล้วไยจะต้องกลัวคนระยําพวกนั้นด้วยเล่า?”
เทียนสิ่งรู้สึกว่าความขุ่นแค้นเคืองใจเมื่อครู่ได้อันตรธานหายไปสิ้น เหลือไว้แต่เพียงความงุนงงเท่านั้น
เมื่อเห็นดังนั้น มู่หรงหยุนเคอจ้องมองที่หยุนเถียนเถียนพลางนึกประหวั่นว่านางจะรู้เข้าเสีย แล้วว่าฉู่เทียนสิงผู้นี้ได้ประสบเรื่องไม่เป็นธรรมซึ่งนั่นเป็นเหตุที่นางพยายามเปลี่ยนเรื่องและให้เด็กหนุ่มลืมปัญหานั้นไปก่อน
การนั้นได้ผล เมื่อหยุนเกียนเถียนเห็นว่าร่องรอยแห่งความทุกข์ได้เลือนไปจากใบหน้าของเทียนสิ่งแล้ว นางจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา
“รู่เทียนสิ่ง…ความเกลียดชังอาจเป็นแรงผลักดันที่ทําให้ท่านก้าวเดินไปได้! กระนั้นก็ใช่ว่าต้องให้มันครอบงําจิตใจท่านไปตลอด ในทางกลับกัน คู่หมั้นของท่านก็มิใช่คนที่ไม่อาจอภัยที่นางทําก็เพียงหาหนทางที่ดีที่สุดกับตัวเองเท่านั้น!”
“เอาล่ะ… ท่านสามารถอยู่ที่นี่อย่างสบายใจได้ หรือจะไปยามใดก็ได้ตามแต่จะต้องการตรงนี้ข้าจะไม่ก้าวก่ายท่านเพราะข้าเองก็เป็นเพียงหญิงชาวนาสามัญเท่านั้น หากท่านกับท่านอ๋องสามีข้ามีเหตุใดให้หารือกันนั่นก็เป็นธุระของพวกท่านข้าก็จะไม่ก้าวก่ายเช่นกัน…”
หยุนเกียนเถียนจากไปทันทีหลังกล่าวจบ
ฉู่เทียนสิ่งอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา จากนั้นจึงหยิบกิ่งไม้มาเขียนลงบนดินโคลน
“ที่คุณหนูหยุนเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าท่านปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดีแน่ อย่างไรเสียนางคงจะมองว่ามันเป็นเรื่องที่เล่น แต่ข้าเห็นเป็นเรื่องที่จริง”
“สักวันหนึ่งข้าจะกลับไปทวงทุกสิ่งที่ต้าฉู่คืนให้จงได้! หากถึงตอนนั้นท่านหยุนเคอกล้าขับไล่ไสส่งนางข้าจะเป็นคนปกป้องนางเอง!”
มู่หรงหยุนเคอเบะปากด้วยความหมั่นไส้ “ฝันไปเถอะ… นางคือสตรีของข้า แน่นอนว่าข้าย่อมปกป้องเองได้ข้าจะไม่มีวันผิดคําพูดเด็ดขาด!”
ขณะที่พูด มู่หรงหยุนเคอที่ยังรู้สึกงงงวยเตะพื้นอย่างแรงจนกรวดหินดินทรายบนพื้นปลิวว่อนฉูู่เทียนสิ่งสลักฝุ่นดินจนจามออกมาหลายครั้ง
ฉู่เทียนสิงอดหัวเราะไม่ได้ไม่นึกเลยว่าอ๋องแห่งต้าเยวผู้นี้จะมีด้านที่เหมือนเด็กน้อยด้วย
หยุนเสียนเถียนนึกถึงระบบเถาเป่าทันทีที่ขาดเงิน ก่อนจะซื้อเครื่องประดับถูก ๆ สองสามชิ้นจากเสี่ยวเถาและนําไปขายให้หลี่ซื่อฮวาเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน
ทว่าสองเดือนให้หลัง ที่ดินรกร้างผืนนั้นก็เริ่มดูดีขึ้นมาบ้าง แม้จะยังไม่ถึงฤดูเพาะปลูกข้าวสาลี แต่ก็ปลูกมันเทศไปก่อนได้
มันเทศเป็นปัจจัยสําคัญสําหรับการเอาตัวรอด โดยแบ่งพื้นที่ปลูกเล็กน้อยก็เพียงพอ ทว่าก็น่าเสียดายที่มันยังไม่โตพอจะนํามาบริโภคได้ มันจึงเป็นประโยชน์ก็ตอนที่มันยังอยู่ในดินเท่านั้น
กระนั้นก็โชคดีที่หยนุเถียนเถียนเคยอยู่ในชนบทและรู้วิธีแปรรูปมันให้กลายเป็นแป้งมันเทศ และเมื่อนึกถึงซวนล่าเฝิ่นที่เคยกินในครั้งก่อนแล้วนางก็น้ําสายสอทันที
* ซวนล่าเฝืน = บะหมี่เส้นแป้งมันเทศในซุปหม่าล่า
อย่างไรเสียวันที่ไม่นึกไม่ฝันก็มาถึง เซินสิ่งวิ่งแจ้นมาบอกกับนางว่าจู่เทียนสิงหายไปแล้ว
จู่เทียนสิ่งจากไปโดยไม่บอกไม่กล่าวสักคํา ว่าตามตรงนางก็นึกใจหายอยู่เช่นกัน อย่างไรเสียทั้ง ๆ ที่นางเป็นผู้มีพระคุณ จะมาจากไปไม่ลาเช่นนี้ก็ดู… จะเกินไปเสียหน่อยอันที่จริงการที่จู่เทียนสิ่งจากไปเช่นนี้ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกใจหายเหมือนกัน…
เขาต้องการบอกกล่าวแก่หยุนเกียนเถียนว่ากําลังจะออกไป ทว่าพอนึกดูแล้วก็ไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด ถึงจะเริ่มพูดได้บ้างกระนั้นเสียงของเขาก็ยังขาด ๆ หาย ๆ อยู่
อย่างไรเสียหลังจากนี้เขาก็คงมีสถานะไม่ต่างกับการบุกถ้ําเสือหรือไม่มีโอกาสได้กลับมา เช่นนั้นจึงมองว่าร่ําลาไปก็เปล่าประโยชน์
จู่เทียนสิ่งคิดไม่ตกอยู่สองนาน ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ ก่อนรุ่งสางเขาเดินทางออกจากเมืองเล็ก ๆ นี้ไปโดยไม่คิดหันกลับ
จะอย่างไรเมื่อจู่เทียนสิ่งจากไป หยุนเสียนเถียนคงรู้สึกใจหายเพียงชั่วครู่เท่านั้น จากนั้นไม่นาน นางก็กลับคืนสภาวะปกติ
นางก็รู้อยู่แล้วมิใช่หรือว่าสักวันเขาจะต้องจากไป แล้วจะต้องรู้สึกใจหายอะไรกัน?
ตอนที่ 385 ความผิดหวังของเฉินเฉิน
หยุนเถียนเถียนลืมเรื่องนั้นได้ในเวลาไม่นาน ส่วนหลี่ซื่อฮวาก็เหมือนพบโลกใบใหม่ ช่วงนี้เขามักแวะเวียนไปหาหยุนเถียนเถียนอยู่เสมอโดยหวังว่านางจะนําเครื่องประดับมาให้เขาได้อีก
ถึงจะไม่รู้ว่านางนําของประหลาดพวกนี้มาได้อย่างไร โดยเฉพาะวัสดุที่ใช้ทํามันขึ้นมาซึ่งหลี่ซื่อฮวาเองก็ไม่เคยพบเห็นมันมาก่อน
แน่นอนว่านางไม่อาจเข็นสินค้าพลาสติกจําพวกนี้ออกมาได้ทีละมาก ๆ จึงได้แนะนําให้หลี่ซื่อฮวาทําเลียนแบบของที่นางนําออกมา
หลี่ซื่อฮวานําภาพวาดมาหารือกับหยุนเถียนเถียนเป็นครั้งคราวว่าควรใช้วัสดุประเภทใดเพื่อทดแทนสิ่งของที่มีอยู่แต่เดิม
ลวดลายแปลกใหม่ที่หาไม่ได้ในยุคนี้ทําให้ราคาเครื่องเพชรที่ทําออกมาพุ่งกระฉด ส่วนหลี่ซื้อฮวาก็ได้นําของพวกนี้ออกประมูลด้วย ทําให้หยุนเถียนเถียนที่เงินขาดมือกลับมามีสภาพคล่องทางการเงินอีกครั้งหนึ่ง
พริบตาเดียวฤดสอบก็มาเยือนเสียแล้ว โชคดีที่เฉินเฉินอยู่ในฟูเฉิงได้พักใหญ่แล้วจึงไม่จําเป็นต้องกังวลมากนักตราบใดที่เขาทําการบ้านอย่างเอาจริงเอาจัง
หยุนเสียนเถียนสวมผ้าคลุมหน้าเดินไปตามถนนอีกครั้ง การทดสอบต้องอยู่ยัดเยียดในห้องเล็ก ๆ นั้นเป็นเวลาร่วมเก้าวัน แม้แต่คนธรรมดาเห็นก็รู้สึกอึดอัดแล้ว เด็กน้อยอย่างเฉินเฉินก็ยิ่ง แล้วใหญ่
บัดนี้เขาอายุได้สิบขวบแล้ว แม้จะยังเด็กแต่ความเป็นอยู่และกําลังวังชาก็ดีขึ้นมากหากเทียบกับปีที่แล้ว
หยุนเสียนเถียนที่กําลังคิดหาทางทําให้เฉินเฉินใช้เวลาเก้าวันนี้อย่างสบายใจไม่ทราบว่าตนกําลังจับตาดูอยู่กล่าวคือมุ่งความสนใจที่พวกนางแต่ต้นจนจบนั่นเอง
ในขณะนี้เจ้าเมืองหลงยืนอยู่บนอาคารสูง เขามองผ่านหน้าต่างลงมาเบื้องล่างที่หยุนเถียนเถียนไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าเขากําลังมองหาบางสิ่งอยู่
ด้านหลังเขามีชายในชุดเรียบ ๆ ซึ่งกําลังค้อมคํานับอย่างนอบน้อมอยู่ผู้หนึ่งเจ้าเหมืองหลงถามด้วยน้ําเสียงเย็นชา “เจ้าบอกว่านังหนูนั่นมาเข้ามาในเมืองหลวงงั้นหรือ?”
ชายด้านหลังตอบอย่างระมัดระวัง “ข้าได้ยินว่านางจะไปก็ต่อเมื่อน้องชายได้ขึ้นเป็นจวเหรินขอรับ!”
เจ้าเมืองหลงแสยะยิ้มอย่างเหยียดหยาม “เพียงเพราะเจ้าเด็กน้อยที่ร่ําเรียนมาสองปีกว่านี้ ก็คิดประมือกับผู้อื่นแล้วหรือ! ช่างโหลยโท่ยนัก”
ทว่าคนข้างหลังกลับตอบว่า “ท่านเจ้าเมือง… ท่านอย่าได้ดูถูกเด็กคนนี้เชียว เจ้าหนูนั้นสอบซิวไฉได้ตั้งแต่อายุยังน้อยซ้ํายังได้ถึงอันดับสาม ข้าได้ยินมาจากอาจารย์ในสานักว่าเขาดูมีความหวังในฤดูสอบนี้นัก”
เจ้าเมืองหลงพูดพลางกัดฟันกรอด “อย่าปล่อยให้นังหนูนั่นกลับไปที่พระนครได้ขนาดในเมืองเล็ก ๆ เยี่ยงนี้ยังไม่อาจทําอะไรไอ้สารเลวมู่หรงหยุนเคอได้ หากปล่อยให้มันกลับไปที่พระนครอีกก็คงไม่เป็นอันทําอะไรแล้ว!”
“เรื่องสําคัญที่สุดคือจงอย่าให้อ๋องแห่งอวหยางจดจ่านางได้ เพราะหากนางได้ขึ้นเป็นองค์หญิงเมื่อใดก็คงเคี้ยวยากกว่าเดิมเป็นแน่!”
คนด้านหลังตอบ “เราส่งคนไปตายหลายครั้งแล้ว หยุนเคอเป็นผู้ออกตัวขวางทุกครั้งก่อนจะเข้าถึงตัวแม่นางหยุนได้! โดยเฉพาะคนคุ้มกันของนางที่มีวิทยายุทธ์สูงนักจนคนของเราไม่อาจทําการใดได้เลย”
“อย่าได้ผลีผลามไป… เรายังหาโอกาสได้เสมอ! เพียงแต่สิ่งที่สําคัญที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เด็กคนนั้นผ่านฤดสอบนี้ได้ ถึงเราจะไม่อาจมีส่วนร่วมในการสอบจอหงวน แต่อย่างไรเราก็คงกีดกันให้เจ้าเด็กนั่นไม่อาจเข้าสอบได้ใช่ไหม?”
คนข้างหลังพยักหน้าอย่างเร่งรีบ “ท่านเจ้าเมืองอย่าได้วิตกเลย เจ้าเด็กนั่นจะไม่มีทางได้เข้าสอบแน่!”
“เจ้าจําค่าข้าไว้ด้วย…อย่าได้ทําร้ายเด็ก คนนี้เขายังพอมีประโยชน์กับข้าอยู่”
แม้ว่าคนที่อยู่ข้างหลังเขาจะรู้สึกละอายอยู่บ้างกระนั้นก็ทนกัดฟันตอบไป “ขอรับ!”
เฉินเฉินเอาใจใส่กับการเรียนอย่างหนัก หยุนเวียนเถียนพี่สาวของเขาได้ตระเตรียมสิ่งของไว้ให้แล้วจึงมิได้พะวงในเรื่องนั้น… ก่อนเข้าห้องสอบเฉินเฉินยังประหม่าอยู่เล็กน้อย แต่อย่างไรการทดสอบครั้งนี้จะเป็นตัวกําหนดอนาคตของเด็กน้อยเอง
เฉินเฉินก้มหน้าก้มตาอ่านจนไม่ทันสังเกตว่าคนที่นําชามาให้ไม่ใช่คนที่เขาคุ้นเคย
หลังจากท่องตําราอยู่นานเฉินเฉินก็ย่อมมีอาการคอแห้งเป็นธรรมดา เขาจึงเดินไปหยิบถ้วยน้ําชาขึ้นยกดื่มด้วยความกระหาย
หยุนเวียนเถียนกลับมาในตอนย่าค่ํา พลางจัดแจงข้าวของอย่างข้าวปลาอาหารต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งหมึกหรือพู่กันสําหรับระยะวลาเก้าวันนี้
แม้ว่าเฉินเฉินจะรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย กระนั้นเขาก็นึกว่าคงเป็นเพราะตนเรียนหนักเกินไป จึงยิ้มปลอบให้หยุนเสียนเถียนเบาใจ “พี่สาว…ไม่ต้องกังวลไปหรอก หากข้ายังสบายดีก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
หยุนเสียนเกียนยิ้มอย่างเรียบเฉย “เจ้ารู้ไหมว่าอะไรที่ทําให้เจ้าเหนือกว่าผู้อื่น?”
เฉินเฉินส่ายหน้า
“เพราะเจ้ามีจุดเด่นคืออายุน้อยอย่างไรเล่า! บัดนี้เจ้าอายุเพียงสิบขวบเท่านั้น หากได้เป็นจวีเหรินละก็คงจะมีชื่อไปทั่วแผ่นดินแน่ เพราะจะหาบัณฑิตจวเหวินอ่อนวัยเพียงนี้ได้ยากนัก! หาก ไม่ผ่านก็มิใช่ปัญหาเพราะสองสามปีเจ้าก็มาใหม่ได้!”
“ดังนั้นเจ้าไม่ต้องถึงขั้นหวังสอบผ่านก็ได้ เพียงแค่ลองและตั้งใจให้มากที่สุดก็เป็นพอ”
เฉินเฉินส่ายหน้าแช่มช้า “ไม่! แม้ข้าจะยังเด็กอยู่แต่ท่านพี่น่ะแก่ขึ้นทุกวัน! ข้ารู้ดีว่าท่านพี่ชายหยุนคงมิใช่คนธรรมดาแน่ ต่อให้เขาปิดบังข้าก็รู้อยู่ดีแหละ”
“ข้าก็แค่ต้องการมีชื่อเสียงให้เร็วที่สุดเพื่อให้ท่านพี่ได้สถานะที่ดีขึ้นด้วย เผื่อว่าท่านพี่จะไม่ได้อยู่กับพี่หยุนเคอในอนาคตอย่างไรเล่า”
หยุนเสียนเกียนยกยิ้มอ่อน ๆ ในทีแรกนางจะใช้เฉินเฉินเพื่อการแก้แค้นและหักหน้าหลินชวนฮวาให้เห็นว่าบัดนี้เด็กที่นางไม่เคยเห็นหัวได้เป็นบัณฑิตจวเหริน ในขณะที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตนไม่มีปัญญาเป็นแม้กระทั่งชิวไม่
ทว่าเมื่อเฉินเฉินมีพัฒนาการ ความคิดของหยุนเถียนเถียนก็เปลี่ยนไป นางเริ่มดูแลเขาอย่างจริงใจในฐานะน้องชาย โดยส่งเขาเล่าเรียนหวังให้เติบโตเป็นบัณฑิต
แม้ว่าเฉินเฉินจะยังเยาว์นัก กระนั้นเด็กน้อยผู้นี้ก็ดูสีหน้าคนออก… ตัวเขาเคยข่มเหงรังแกพี่ สาวทว่าบัดนี้ดูเหมือนว่าพี่สาวของเขาจะไม่สนใจเรื่องนั้นแล้วและดูแลตนอยู่เช่นนี้ ทีแรกเฉินเฉินเชื่อว่าเลือดย่อมข้นกว่าน้ํา แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่เกี่ยวกันเลย
คราวนี้เฉินเฉินรู้สึกขอบคุณหยุนเถียนเถียนจากใจจริง… หากไม่มีนางชีวิตเขาก็อาจไร้หนทางก็ได้ เพราะแม่บังเกิดเกล้าของเขากลับรักและเอ็นดูเฉินเฉิงเยี่ยผู้โง่เขลาเท่านั้น ส่วนพ่อผู้ตามืดบอดก็เอาแต่ติดสุราไม่ว่าจะเป็นหรือตายอย่างไร…
“เป็นเรื่องดียิ่งที่เจ้าคิดจะช่วยเหลือพี่สาวคนนี้ แต่หากพี่ใหญ่หยุนปฏิบัติต่อพี่สาวคนนี้เพียงเพราะเห็นแก่ใบหน้าของเจ้า แล้วเจ้าคิดว่าข้าคนนี้จะไม่สามารถอยู่ได้หากไม่มีเขางั้นหรือ? อย่างไรเสียเจ้าไม่จําเป็นต้องกังวลหรือกดดันเรื่องของข้าเลยแม้แต่น้อย!”
MANGA DISCUSSION