สามีข้า คือพรานป่า - ตอนที่ 304 สั่งสอน
ตอนที่ 304 สั่งสอน
ทันใดนั้น หยางยู่หรงก็คิดถึงเรื่องอื่นและรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อจับไหล่ของหยุนเสียนเถียน!
“เถียนเถียน ข้าขอบอกเจ้าไว้ก่อน หากเจ้าสร้างปัญหาข้าแม้แต่ครั้งเดียว เจ้าจะต้องชดใช้ให้ ข้ารีบหาสามีที่เหมาะสมให้ข้าซะ มิฉะนั้นพ่อข้าคงกังวลจนตาย!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของนาง ประตูหน้าบ้านของหยุนเถียนเถียนก็ถูกเคาะขึ้นอีกครั้ง
หยุนเถียนเถียนเงยหน้ามองฟ้า คราวนี้คงเป็นจางชิงเฟิงที่มาเยือนถึงหน้าประตู
“พวกเจ้ารอสักครู่ น่าจะมีแขกอีกคนมาบ้านข้า”
เมื่อหยุนเถียนเถียนเปิดประตู ก็พบว่าคนที่อยู่ด้านนอกคือจางชิงเฟิงดังคาด ในตอนนี้จางชิงเฟิงดูเหมือนว่าจะหลุดพ้นจากความโศกเศร้าที่ถูกเพื่อนรักทรยศเขาจึงดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
“นายน้อยจาง รีบเข้ามาเถิด วันนี้ข้ายังมีเพื่อนอีกสองคนอยู่ในบ้าน ทุกคนจะได้ทําความรู้จักกันไว้”
เมื่อเห็นผู้มาเยือน สีหน้าของหยางเฉินก็มืดครึมลงทันที
คนผู้นี้คือบัณฑิตที่สง่างามที่สุดในใจของผู้คน ส่วนเขาคือจอมเสเพลทําตัวเหลวไหลอย่างถึงที่สุดกล่าวได้ว่ามีความแตกต่างกันอย่างมากและแน่นอนว่าในใจของคุณชายเจ้าสําราญอย่างเขารู้สึกอิจฉาบัณฑิตผู้นี้ยิ่งนัก!
หยางเฉินอาศัยอยู่ในเงามืดมาหลายปี มักจะถูกหยางหงกล่าวเปรียบเทียบกับจางชิงเฟิงลูกบ้านอื่นผู้นี้
* ลูกบ้านอื่น เด็กที่มีความประพฤติดี เรียนเก่ง จนพ่อแม่มักจะนํามาเปรียบเทียบกับลูกของตัวเองที่บ้านเสมอ
จางซึ่งเพิ่งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เหตุใดชายเสเพลชื่อเสียงโด่งดังผู้นี้ถึงมาปรากฏตัวอยู่ในลานบ้านเล็กๆของหยุนเถียนเถียนได้?เขามิได้คิดดูถูกหยางเฉินเพียงแต่แปลกใจเท่านั้น
และสิ่งที่ทําให้เขาประหลาดใจที่สุดคือท่าทีของหยางเฉินซึ่งดูไม่เป็นมิตรนักที่ผ่านมาเขาและบุตรชายคนโตของตระกูลหยางไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใจอันใดกันพวกเขาไม่เคยแม้แต่จะสนทนากันเลยด้วยซ้ำเหตุใดอีกฝ่ายถึงมองเขาราวกับเป็นศัตรูคู่แค้นกันมาก่อน?
หยางยู่หรงเอ่ยขัดก่อนจะเปิดประตู “เถียนเถียน ชายผู้นี้คงจะเป็นนายน้อยจางชิงเฟิงที่เจ้าเคยพูดถึงใช่หรือไม่? ข้าเคยได้ยินพ่อข้าพูดถึงอยู่บ้าง”
สีหน้าของหยางเฉินยิ่งน่าเกลียดขึ้นไปอีก ตอนที่พ่อของนางกล่าวถึงจางชิงเฟิง ย่อมหมายถึงตอนที่พี่ชายผู้นี้กําลังถูกบิดาสั่งสอน
แม้หยุนเถียนเถียนจะรู้สึกว่าบรรยากาศดูอึดอัดเล็กน้อย แต่นางก็ก้าวเข้าไปกล่าวแนะนํา“ใช่แล้วผู้หรงนี่คือนายน้อยจางไม่กี่วันมานี้เขาได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับน้องชายของข้าส่วนนี่…”
ยังไม่ทันได้กล่าวต่อหยางยู่หรงก็ทะลุกลางปล้องขึ้นมา “เจ้าไม่จําเป็นต้องแนะนํา ข้ากับพี่ชายข้าเคยรู้จักนายน้อยจางมาก่อน”
จางชิงเฟิงและหยางเฉินหันไปมองหยางยู่หรงพร้อมกัน เหตุใดพวกเขาถึงไม่รู้ว่าเคยรู้จักกันมาก่อน?
หยางยู่หรงพึมพํากับตัวเอง “ทุกครั้งที่พี่ชายของข้าสร้างปัญหานอกบ้าน ท่านพ่อมักจะพูดอยู่เสมอว่าเจ้าดูนายน้อยจางลูกบ้านอื่นเถิด เขากับเจ้าอายุเท่ากัน ตอนนี้เขามีชื่อเสียงดีงามยิ่งนักเหตุใดเจ้าไม่รู้จักเรียนรู้เสียบ้าง!”
ท่าทางการพูดเช่นนี้เหมือนกับบิดาของเขาไม่มีผิด หยางเฉินให้รู้สึกอับอายต่อหน้าหญิงงามยิ่งนักฉับพลันใบหน้าของเขาก็แดงเถือกราวกับกุ้งต้มสุก
หยุนเถียนเถียนหัวเราะเสียงดังลั่น “ข้าว่าแล้วเชียว ผู้หญิงคนนี้ ต่อหน้าคนนอกกลับไม่ช่วยรักษาหน้าพี่ชายเจ้าเลยแม้แต่น้อย!”
หยางยู่หรงไม่เข้าใจ คําพูดเหล่านี้เกี่ยวข้องอันใดกับการรักษาหน้าของพี่ชายขณะที่ยังหัวเราะไม่หยุดหยุนเถียนเถียนก็ได้เชิญทั้งสามนั่งลงที่โต๊ะ ก่อนจะยกมาน้ำชามาให้พวกเขา
“นายน้อยหยาง เจ้าก็อย่าได้โกรธเคืองนายน้อยจางเลย เขาเพียงแค่ฉลาดกว่าเจ้าเล็กน้อยแต่ก็ไม่เคยทําผิดต่อเจ้าถึงแม้ว่าบนโลกนี้จะไม่มีนายน้อยจางแต่ก็ยังมีนายน้อยหวังนายหลีที่ดีกว่าเจ้าเสมอ ที่สุดแล้วเจ้าต้องพยายามอย่างหนักเพื่อตัวเอง”
หยางเซินกะพริบตาอย่างไม่ใส่ใจ เขาก้มศีรษะลงคล้ายเด็กที่กระทําผิด ก่อนจะกล่าวขึ้น “ตาแก่ที่บ้านมักจะบังคับให้ข้าศึกษาต่าราอยู่เสมอ แต่ทุกครั้งที่ข้าจับตําราขึ้นมาอ่านก็เป็นอันง่วงนอนอยู่ร่ำไปทุกครั้งที่เขาสั่งสอนข้า จึงทําให้ข้ารู้ดีว่านายน้อยจางมีความสามารถอย่างไรหากเขาไม่ชอบข้าถึงเพียงนี้เหตุใดถึงไม่รับนายน้อยจางเป็นลูกเสียเลย?”
หยุนเสียนเถียนยิ้ม “อันที่จริง ข้าเองก็เข้าใจความรู้สึกของนายน้อยหยาง บางคนเกิดมาเพื่อเป็นบัณฑิตที่ยอดเยี่ยมแต่บางคนก็ไม่ชื่นชอบในสิ่งนี้ พ่อของเจ้าเป็นคนเชื่อมั่นยิ่งนักเขาคงอยากให้เจ้าต่อสู้เพื่อเขา แม้จะต้องเคี่ยวเข็ญกันอยู่บ้างแต่สุดท้ายทั้งหมดนี้ล้วนเป็นประโยชน์ต่อตัวเจ้า”
“อีกอย่าง นายน้อยหยางต้องคิดเรื่องนี้ให้ดี เจ้าจะทําอย่างไรในยามที่พ่อของเจ้าแก่ชรา? แม้ ที่บ้านจะมีทรัพย์สินมากมายแต่ก็ต้องใช้จ่ายอยู่ทุกวัน หากพ่อของเจ้าแก่ตัวลงเขาก็คงไม่โอกาสได้วางแผนชีวิตให้เจ้าอีกหากไม่เห็นว่าเป็นลูกพ่อแม่ที่ไหนจะอยากเอาใจใส่
นี่เป็นครั้งแรกที่หยางเซ็นตระหนักถึงคําสั่งสอนในใจ หยุนเถียนเถียนไม่ได้กล่าวชี้แนะอย่างจริงจังแต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงที่มีวาทศิลป์ให้เขาคิดถึงอนาคต
แม้วิธีการดังกล่าวจะไม่นับเป็นอะไรในสายตาของคนยุคใหม่ แต่เมื่อเทียบกับหยางหงที่รู้จักแต่การบังคับข่มขู่นี่ทําให้หยางเซินคิดได้อย่างลึกซึ้ง
“ในความคิดของข้า หากนายน้อยหยางไม่อยากเรียนหนังสือ ก็ควรบอกกับพ่อของเจ้าไปตามตรงว่าอยากทําในสิ่งที่ตัวเองถนัด แม้ว่าทุกอย่างบนโลกนี้จะด้อยกว่ามีเพียงการศึกษาเท่านั้นที่ยกให้คนสูงส่งแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล่าวว่าต้องเรียนหนังสือเท่านั้นถึงจะหาเลี้ยงตนเองได้นายน้อยหยางอาจจะต้องคิดให้ละเอียดว่าถนัดและชื่นชอบสิ่งใด? จากนั้นก็ไปโน้มน้าวใจพ่อของเจ้าให้ได้”
“นี่ดีกว่าการเชื่อฟังยามอยู่ต่อหน้าแต่ลับหลังกลับต่อต้านอย่างที่เคยทํามาอย่างน้อยพ่อของ เจ้าก็ไม่ต้องคาดหวังให้เสียเวลา แม้ทุกคนบนโลกจะเชื่อว่านายน้อยหยางเป็นคนไม่เอาไหนแต่ในความคิดของข้าพื้นฐานของนายน้อยหยางนั้นไม่ได้แย่ เพียงแค่ขาดความทะเยอทะยานเท่านั้น”
“ข้าเข้าใจว่านายน้อยหยางรักน้องสาวมาก เช่นนั้นไม่เจ้าอยากเป็นที่พึ่งให้นางในภายหน้าหรือ? ตอนนี้นางกําลังกังวลเรื่องการแต่งงานและชีวิตของนางหลังจากนี้ เมื่อพ่อของท่านแก่ตัวลงหากนางถูกครอบครัวสามีรังแกใครจะคอยปกป้องดูแลนาง?หากเจ้าไม่มีความสามารถที่แท้จริงเกรงว่าจะไม่ผู้ใดสนใจว่าต้องการช่วยเหลือนางหรือไม่”
หยางเฉินเงยหน้าขึ้นมองน้องสาวผู้บริสุทธิ์และไร้เดียงสาที่ไม่เคยต้องกังวลกับสิ่งใดชั่วขณะหนึ่งเขาบังเกิดความรู้สึกกดดันเป็นอย่างยิ่ง!
หยุนเถียนเถียนจะไม่กล่าวต่อ คําพูดเท่านี้ก็เพียงพอที่จะให้คนคิดเองได้แล้วหากไม่ถือว่าเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งเดียวกันแม้จะพูดจนปากฉีกเขาก็คงไม่สนใจ
เมื่อจางชิงเฟิงได้ยินวาจาที่กระตุ้นความคิดเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดออกมา “แม่นางหยุนท่านไม่อาจสอนทุกคนในฐานะน้องชายของท่านเองได้ ตอนนี้ข้าพอรู้เหตุผลที่เฉินเอ๋อตั้งใจเล่าเรียนอย่างหนักหากในภายหน้าหยุนเคอทอดทิ้งท่านเขาก็จะได้คอยช่วยเหลือท่านแต่ว่าเด็กผู้นี้ทําได้ ข้คิดว่านายน้อยหยางน่าจะทําได้ดีกว่านี้!”
จางชิงเฟิงกล่าวเช่นนี้ราวกับโรยเกลือหนึ่งกํามือลงในกระทะ*จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในหัวใจของหยางเฉินจึงพุ่งทะยานขึ้นมา!
*กระตุ้นความรู้สึกขึ้นมา