สามีข้า คือพรานป่า - ตอนที่ 297 รู้ทัน
ตอนที่ 297 รู้ทัน
ในไม่ช้าเขาก็จัดการเรื่องว้าวุ่นในหัวให้สงบลงได้ ก่อนจะเริ่มสนทนาเรื่องตํารับตํารากับชายหนุ่มและเด็กน้อยตรงหน้า
แล้ววันเปี่ยมสุขก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว จางชิงเฟิงไม่ได้กลับสํานักเช่นที่ทําเป็นปกติ ทว่ากลับมุ่งตรงไปที่บ้านของตน
เมื่อจางชิงเฟิงเห็นจางชิวไฉ่เขาก็ชะงักเล็กน้อย ด้วยปกติแล้วผู้เป็นบิดามักออกไปทํางาน ทว่าเวลานี้เขากลับอยู่บ้าน
จางชิวไฉ่ถามด้วยความฉงน “ลูกข้า… ไยเจ้าจึงไม่ไปเรียนที่สํานักเล่า แล้วเจ้ากลับบ้านมาด้วยเหตุอันใด?”
จางชิงเฟิงแสดงสีหน้าหม่นหมองพลางก้มศีรษะพูดอย่างแช่มช้า “ท่านพ่อ! จู่ๆ ข้าก็จําเรื่องบางอย่างได้ และอยากให้ท่านช่วยตัดสินใจให้ข้าที!”
จางชิวไฉวางหนังสือในมือลงก่อนมองไปยังลูกชายของเขา “เช่นนั้น… เจ้าจงบอกพ่อก่อนเถิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แม้พ่อเทียบเจ้าในเรื่องการเรียนไม่ได้ ทว่าหากเป็นเรื่องมนุษยสัมพันธ์กับความเจนโลกละก็… มั่นใจว่าเจ้ายังต้องเรียนรู้จากพ่ออีกมาก”
“ท่านพ่อ! ท่านเคยบอกว่าเมื่อก่อนข้ามักป่วยทุกครั้งยามที่มีเหตุสําคัญเสมอ… ท่านไม่คิดว่ามันมีสิ่งใดผิดปกติหรอกหรือ?”
จางชิวไฉไม่ทันฉุกคิดเรื่องนี้มาก่อน อีกทั้งยังนึกว่าเป็นเพียงเคราะห์หามยามร้ายเท่านั้น หรือเป็นไปได้ว่าจะมีผู้ใดคอยสร้างปัญหาให้กับเขาอยู่ในตอนนี้?
อย่างไรก็ตามจางชิงเฟิงรีบกล่าวต่อ “วันนี้ข้าไปบ้านตระกูลหยุนแล้วพบเด็กผู้หนึ่ง ทันทีที่พบหน้ากัน เขาก็บอกว่าข้าเป็นคนมีความสามารถทว่ากลับโชคร้าย!”
บัณฑิตรุ่นพ่อยังคงมองสิ่งใดไม่ออก “เด็กคนนั้นพูดได้ตรงไปตรงมาดีนี่!”
จางชิงเฟิงกล่าวต่อด้วยใบหน้าซีดเซียว “ทว่าแม่นางหยุนก็โวยวายตําหนิเด็กชายต่อหน้าข้า แล้วบอกว่าข้าเป็นคนใจกว้างที่ไม่คิดถือโทษผู้ใด ทว่าหากเป็นผู้ที่คอยจงเกลียดจงชังข้าละก็… พวกนั้นย่อมใช้ประโยชน์จากนิสัยเช่นนี้ของข้า เพื่อหาทางบ่อนทําลายอนาคตของข้า!”
พ่อของจางชิงเฟิงตกตะลึงกับเรื่องนี้ “เจ้าหมายถึงว่า… โรคภัยไข้เจ็บที่ผ่านมาของเจ้าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทว่าเกิดจากฝีมือของคนชั่วช้าที่ต้องการทําลายเจ้าเช่นนั้นหรือ!?”
จางชิงเฟิงยิ้มเผื่อน “ท่านพ่อ… ข้าไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อน ทว่าหากท่านนึกดูก็คงรู้ว่าถึงข้าจะไม่ใช่คนแข็งแรง…กระนั้นข้าก็ไม่ใช่คนขี้โรค ทว่ากลับล้มป่วยทุกครั้งที่มีเหตุสําคัญ! ข้าว่ามันยากนักที่จะเชื่อว่านั่นเป็นเพียงเหตุบังเอิญ!”
จางชิวไฉ่ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน หลายปีมานี้เขาเฝ้าอ่านเพียงตําราปราชญ์และวิถีสุภาพบุรุษ จนลืมทําความเข้าใจถึงเหล่าคนโฉดชั่วที่จ้องแต่จะทําลายผู้อื่น
“นึกแล้วก็รู้สึกว่าข้าช่างโง่เขลาเสียจริง… ข้าเคยมีเพื่อนคนหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้นข้าเป็นคนที่พูดไม่รู้จักคิด ทําให้ครั้งหนึ่งข้าพลาดพลั้งทําให้เขาขุ่นเคืองจนได้ เมื่อได้ยินคําขาใน ตอนนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป กระนั้นเขาก็เก่งในเรื่องการคุมสีหน้านัก ข้าจึงนึกว่าเขาจะไม่ใส่ใจกับคําพูดของข้า!”
“ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าเขาเป็นคนหน้าชื่อใจคดนัก เขาทําตัวราวกับว่าไม่เคยขุ่นข้องหมองใจข้าเลย อีกทั้งพอถึงคราวใกล้สอบ เขาก็มักนําอาหารมาแบ่งปันให้ข้าได้ลองลิ้มรสอยู่เรื่อย… ข้าเองก็รับน้ําใจเขาไว้มากนัก ทว่าบัดนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันจะเป็นต้นเหตุให้ข้าผิดสําแดง!”
“เมื่อใดก็ตามที่ข้ารู้สึกเสียใจเรื่องขาดสอบ เขาก็คอยปลอบประโลมข้าเสมอ… ครั้งล่าสุดที่เขาสอบผ่าน เขากลับไม่ไปฉลองทว่าแวะมาหาข้าแทน แม้เขาจะไม่ได้โอ้อวดตน ทว่าท่านเดาได้หรือไม่ว่าเขาพูดเช่นไร? เขาบอกว่าหากไม่ใช่เพราะข้าหมดสิทธิ์สอบ เขาคงไม่อาจสอบผ่านจนมีชื่อเสียงเช่นนี้ได้!”
“ครั้งนั้นข้ายังอ่านคนไม่แตกจึงมองว่าเป็นคําปลอบประโลม ไม่นึกเลยว่าเขาต้องการจะอวดเบ่งและทํากับข้าเยี่ยงคนเขลาเสียได้!”
ยิ่งพูดจางชิงเฟิงก็ยิ่งทวีเพลิงโทสะในใจ เขาชักทนรอกระชากหน้ากากสหายชั่วผู้นั้นออก แล้วโยนลงพื้นก่อนจะเหยียบซ้ําให้สาแก่ใจไม่ไหว ทว่านี่ยังเป็นเพียงข้อสันนิษฐานที่ไร้หลักฐานเท่านั้น!
จางซิ่วไจ่ไม่ใช่คนโง่เขลา เมื่อได้ฟังคําของลูกชายแล้วคิดตามก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นไปได้
ถึงตอนนี้เขาก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่สอนเพียงให้ลูกชายอ่านออกเขียนได้ ทว่ากลับไม่ได้สอนให้เขารู้ทันคน
“แม่นางหยุนผู้นั้นช่างเป็นคนซื่อตรงนัก”
จางชิงเฟิงทอดถอนใจอยู่นานสองนาน เขาจะโกรธไปตอนนี้ก็คงไม่มีประโยชน์ อีกทั้งเรื่องทั้งหมดก็เกิดมาเป็นเวลาสามปีแล้วนับแต่การสอบจอหงวนครั้งล่าสุด
“แม่นางหยุนพูดถูก… หากทําให้คนดีขุ่นเคืองใจคงไม่เสียหายนัก ทว่าหากพลาดพลั้งทําให้คนโฉดขุ่นเคืองจะเกิดเรื่องใหญ่ เดิมที่ข้านึกเสมอว่าหากปฏิบัติกับคนทั้งหลายอย่างซื่อตรง พวกเขาก็คงปฏิบัติต่อข้าเช่นนั้น… ท่านพ่อ! บัดนี้ข้ารู้แล้วว่าควรทําเช่นไรหลังจากเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ทว่าจงวางใจเถิดเพราะข้าจะไม่ทําร้ายผู้ใดแน่!”
จางชิวไฉ่พยักหน้ารับรู้ จางชิงเฟิงลูกชายของเขาก็ถือว่าเป็นคนฉลาด… ทว่าเขาต้องการคบค้าสมาคมกับครอบครัวของหญิงชาวนา อีกทั้งคนเหล่านั้นยังดูเหมือนจะฉลาดหลักแหลมเสียยิ่งกว่าพวกเขา ซึ่งเป็นบัณฑิตผู้รู้หนังสืออย่างนั้นหรือ?
“ตระกูลหยุนนี้ช่างตรงไปตรงมาเสียจริง… เพียงแค่แม่นางผู้นั้นอบรมสั่งสอนน้องชายของตน ทว่ากลับทําให้เจ้านึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ บางทีนางอาจมองเห็นอะไรบางอย่างจึงใช้โอกาสนั้นเพื่อเตือนเจ้า… ในอนาคตเจ้าเองก็ควรผูกมิตรกับตระกูลหยุนไว้”
ว่าแล้วจางชิงเฟิงก็ลุกขึ้น ก่อนจะนั่งลงกระซิบกระซาบกับผู้เป็นบิดา “ท่านพ่อ! ข้ารู้สึกได้ว่าคุณชายหยุนนั้นไม่ใช่คนธรรมดา… เขามีลักษณะบางอย่างที่ไม่อาจปกปิดได้ แม้แต่กิริยาท่าทางของเขาก็บ่งบอกชัดเจน ยามสนทนาด้วยก็ยิ่งแสดงให้ข้าเห็น ว่าเขามีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องการปกครองแผ่นดิน… แม้รูปลักษณ์ภายนอกของเขาจะเป็นพรานป่า ทว่าข้ารู้สึกได้ว่าต่อให้ เป็นลูกท่านหลานเธอที่ไหน ก็คงไม่อาจผ่านการร่ําเรียนอย่างลึกซึ้งเช่นเขา! ”
จางชิวไฉ่ตกตะลึง ในด้านการเล่าเรียนตนไม่อาจเทียบผู้เป็นลูกชายได้ บัดนี้จางชิงเฟิงก็แสดงให้เขาเห็นอีกว่าเขามีสายตาเฉียบคมเพียงไร… หรือจะมีมังกรเร้นกายอยู่ในหมู่บ้านเทพธิดาแห่งนี้กันแน่?
“อย่างไรเสียข้าก็ไม่มีเจตนาอื่นในการเข้าหาพวกเขา นอกเสียจากหวังการสนทนาแลกเปลี่ยน ที่จะช่วยยกระดับความรู้ของข้า… ดังนั้นไม่ว่าอนาคตคุณชายหยุนจะเป็นอย่างไร ข้ากับเขาก็จะเป็ นกัลยาณมิตรต่อกันเสมอ ท่านพ่อ… เขาแสดงออกต่อข้าอย่างจริงใจ ดังนั้นข้าเองก็ควรจะเปิดใจ มากขึ้นด้วย!”
จางชิวไฉ่พยักหน้าอย่างจริงจัง “ครอบครัวนั้นมีหลายสิ่งให้เจ้าได้เรียนรู้อีกมาก… เป็นการดีที่เจ้าจะผูกไมตรีกับพวกเขา ทว่าจงอย่ามีใจคิดตักตวงเอารัดเอาเปรียบเป็นอันขาด มิฉะนั้นพวกเขาก็คงสัมผัสถึงความไม่จริงใจของเจ้าได้ในไม่ช้า แล้วจะทําให้หมดโอกาสผูกสัมพันธ์แน่นแฟ้นได้อย่างแท้จริง”
“แม้พ่อจะไม่ได้รู้แจ้งเกี่ยวกับความสัมพันธ์อันซับซ้อนของมนุษย์ ทว่าก็ยังสามารถสัมผัสถึง ความจริงใจระหว่างมิตรสหายได้ ส่วนเพื่อนของเจ้าคนนั้น… ก็จงอโหสิและปล่อยเขาไปตามยถา กรรมเถิด คนไร้ยางอายเช่นเขาไม่มีทางไปได้ไกลอย่างแน่นอน สวรรค์มีตา… ประพฤติสิ่งใดย่อม ได้สิ่งนั้น!”
จางชิงเฟิงจะสามารถทําสิ่งใดได้อีก? แม้เขาต้องการจะล้างแค้น ทว่าก็ทําได้เพียงกัดฟันอดทนรอเท่านั้น เพราะหากปราศจากหลักฐานก็ไม่อาจกล่าวโทษผู้อื่นต่อหน้าได้